ตอนที่ 68 เช่าที่ดิน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 68 เช่าที่ดิน

เจียงป่าวชิงตื่นตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง

ด้านล่างตัวนางเป็นเครื่องนอนที่อ่อนนุ่ม เนื่องจากเพิ่งทำเสร็จ มันจึงยังมีกลิ่นเฉพาะของเครื่องนอนใหม่อยู่และเจียงป่าวชิงรู้สึกว่ามันหอมอยู่พอสมควร

นางพลิกตัวฝังหน้าลงไปในเครื่องนอนที่อ่อนนุ่มนี้ ผ่านไปสักพักถึงจะปีนขึ้นจากเตียงอิฐ

เจียงป่าวชิงออกจากห้อง มีถังน้ำอยู่ในลานบ้าน ซึ่งน้ำข้างในเป็นน้ำที่เจียงหยุนชานกับซุนต้าหูไปตักจากในแม่น้ำกลับมาก่อนหน้านี้

นางตักน้ำออกมาและทำการล้างหน้าล้างตาตัวเองให้เรียบร้อย

ตอนนี้ไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเจียงแล้ว เจียงป่าวชิงจึงไม่กลัวว่าจะมีคนเห็นนางยืดเส้นยืดสายร่างกาย จากนั้นนางก็ออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์ตามแบบฉบับชาวจีนโบราณ

ออกกำลังกายเสร็จ เจียงป่าวชิงก็เหงื่อท่วมตัว

ในตอนนี้ดีกว่าตอนที่เพิ่งมามาก ตอนที่นางเพิ่งย้ายมาใหม่ ๆ อย่าว่าแต่กระบวนท่าทั้งหมดเลย ทำเพียงแค่สองท่าหรือสามท่า ร่างกายที่อ่อนแอนี้ก็เหนื่อยหอบแล้ว และแทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ เนื่องจากพักหลัง ๆ นางมักจะออกไปปีนเขาทุกวันเพื่อช่วยในเรื่องของระบบหายใจ เพราะฉะนั้นถึงจะสามารถทำให้ร่างกายนี้แข็งแรงขึ้นมาหน่อย และสามารถประคับประคองการออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์ตามแบบฉบับชาวจีนโบราณนี้ไว้ได้

เจียงป่าวชิงเช็ดเหงื่อบนใบหน้าพลางมองไปที่บ้านข้าง ๆ ภายใต้แสงท้องฟ้าที่เริ่มสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว

บ้านข้าง ๆ ที่ห่างออกไปไม่ไกลยังคงอ้างว้างเช่นเดิมราวกับไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย แต่เจียงป่าวชิงรู้ดีว่าข้างในมีชายหนุ่มลึกลับที่สองขาไม่สามารถเดินได้อาศัยอยู่ในนั้น

เมื่อนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เจียงป่าวชิงก็อดที่จะตบหน้าตัวเองอย่างเสียไม่ได้

เมื่อไม่มีความยุ่งเหยิงในชีวิตเข้ามาเกี่ยว อันที่จริงเจ้านายกับลูกน้องคู่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นสักหน่อย

และแน่นอน เจียงป่าวชิงรู้ว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับประโยชน์ของนางที่มีต่อพวกเขา

เจียงป่าวชิงทำอาหารเช้าบนเตาป่าด้านนอก นางกินไปด้วยและครุ่นคิดไปด้วย นางไม่รู้เลยว่าชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไรเพียงเพราะเรื่องนี้

เห็นได้ชัดว่าอำนาจของพวกเขามีกำลังเหนือกว่าเธอมาก และเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่ท่วมท้นนี้ การรักษาตัวเองของเจียงป่าวชิงก็เหมือนกับเรือลำเล็กที่โคลงเคลงไปมาอยู่ในทะเลที่มีพายุ

รักษาตัวอย่างเดียวก็ลำบากมากพอแล้ว แต่สิ่งที่นางอยากได้กลับไม่ได้มีแค่การรักษาตัวอย่างเดียว

