ตอนที่70 เหอจื่อ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่70 เหอจื่อ

“ถ้าไม่สามารถแบกรับผลความล้มเหลวที่จะตามมาได้ ก็อย่าเอาตัวเข้าไปในเกมชีวิต เพราะถ้าเข้ามาแล้ว ก็อย่าโลกสวยคิดว่าศัตรูจะกลับกลายมาเป็นมิตรหรือยอมไว้ชีวิตคุณ ในทางตรงข้าม ถ้าศัตรูจนตรอกก็ควรจัดการให้เด็ดขาด เมื่อใดที่รู้สึกสงสาร ตัวคุณจะโดนลอบฟันข้างหลังทันที”

หลี่ถงซี่พยักหน้าตอบอย่างรวดเร็ว เหมือนเธอจะถูกคำพูดของเขากระตุ้นเข้าอย่างจัง

ระหว่างทางเดินไปยังอาคารแพทย์แผนจีน หลี่ถงซีและฉีเล่ยพลางสนทนากันเป็นภาพฉากที่ดูสนิทสนม และนี่เป็นอะไรที่แปลกตาคนอื่นอย่างยิ่ง ตลอดทางยาวทั้งคู่จึงกลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดานักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาจำนวนไม่น้อย บ้างถึงกับกระซิบกระซาบกันไม่หยุดหย่อน บางคำพูดฟังดูแล้วไม่รื่นหูเอาซะเลย

“เอ๊ะ? นั่นไม่ใช่‘อาจารย์ปิง’หรอกเหรอ? นี่ไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”

“นั่น…นั่นมันอาจารย์ปิงจริงๆ เธอกำลังเดินอยู่กับผู้ชาย?”

“แล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? ดูแล้วอย่างกับนักศึกษาใส่สูทเลย…”

“….”

ฉีเล่ยลอบฟังเสียงกระซิบกระซาบกันตามทาง พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านครึ่งค่อนมหาวิทยาลัยและในที่สุดก็มาถึงอาคารแพทย์แผนจีน

ตรงหน้าเป็นตึกอาคารแพทย์ศาสตร์สาขาการแพทย์แผนจีน ทั้งสองเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นสาม หลี่ถงซียืนชี้ไปตรงทางเดินด้านในสุดและกล่าวว่า

“ห้องด้านในสุดจะเป็นห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์สาขาแพทย์แผนจีน ไปรายงานตัวเถอะ ฉันต้องไปสอนแล้ว”

“ขอบคุณมากครับ แล้วจำที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านะครับ ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น โยนมาให้ผมเลย เดี๋ยวที่เหลือจัดการเองครับ”

ฉีเล่ยเหลือบหางตามองหลี่ถงซีอยู่แวบหนึ่งพร้อมกล่าวย้ำเตือนเธออีกครั้ง

เขาทราบดีว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

“อืม”

หลี่ถงซีเหลือบมองด้วยหางตากลับพร้อมพยักหน้าตอบ จากนั้นเธอก็ขอตัวและเดินลงบันได

……….

เนื่องจากได้รับรายงานมาจากหัวหน้าภาคหลินแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีคนนี้จึงค่อนข้างสุภาพกับฉีเล่ย

ก่อนอื่นเลย เขาเริ่มอธิบายภาพรวมเกี่ยวกับสาขาแพทย์แผนจีนในปัจจุบันให้ฟัง จากนั้นจึงค่อยถามฉีเล่ยว่าเขาถนัดด้านไหนที่สุด จะได้นำในจุดนั้นมาประยุกต์กับจุดแข็งของเขา เพื่อตัดสินใจคัดเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมให้เขาไปสอน

ทีแรกฉีเล่ยต้องการจะตอบเชิงสุภาพกลับไป แต่หลังจากครุ่นคิดพินิจอีกครั้ง เขาก็แจ้งไปทันทีว่า ตนเคยมีประสบการณ์ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงต้องการรับหน้าที่สอนวิชา‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’โดยตรง

