หมู่บ้านหวงซีเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองหรงเฉิง ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีแค่ถนนคับแคบที่สามารถเข้าออกได้ ชาวบ้านมีแค่ไม่กี่ร้อยคน

ตั้งแต่เกิดคดีประหลาดหลายคดีต่อเนื่องกันในระยะนี้ ตอนนี้ชาวบ้านต่างก็ขวัญผวา

แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลจะปิดข่าวแล้ว แต่จู่ๆ มีคนสิบกว่าชีวิตจากไปกะทันหัน จะปิดบังคนในหมู่บ้านได้อย่างไร

ถึงขั้นว่ามีผู้คนไม่น้อยเห็นสภาพน่าสังเวชหลังเสียชีวิตของชาวบ้าน แม้แต่จะนอนก็นอนไม่หลับแล้ว

รัฐบาลใช้นโยบายปลอบขวัญมากมาย กลับไม่ได้ผลมากนัก ความหวาดหวั่นยังคงลุกลามไปทั่วหมู่บ้าน ถึงขั้นว่ามีชาวบ้านบางส่วนตกใจจนหนีออกจากหมู่บ้าน

ถนนเข้าหมู่บ้านคับแคบเกินไป รถยนต์เข้าไปไม่ได้

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงลงจากรถที่หน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็เริ่มเดินเท้า

พวกเขาเดินเลียบไปตามลำธารใสสะอาด เมื่อเดินไปได้หนึ่งกิโลเมตร ในที่สุดก็เจอบ้านที่ตั้งอยู่ประปราย

หากมองจากสภาพแวดล้อมแล้ว หมู่บ้านอยู่ติดภูเขาเขียว โอบล้อมด้วยสายธาร ทัศนียภาพงดงามยิ่งนัก แค่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็รู้สึกจิตใจผ่อนคลายแล้ว

แต่หลังเกิดคดีต่อเนื่องในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมามีความทุกข์ฉาบทับใบหน้า แม้แต่บรรยากาศในหมู่บ้านก็กดดันและหนักอึ้ง

หวังตงผู้ใหญ่บ้านทำหน้าที่ต้อนรับอันหลินกับเถียนหลิงหลิง

อธิบดีโจวเจิ้งของกรมตำรวจประจำมณฑลทักทายหวังตงไปแล้ว

หวังตงรู้แล้วว่าสองคนที่มาในตอนนี้ ก็คือเจ้าหน้าที่พิเศษที่จะมาจัดการคดีของหมู่บ้าน จึงไปต้อนรับด้วยตัวเอง ไม่กล้าล่วงเกิน

หวังตงเป็นคุณลุงอายุห้าสิบกว่า แต่ร่างกายกลับดูแข็งแรงกำยำ

เขายืนรออยู่หน้าหมู่บ้าน เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่พิเศษ เป็นชายที่ดูค่อนข้างหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวตัวเล็กน่ารักแล้ว ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

อะไรกัน คดีใหญ่ขนาดนี้ กรมตำรวจส่งวัยรุ่นที่ดูไม่มีกำลังสองคนมาจัดการงั้นเหรอ

แม้หวังตงจะเคลือบแคลงใจและไม่พอใจ แต่ก็พยายามดูแลทั้งคู่อย่างเต็มที่

เมื่ออันหลินเจอหวังตง ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เอ่ยปากขอไปตรวจสอบจุดเกินเหตุทันที

จุดเกิดเหตุของคดีมีทั้งหมดสามแห่ง กำหนดจากครัวเรือน แต่ละครัวเรือนตายด้วยวิธีการเดียวกันลูกตาหายไป ตายเพราะพลังชีวิตสูญสิ้น

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงมาถึงบ้านที่เกิดเรื่อง ที่นี่ถูกเทปกั้นเขตกั้นไว้หมดแล้ว

พวกเขาข้ามเทปกั้นเขตเข้าไปข้างใน พลันก็รู้สึกถึงความเย็นเยือก ทำให้ขนลุกขนชันขึ้นมา

“สถานที่เกิดเหตุทุกที่ประหลาดมาก ถ้าฉันไม่ต้องพาพวกเธอมา คงไม่มีทางเข้ามาใกล้เด็ดขาด” ร่างกายกำยำของหวังตง ก็รู้สึกเย็นยะเยือก พูดพลางหดตัวเล็กน้อย