เจียงป่าวชิงถอนหายใจเล็กน้อย  หลังจากที่กินอาหารเช้าเสร็จ นางก็ออกจากบ้านและไปที่บ้านผู้อาวุโสในตระกูลท่านหนึ่งซึ่งเป็นพยานให้นางตอนที่นางแยกออกมาจากบ้านท่านปู่เจียงก่อนหน้านี้

สมาชิกในบ้านของผู้อาวุโสในตระกูลท่านนี้ค่อนข้างเยอะ ที่ดินส่วนใหญ่เป็นดินจืด ทั้งครอบครัวจึงค่อนข้างผอมซูบ

ตอนที่เจียงป่าวชิงไป ครอบครัวของผู้อาวุโสในตระกูลกำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ในลานบ้านพอดี

เจียงป่าวชิงกวาดตามองถ้วยข้าวของพวกเขาเล็กน้อย หมี่ข้าวโพดนั้นมีน้อยมาก และก็มีขนมปังที่นึ่งมาจากแป้งหมี่ข้าวโพดวางอยู่ด้านข้างสองสามชิ้นประกอบกับผักดองอีกนิดหน่อย

“ท่านปู่ห้า” เจียงป่าวชิงทักทายเจียงเหล่าหวู่ ผู้อาวุโสลำดับที่ห้าของวงศ์ตระกูล

เจียงเหล่าหวู่มองเจียงป่าวชิงอย่างตื่นตัว เขาคิดว่าที่เจียงป่าวชิงมาที่นี่ก็เพื่อจะมากินข้าวบ้านเขา

คนในบ้านของเจียงเหล่าหวู่ค่อนข้างเยอะ เขาจึง…

ถึงแม้ว่าลูกของเขาจะรอดชีวิตมาเพียงคนเดียว แต่เมียของลูกเขานั้นใจสู้มาก นางคลอดลูกสี่คนติดต่อกัน ทำให้สมาชิกในบ้านของเจียงเหล่าหวู่เพิ่มขึ้นทันตาเห็น

สมาชิกในครอบครัวมีมากและต่อไปก็ต้องอ้าปากกินข้าวกันทั้งนั้น โดยเฉพาะเด็กที่กินได้กินดีพวกนี้ ปัจจุบันนี้ที่ดินที่พวกเขาได้มาก็ค่อนข้างเป็นดินจืด และแทบไม่มีอาหารเหลืออยู่ในบ้านแล้วด้วย

ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจียงเหล่าหวู่ต้องไปสู่ขอเมียให้หลานชายคนโตกับหลานชายคนที่สอง ยิ่งต้องหยิบทรัพย์สินในบ้านที่เดิมทีก็ไม่มีอยู่แล้วออกมาใช้จนหมดเกลี้ยง

ตอนนี้หลานชายคนที่สามก็ใกล้จะถึงวัยแต่งเมียแล้ว ถังข้าวในบ้านก็ใกล้จะไม่เหลืออะไร ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องแต่เมียเลย

เจียงเหล่าหวู่สุดแสนกลุ้มใจ ตอนนั้นเขาก็อยากรับเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิงมาเลี้ยงดู ไม่ต้องไปพูดถึงอย่างอื่น นั่นที่ดินสิบไร่เชียวนา แต่คนในวงศ์ตระกูลกลับไม่เห็นด้วย หนึ่งเพราะสายเลือดของพวกเขาค่อนข้างห่างเหินเกินไป สองคือเด็กในบ้านของเจียงเหล่าหวู่มีมากอยู่แล้ว คนในวงศ์ตระกูลจึงคิดว่าเขาคงจะเลี้ยงดูเด็กสองคนนี้ไม่ไหว สุดท้ายจึงดันทุรังและแบ่งเด็กสองคนนั้นให้กับครอบครัวของท่านปู่เจียงแทน