เดิมทีหัวหน้าคณะอาจารย์ซีคิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้ยังอายุค่อนข้างน้อยน่าจะเพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ น่าจะให้ความสำคัญกับวิชาด้านทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ อย่างเช่น วิชาประวัติศาสตร์พัฒนาการแพทย์แผนจีน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า อีกฝ่ายจะเลือกวิชา‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’แบบนี้เลย

หลังจากกรอกเอกสารต่างๆจนเสร็จสมบูรณ์ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็เสนอตัวเดินไปส่งฉีเล่ยที่ห้องเรียนแรก แต่กลับโดนปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากจะรบกวนจนเกินไป จากนั้นฉีเล่ยก็ถือหนังสือที่เพิ่งได้รับมา เดินตรงไปยังห้องเรียนที่408 ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าภายในห้องเรียน มีนักศึกษาจำนวนหลายสิบคนกำลังนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

ไม่มีใครสังเกตเห็นอาจารย์คนใหม่เดินเข้ามายืนหน้าห้องเลยสักคน ฉีเล่ยย่างเท้าก้าวเข้ามาไร้สุ้มเสียงราวกับกรวดหินแผ่นบางเสียดผิวทะเลสาบไร้ระรอกคลื่น

จนกระทั่งเดินมาถึงหน้ากระดาษดำ นักศึกษาแต่ละคนจึงเพิ่งสังเกตเห็นเป็นชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงิน ใบหน้าหล่อเหลา ผนวกกับเสื้อสีสดใสข้างในช่วยเสริมให้ดูภูมิฐานยิ่งขึ้น แต่กลับไม่มีใครคิดเลยว่าเขาจะเป็นอาจารย์

เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียน ฉีเล่ยก็เลยวางกองหนังสือเรียนไว้บนโต๊ะหน้าห้อง จากนั้นก็เดินไปลากเก้าอี้ชั้นเรียนแถวแรกมานั่งพักผ่อน

ด้านข้างของเขาเป็นสาวสวยสวมหมวกเบสบอล ผมสีดำสลวยถูกรวบไปปกคลุมบนไหล่ข้างหนึ่ง รูปร่างหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ถ้าสังเกตดูให้ดีเธอเหมือนตุ๊กตาพอร์ซเลนที่ลูกผู้ดีอังกฤษนิยมเล่นกัน ดูไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัวจัดสักเท่าไหร่ รวมไปถึงการแต่งหน้าแต่งตาด้วยเช่นกัน เพียงทารองพื้นมาบางๆเท่านั้น ดูสวยแบบเป็นธรรมชาติ

หญิงสาวนั่งอยู่ข้างซ้ายมือของฉีเล่ยดูมีท่าทีเปิดเผย หากมองผ่านๆภาพฉากนี้ดูลวงตาไม่น้อย เสมือนกับว่าเธอตัวสูงกว่าเขาเสียอีก

แน่นอนว่าสาเหตุที่เธอสูงกว่าเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้นั่งตำแหน่งหลัง ในขณะที่ฉีเล่ยนั่งห่อไหล่เล็กน้อย แผ่นหลังเอนไปพิงกับเก้าอี้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริงสาวสวยคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าเตี้ยเลย มองด้วยสายตาผ่านๆอย่างน้อยก็น่าจะสูงประมาณ170ซม.ขึ้นไป

หญิงสาวคนนี้สวมเสื้อสเวตเตอร์สีแดง กำลังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่ในปาก มีเป่าเป็นลูกโป่งสีชมพูพองใหญ่อยู่สองสามรอบ พร้อมเสียงแตกดัง‘ป๊อป’ เธอกำลังสวมหูฟังสีขาวฟังเพลงดูท่าทางกำลังเพลิดเพลิน

เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างๆวันนี้ดูไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตา หญิงสาวก็หยิบหูฟังออกและเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า

“นายเป็นใครน่ะ? เรียนอยู่ในคลาสเดียวกับเราด้วยเหรอ?”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มตอบ

“ผมเพิ่งมาใหม่น่ะ”

เมื่อเห็นชายหนุ่มส่งยิ้มให้ หญิงสาวคนนั้นก็หัวเราะ จากดวงตาคู่กลมสวยประดุจอัญมณี ถูกบีบจนหรี่เล็กเป็นทรงเรียวคล้ายกับเสี้ยวจันทร์สวย เธอยิ้มตอบไปว่า

“ฉันเหอจื่อ จะเรียกว่าเสี่ยวจื่อก็ได้นะ ยินดีที่ได้รู้จัก!”