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงสบตากัน ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของกันและกัน

พวกเขาเดินดูรอบๆ บ้านแล้วกลับไปที่หน้าบ้านอีกครั้ง

อันหลิน “ขอให้ผู้ใหญ่หวังช่วยพาพวกเราไปที่จุดเกิดเหตุแต่ละแห่งหน่อยนะ”

หวังตงเบิกตากว้าง “ดู…ดูเสร็จแล้วเหรอ”

ตำรวจสืบสวนทั่วไป มักจะตรวจหาเบาะแสทุกอณูของพื้นที่ สอบถามเหตุการณ์ต่างๆ นานา จากนั้นก็ค่อยๆ สันนิษฐานอย่างละเอียดไม่ใช่เหรอ

แต่สองคนนี้กลับทำเหมือนท่องเที่ยว เดินรอบๆ บ้าน ไม่พูดอะไรเลย ไม่ถึงห้านาทีก็บอกว่าจะไปอีกที่…

พวกเขามาไขคดีจริงๆ ไม่ได้มาเยี่ยมชมใช่ไหม!

เมื่อเห็นอันหลินกับเถียนหลิงหลิงพยักหน้าจริงจัง หวังตงทำได้แค่เก็บงำความไม่พอใจไว้ในใจ พาพวกเขาไปยังที่เกิดเหตุอีกแห่งอย่างระอาใจ

เมื่อถึงจุดเกิดเหตุอีกแห่ง พวกอันหลินใช้เวลาแค่ห้านาทีก็ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยเหมือนเดิม

หวังตงพาพวกเขาไปที่จุดเกิดเหตุที่สามด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ด้วยเหตุนี้ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หวังตงก็พาพวกเขา ‘เยี่ยมชม’ ที่เกิดเหตุทั้งสามจุดจนครบ

“ผู้ใหญ่หวัง พวกเราตรวจสอบเสร็จแล้ว ขออยู่ที่บ้านของคุณสักระยะหนึ่ง กลางคืนค่อยไปดูที่จุดเกิดเหตุ” อันหลินพูดกับหวังตงยิ้มๆ

หวังตง “…”

เมื่อมาถึงบ้านของหวังตง ภรรยาของเขาเตรียมอาหารมื้อใหญ่รอต้อนรับพวกอันหลินอยู่นานแล้ว

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงกินอย่างเอร็ดอร่อย ชมอาหารพื้นบ้านรสชาติดั้งเดิมไม่ขาดปาก

“หลิงหลิง ไก่นี่อร่อยมากเลย! แค่จิ้มเกลือนิดหน่อย ก็ได้รสสัมผัสหอมอร่อยของเนื้อไก่แล้ว!”

“นักพรตจอมปลอม ผักบุ้งจานนี้ก็อร่อยมาก! ฉันอยู่ในเมืองไม่เคยกินผักที่สดอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย นี่มันผักเขียวปลอดสารพิษของแท้! คุณน้า ขอผัดผักบุ้งอีกจานได้ไหม”

เมื่อหวังตงได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ก็ชักสีหน้า

เขาคิดว่าตัวเองพาตำรวจปลอมมาไขคดี สองคนนี้คงไม่ได้ดั้นด้นมาถึงบ้านเขาเพื่อมาขอกินฟรีดื่มฟรีหรอกนะ!

หากไม่ใช่เพราะสองคนนี้แสดงเอกสารยืนยัน หวังตงคงไล่ตะเพิดพวกเขาออกไปนานแล้ว

แต่ภรรยาของผู้ใหญ่หวังกลับยิ้มร่า อาหารที่ทำได้รับคำชมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เธอดีใจมากทีเดียว

ม่านรัตติกาลมาเยือนโดยไม่รู้ตัว

อันหลินกับเถียนหลิงหลิงออกจากบ้านของผู้ใหญ่หวังอีกครั้ง

ครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ให้ผู้ใหญ่หวังตามไป

ถนนหนทางของหมู่บ้านมีไฟทางเดิน พวกเขาเดินเหินอยู่บนถนนเส้นเล็กท่ามกลางแสงสลัว กวาดตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง

“ไอเย็นเยือกนั่น เป็นลักษณะเฉพาะตัวที่จะเกิดขึ้นยามผีร้ายจู่โจม มันจะคงอยู่ไม่จางหายหลังเกิดเหตุ เห็นได้ชัดว่าผีร้ายตัวนั้นบรรลุระดับแม่ทัพแล้ว” จู่ๆ เถียนหลิงหลิงก็โพล่งขึ้นมา

“ไอเย็นเยือกกลุ่มหนึ่งบ้าระห่ำ อีกกลุ่มกลับเลือนรางแต่อันตรายถึงชีวิต มีผีร้ายถึงสองตัวแน่ะ” อันหลินพูดเสริม

เถียนหลิงหลิงได้ฟัง ความกลัดกลุ้มก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอ

เธอพูดว่า “หากมองจากจุดเกิดเหตุแล้ว การโจมตีของผีร้ายไม่มีแบบแผน เกรงว่าขอบเขตการลาดตระเวนของพวกเราคงต้องครอบคลุมหมู่บ้านหวงซีซะแล้ว”

อันหลินพูดต่อว่า “อืม…ได้ยินว่าตอนกลางคืนจะมีเสียงประหลาด พวกเราใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นได้!”

เพราะมีคดีเหล่านั้นเกิดขึ้นในหมู่บ้านหวงซี ไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าออกมากลางค่ำกลางคืนเลย

ถนนของหมู่บ้านเงียบวังเวง สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงฝีเท้าของอันหลินกับเถียนหลิงหลิง

ทุกครั้งที่เท้าย่ำพื้น จะมีเสียงสวบสาบดังค่อนข้างชัดเจน

จู่ๆ ก็มีสายลมก็พัดกรรโชก

เถียนหลิงหลิงสั่นระริก อดทึ้งชายเสื้อของอันหลินไม่ได้

อันหลินสังเกตเห็นท่าทีของเธอ จึงมองเธออย่างแปลกใจแล้วถามว่า “หนาวเหรอ”

เถียนหลิงหลิงหน้าแดง พยักหน้า เสียงขานรับในลำคอเบาหวิว

อันหลินยักไหล่ “แต่ตอนนี้ฉันมีแค่เสื้อตัวเดียว เธออย่าหวังให้ฉันถอดเสื้อให้เธอใส่เหมือนในละครเลยดีกว่า”

เถียนหลิงหลิงกลอกตา “ใครจะไปอยากได้เสื้อของนายกัน! ต่อให้นายมีจริงๆ ฉันก็ไม่ใส่หรอก!”

อันหลินเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจเธอ ทำเอาเถียนหลิงหลิงตกใจจนต้องรีบเดินตาม

ม่านรัตติกาลสีดำสนิทฉาบทับอันหลิน

เถียนหลิงหลิงรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวน่ากลัว ไม่มีทางสัมผัสได้ในเวลากลางวัน

เธออดหาเรื่องคุยต่อไม่ได้ เพราะมีแต่สนทนาเท่านั้น ที่จะลดความหวาดกลัวของเธอลงได้

“นักพรตจอมปลอม นายว่าผีร้ายระดับแม่ทัพสองตัว พวกเราจะสู้ได้ไหม” เถียนหลิงหลิงพูด

ผู้ชายข้างหน้าพูดช้าๆ ว่า “พวกเราสู้ไม่ได้หรอก…”

เถียนหลิงหลิงได้ฟังก็ชะงัก “ทำไมล่ะ ก่อนหน้านี้นายยังพูดว่าตัวเองเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับเซียน จัดการผีร้ายระดับแม่ทัพเป็นเรื่องกล้วยๆ ไม่ใช่เหรอ”

ลมเย็นจับขั้วหัวใจโชยมา ใบไม้รอบข้างส่งเสียงดังกรอบแกรบ

“เพราะว่า…”

อันหลินหันมาจ้องเถียนหลิงหลิงอย่างเชื่องช้า ดวงตาเบิกกว้าง แลบลิ้นยาว

“ฉัน…”

“ตายไปแล้วไง…”

“กริ๊ด!” เถียนหลิงหลิงล้มก้นจ้ำเบ้า กรีดร้องเสียงดัง ตกใจจนร้องไห้โฮ!

…………………………..