ดังนั้น ตอนที่เด็กสองคนนี้บอกว่าจะแยกบ้าน ส่วนหนึ่งคือรู้สึกเห็นใจเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง อีกส่วนคืออิจฉาครอบครัวของท่านปู่เจียง แต่เจียงเหล่าหวู่เลือกที่จะสนับสนุนสองพี่น้องอย่างแน่วแน่

แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย

ตอนนี้เมื่อมาเห็นเจียงป่าวชิง เจียงเหล่าหวู่จึงรู้สึกตื่นตัวอยู่เล็กน้อย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เอ็นดูเด็กคนนี้ แต่สาเหตุหลักคือครอบครัวของพวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลือเด็กคนนี้ได้อีกแล้ว

“ป่าวชิง เจ้ามีธุระอะไรหรือ ?” รอยยิ้มของเจียงเหล่าหวู่ค่อนข้างแข็งทื่อเล็กน้อย

คนอื่น ๆ นั้นไม่พูดอะไรแม้แต่นิดเดียว พวกเขากินหมี่ข้าวโพดจนออกเสียงดัง ราวกับกลัวว่าตัวเองจะไม่พอกินในภายหลังอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ท่านปู่ห้าเจ้าคะ ขอบคุณที่ท่านปู่ช่วยข้าพูดในตอนที่ข้าแยกออกมาอยู่ข้างนอกนะเจ้าคะ วันนี้ข้าจึงมาเยี่ยมท่านปู่”

เมียของเจียงเหล่าหวู่สังเกตเจียงป่าวชิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย …ในเมื่อบอกว่ามาเยี่ยม แต่ทำไมถึงมามือเปล่าล่ะ ?

เด็กที่ไม่มีแม่ให้สอน ไม่เข้าใจเรื่องธรรมเนียมปฏิบัติเอาเสียเลยจริง ๆ นางเบะปากเล็กน้อย ขณะที่สีหน้าของเจียงเหล่าหวู่ก็ค่อนข้างแข็งทื่อเช่นกัน “อ้อ… อ้อ… เป็นเช่นนี้นี่เอง”

มากินข้าวบ้านเขาจริง ๆ ด้วย

เจียงเหล่าหวู่หน้านิ่วคิ้วขมวด

เจียงป่าวชิงไม่ใส่ใจความคิดของเจียงเหล่าหวู่ นางยังคงพูดยิ้ม ๆ “คืออย่างนี้เจ้าค่ะ ท่านปู่ห้า ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าท่านอาในครอบครัวของท่านปู่ห้ายังมีลูกพี่ลูกน้องอีกหนึ่งคน และเขามีฝีมือด้านการทำไร่ทำนาเป็นอย่างยิ่ง ออกแรงทีหนึ่งสามารถทำให้ที่ดินที่แข็งและไม่ได้ผลผลิตผืนนั้นสร้างผลผลิตออกมาได้ ข้านับถือเขามากจริง ๆ เจ้าค่ะ”

ใครไม่ชอบฟังคนอื่นพูดชมตัวเองว่าทำไร่ทำนาเก่งกันล่ะ ?  เมื่อเจียงเหล่าหวู่ได้ฟังที่เจียงป่าวชิงพูด เขาก็ยิ้มหน้าบานราวกับดอกเก๊กฮวย จากนั้นจิตใจที่คอยระแวงของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง “อ้อ เจ้าหมายถึงทำไร่ทำนานี่เอง… เด็กคนนี้ชมเกินจริง แต่อย่าหาว่าพวกข้าอวดเลยนะ งานทำไร่ทำนาของครอบครัวพวกข้าน่ะติดอันดับต้น ๆ ในชีหลี่โวเลย”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างคล้อยตาม: “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น ที่ข้ามาวันนี้ ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับท่านปู่ห้าสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”

ความตื่นตัวที่ปลิวหายไปเมื่อสักครู่ของเจียงเหล่าหวู่บินกลับมาอีกครั้ง จากนั้นเขาก็มองเจียงป่าวชิงอย่างระแวดระวังอยู่เล็กน้อย “เรื่องอะไรรึ ?”

เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ก็ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ ก็แค่ที่ดินห้าไร่ของครอบครัวข้าก่อนหน้านี้กลับมาแล้วไม่ใช่รึเจ้าคะ ? เดิมทีข้าคิดจะไปถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องการปลูกเมล็ดพันธุ์สักชนิดหนึ่งในที่ดินด้วยตัวเอง แต่ช่วงนี้ข้าไม่ระวัง ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ทำให้ไม่สามารถปลูกเองได้ และข้าได้ยินมาว่าท่านปู่ห้ามีฝีมือด้านการเพาะปลูก จึงมาถามดูว่าครอบครัวท่านปู่ห้าอยากเช่าที่ดินของครอบครัวข้าหรือไม่ ? เราเป็นญาติกัน ค่าเช่าที่ให้ข้า ให้ร้อยละยี่สิบก็ได้เจ้าค่ะ”

ได้ยินคำพูดนี้ คนในครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่ก็ตกตะลึงไปทันที

การหายใจของเจียงเหล่าหวู่ถี่ขึ้นทันที เขามองเจียงป่าวชิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “อะไรนะ เจ้าบอกว่าอย่างไรนะ ?”

เขาไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลยจริง ๆ

เจียงป่าวชิงจึงต้องพูดเรื่องเช่าที่ดินให้เพวกเขาฟังอีกครั้ง จากนั้นก็พูดต่อ “ไม่รู้ว่าท่านปู่ห้ากับพวกท่านอาทั้งหลายจะมีเวลาว่างหรือเปล่า…”

“ว่าง! ว่างสิ เหตุใดจะไม่ว่างล่ะ ?” เจียงเหล่าหวู่แทบจะตบขาตัวเองจนหักอยู่แล้ว เขาลุกขึ้นอย่างดีใจจนเกือบชนโต๊ะล้มอยู่รอมร่อ “ไอ้โย ป่าวชิง ข้าดูรู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ข้ายังพูดกับย่าห้าอยู่เลย เจ้ากับพี่ชายเจ้าแยกออกมาอยู่ข้างนอกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้ามีอะไรให้ช่วย พวกข้าจะไปช่วยพวกเจ้าเอง …ส่วนที่ดินนี้ยกให้พวกข้าปลูกนั่นแหละ เจ้าไม่ต้องห่วง จะไม่มีปัญหาแน่นอน”

หลานชายคนที่สามของเจียงเหล่าหวู่ตาเป็นประกายทันที “น้องป่าวชิง เจ้าพูดจริงรึ ? เจ้ายกที่ดินห้าไร่ให้ครอบครัวของพวกข้าเช่าจริง ๆ รึ ?”

พี่ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ เขากระแทกศอกใส่เขาหนึ่งที “น้องสามเจ้ายังจะถามอะไรอีก! ป่าวชิงของเราบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เราเช่า”

ท่าทางของหลานชายคนที่สามเหมือนอยากจะกระโดดโลดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น “คะ… ค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบจริง ๆ รึ ?”

ค่าเช่าที่ร้อยละยี่สิบ!

ต้องทราบก่อนว่าการเช่าที่ดินของคนอื่น ค่าเช่าที่จะอยู่ที่ร้อยละสามสิบขึ้นไป อีกอย่าง ตอนนี้การเก็บเกี่ยวในรอบปีไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ค่าเช่าที่ร้อยละสามสิบยังเช่าไม่ได้เลย อย่างน้อยค่าเช่าที่ต้องร้อยละสี่สิบขึ้นไปถึงจะเช่าได้

ครอบครัวของเจียงเหล่าหวู่พากันจ้องเจียงป่าวชิงทั้งอย่างนั้น