“เหอจื่อ? ชื่อฟังดูเพราะมากเลยครับ”

ฉีเล่ยกล่าวตอบ

“ก็นะ…แม่บอกว่าตอนที่คลอดฉัน หมอดูทักว่า‘ลูกของเธอมาพร้อมความสามารถแห่งการรักษาและบรรเทาโรคภัย’”

พอเหอจื่นเล่ามาถึงจุดนี้ก็แกล้งดัดเสียงเป็นคนแก่เหมือนหมอดู จากนั้นก็กล่าวต่อว่า

“คิดอะไรไม่ออกแม่ของฉันก็เลยอยากตั้งชื่อตามสมุนไพร แล้วบังเอิญว่าพ่อของฉันสกุลเหอพอดี ฉันก็เลยได้ชื่อว่า เหอจื่อ”

พลางได้ฟังความขี้เล่นของหญิงสาว ฉีเล่ยก็อดยิ้มไม่ได้และกล่าวว่า

“คุณเป็นคนตลกดีนะ”

‘ป๊อป’เหอจื่อเป่าหมากฝรั่งเป็นลูกโป่งอีกครั้ง ก่อนกล่าวว่า

“แล้วฉันก็น่ารักด้วยนะ บางทีหมอดูคนนั้นอาจจะพูดถูก แต่ก่อนจะไปช่วยใคร ฉันต้องเรียนให้จบก่อนนะ ฮ่าฮ่า…”

น่ารักดูเป็นมิตรจริงๆ แม้แต่ความคิดเองก็ยังน่ารัก

“ว่าแต่นายชื่ออะไร?”

“ฉีเล่ย”

จู่ๆเหอจื่อก็ยกมือขึ้นมานับนิ้วใหญ่และเอ่ยถามขึ้นว่า

“ฉีก็คือก้อนหินหนึ่งก้อน ส่วนเล่ยก็เท่ากับสามก้อน ชื่อของนายหมายความว่ายังไงอ่ะ? ก้อนหินสี่ก้อนงั้นเหรอ? จะพยายามสื่อว่า ตัวเองแข็งแกร่งดั่งภูผาอะไรแบบนั้น?”

หลังจากพูดจบยังไม่ทันเปิดโอกาสให้ฉีเล่ยเอ่ยปากอะไรตอบ เหอจื่อก็กล่าวขึ้นแสดงความเห็นของตัวเองไปทันทีว่า

“งั้นฉันเรียกนายว่า ฉีเล้ยเล่ย นะ จะได้มีหินครบเจ็ดก้อน ดูหนักกว่าหกก้อนตั้งเยอะ อิอิ”

ฉีเล่ยถึงกับพูดไม่ออกต่อหน้ามุกตลกของเธอคนนี้ พลางคิดกับตัวเองในใจว่า ทำไมไม่ถึงตั้งชื่อให้เขาใหม่ว่า ฉีเล้ยเล่ยเล้ยเล่ยเล้ยเล่ย….ไปเลยล่ะ คงสร้างเหมืองหินได้พอดี

แต่แทนที่จะเล่นมุกตอบเธอกลับไป เขากลับก้มหน้าก้มตาพลิกหน้าหนังสืออ่านอย่างตั้งใจแทน หัวหน้าคณะอาจารย์ซีอุตส่าห์ปล่อยให้เขามาสอนทันทีตั้งแต่เริ่มงานวันแรก นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไว้วางใจในตัวเขาขนาดไหน แต่ถึงอย่างไรการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกศิษย์ของตนก็เป็นสิ่งสำคัญ ดีกว่าที่จะเลือกเพิกเฉยต่อคำพูดของพวกเขา

เมื่อเหอจื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งข้างๆหยุดสนทนากับเธอไป และก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ เธอก็ชะโงกหน้ามาดูเล็กน้อยและเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยถามขึ้นว่า

“นี่ๆ ฉันได้ยินมาว่า อาจารย์คนใหม่ที่จะมาสอนวิชา‘การวินิจฉัย’เข้าสอนวันนี้เป็นวันแรก นายรู้ข่าวรึยัง?”

“อ่อ ผมรู้แล้วครับ”

ฉีเล่ยพยักหน้าตอบและพลิกหน้าหนังสืออ่านต่อไป

“เห๊~? ทำไมนายข่าวเร็วจัง? ฉันคิดว่าตัวเองรู้คนแรกเลยนะเนี่ย”

เหอจื่อถอนหายใจทอดเสียงยาวด้วยความเศร้าใจ ก่อนหน้านี้เธอมั่นใจอย่างมากว่า ตัวเองรู้ข่าวเป็นคนแรกของห้อง แต่ที่ไหนได้ กลับมีชายหนุ่มที่นั่งข้างๆดันรู้ก่อนเธออีก นี่เป็นอะไรที่ชวนตกใจจริงๆ

ฉีเล่ยหยุดจ้องหน้าหนังสือเล็กน้อย หันมากล่าวต่อว่า

“แต่ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”

ใช่แล้ว หนึ่งในวิชาเสริมของหมวด‘เทคนิคแพทย์แผนจีนและการใช้ยา’ก็คือ วิชา‘การวินิจฉัย’ และเขากำลังจะเริ่มสอนวิชานี้ในอีกไม่ช้า

เหอจื่อเอนหลังพิงเก้าอี้ ยกมือทั้งสองข้างประสานไว้หลังศีรษะ แหงนมองเพดานห้องเรียนอย่างว่างเปล่าพลางกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่รู้ว่าอาจารย์คนนี้จะทำได้หรือเปล่านะ ถ้าทำไม่ได้อีกก็คงโดนพวกเรารับน้องจนโดนไล่ออกอีกแหงๆ”

“โดนรับน้อง?”

ในที่สุดฉีเล่ยก็ถอนสายตาออกจากหนังสือเรียนและปิดลงทันที หันไปมองเหอจื่อและเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ใช่ พวกเราไล่ออกไปสองคนแล้ว เหอะ เหอะ…ก็จะให้ทำไงได้? กล้ามาหลอกนักศึกษาอย่างเราแถมยังทำตัวอวดฉลาด ทั้งที่เนื้อในกลับไม่มีดีอะไรเลย เป็นนายจะยอมทนให้คนแบบนั้นมาสอนรึไงล่ะ?”

ท่าทางการแสดงออกระหว่างที่เธอกล่าวออกมาดูจะภูมิใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าแผนการทั้งหมดที่ไล่อาจารย์พวกนั้นออกไปเป็นฝีมือของเธอเอง

ฉีเล่ยเอ่ยถามต่อว่า

“พวกเขามาตรฐานต่ำขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ต่ำมาก ขนาดตอบคำถามพวกเรายังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะกับอาจารย์คนล่าสุด ดันวินิจฉัยว่าเพื่อนร่วมคลาสของเราเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ที่ไหนได้ดันเป็นโรคบิด เล่นซะเพื่อนคนนั้นเกือบรักษาไม่ทัน”

ฉีเล่ยลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“คนแบบนี้ยังมีหน้าเป็นอาจารย์ได้อีกเหรอ?”

“ป๊อป! ใช่ไหมล่ะ?”

เสียงหมากฝรั่งลูกโป่งแตกดังขึ้นอีกครั้ง เหอจื่อค่อยกล่าวตอบเชิงเห็นพ้องกับอีกฝ่าย ขณะเดียวกันริมฝีปากของเธอกลับเปื้อนหมากฝรั่งเหนียว จนต้องรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดทันที ดูไปดูมาเธอเป็นคนน่ารักมีเสน่ห์ไม่น้อยเลย

ฉีเล่ยจับจ้องไปทางอีกฝ่ายและกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า

“ไม่ต้องห่วง อาจารย์คนใหม่จะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน”