บทที่ 53 ผู้ชมที่กำลังกินขนมปังหอยนางรมอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ข้าวที่ใช้ทำน้ำนมข้าวก็มาจากระบบเช่นกัน ข้าวทุกเมล็ดมีรูปร่างกลมป้อมเหมือนไข่มุก ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังปราณมากมาย

ปู้ฟางใช้ทัพพีตักข้าวออกมาแล้วเทใส่โม่หิน จากนั้นก็ใส่ถั่วลิสงเข้าไปอีกหนึ่งทัพพี ตามด้วยน้ำ แล้วจึงเริ่มโม่อย่างเบามือ โม่หินที่ใช้เป็นโม่หินแบบดั้งเดิม พื้นผิวเรียบลื่นมันวาว

หลังจากที่โม่ส่วนผสมไปสักพัก น้ำนมข้าวข้นก็เริ่มไหลลงสู่ชามกระเบื้องสีฟ้าขาวที่ปู้ฟางนำมารองไว้ใต้โม่

เมื่อได้น้ำนมข้าวในปริมาณที่ต้องการแล้ว ปู้ฟางก็ทำความสะอาดโม่แล้วหยิบกระทะออกมา เขาเทน้ำมันลงไปครึ่งหนึ่งของกระทะ เปิดเตา รอให้น้ำมันร้อนได้อุณหภูมิที่ต้องการ

ตะหลิวที่ใช้ทอดขนมปังมีรูปร่างพิเศษ ไม่ได้เป็นทรงครึ่งวงกลมเหมือนตะหลิวทั่วไป แต่ค่อนข้างแบนเล็กน้อย

หลังจากที่เทน้ำนมข้าวลงไปบนตะหลิวแบน ปู้ฟางก็โรยหัวไชเท้าหั่นฝอยและหัวหอมสับบนน้ำนมข้าว หลังจากเทน้ำนมข้าวลงไปอีกสองชั้นโดยใส่เนื้อไว้ตรงกลาง เขาก็วางหอยนางรมตัวอ้วนโปะหน้า ราดทับด้วยน้ำนมข้าวชั้นสุดท้ายเพื่อห่อวัตถุดิบทั้งหมดไว้ข้างใน จนกลายเป็นขนมทรงครึ่งวงกลม

เมื่อน้ำมันในกระทะร้อนได้ที่จนเอามือไปอังแล้วรู้สึกได้ เขาก็จุ่มตะหลิวที่มีขนมปังหอยนางรมอยู่ข้างบนลงไปในน้ำมันเดือด ทันใดนั้น น้ำมันก็แตกดังซ่า ฟองน้ำมันสีเหลืองอ่อนปะทุขึ้นรอบขนมปัง

ขนมปังหอยนางรมนั้นไม่สามารถกลับได้ระหว่างกระบวนการทอด จึงถือเป็นบททดสอบความสามารถของพ่อครัวในการควบคุมความร้อนและเวลา แน่นอนว่ารสชาติของขนมปังย่อมไม่เหมือนกันหากสุกน้อยเกินไปหรือสุกมากเกินไป

หลังจากที่ภายนอกขนมปังสุกกรอบเป็นสีทองอร่ามเรียบร้อย ปู้ฟางก็นำขนมปังออกจากตะหลิว เอาไปพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน

เมื่อสะเด็ดน้ำมันจนหมด เพียงเท่านี้ขนมปังหอยนางรมทรงครึ่งวงกลมก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

น้ำนมข้าวที่ไม่ข้นจนเกินไปทำให้ยังมองเห็นวัตถุดิบภายในแป้งกรอบสีทองอยู่ กลิ่นหอมของของทอดกระจายออกจากขนมปังหอยนางรม เป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอันมาก

ถั่วลิสงที่ใส่เข้าไปด้วยระหว่างขั้นตอนการโม่นั้น ทำให้น้ำนมข้าวมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษหลังทอดจนกรอบ นอกจากนี้ความร้อนจากน้ำมันและน้ำนมข้าวทอดกรอบยังทำให้วัตถุดิบภายในสุกได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังเสริมให้กลิ่นของวัตถุดิบทุกชนิดเข้ากันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นหอยนางรมที่มีรสชาติของทะเลเจืออยู่ ยังติดปลายจมูกผู้ใดก็ตามที่ได้ดมเข้าไปอย่างไม่ยอมหนีหายไปไหน

แค่มองขนมปังหอยนางรมปู้ฟางก็รู้สึกหิวมากแล้ว ระหว่างที่รอขนมปังชิ้นที่สองทอดเสร็จ ชายหนุ่มก็หยิบขนมปังชิ้นแรกขึ้นมากัดอย่างหิวโหย

กรอบ…

ความกรอบของแป้ง รสชาติที่เข้มข้น และน้ำชุ่มฉ่ำจากหัวไชเท้าหั่นฝอยไหลทะลักเข้าปากชายหนุ่มทันที เขารู้สึกราวกับว่าความอร่อยได้พุ่งตรงขึ้นสู่สมอง ทำให้รูขุมขนทั่วทั้งร่างเปิดออกเล็กน้อย

กรอบ หอม อร่อย! สามคำนี้อธิบายรสชาติของขนมปังหอยนางรมได้เป็นอย่างดี หลังจากที่กัดคำแรกเข้าไป ก็ไม่มีใครต้านทานความต้องการอยากกินคำที่สองได้ เมื่อกัดเข้าไปอีกคำ ปู้ฟางก็ได้รสชาติของเนื้อที่ระเบิดอยู่ในปาก แล้วพุ่งตรงเข้าขั้วหัวใจของเขาทันที

เมื่อกัดคำที่สาม ชายหนุ่มก็ได้รับรสของหอยนางรมเข้าไปเต็มๆ หอยนางรมไม่ได้ถูกทอดจนกรอบเนื่องจากถูกห่อไว้ด้วยน้ำนมข้าว จึงกักเก็บรสชาติของอาหารทะเลเอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม เมื่อกินคู่กับหัวไชเท้าหั่นฝอยและเนื้อบด รสชาติจึงอร่อยล้ำจนปู้ฟางอยากกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอด

ขนมปังหอยนางรมนั้น… อร่อยจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว!

ปู้ฟางสะกดกลั้นความรู้สึกอยากกินขนมปังหอยนางรมจนหมดชิ้น แล้วเอาขนมปังหอยนางรมที่ทอดอยู่ออกจากกระทะ

หลังจากที่ทอดขนมปังหอยนางรมเสร็จสามชิ้น ปู้ฟางก็ไม่ได้ทำต่อ

ขนมปังหอยนางรมนี้เมื่อทำเสร็จแล้วต้องกินทันที หากปล่อยทิ้งไว้นานไป น้ำหัวไชเท้าและไอน้ำจะทำให้ขนมปังนิ่มลงจนสูญเสียความกรอบ จนรสชาติไม่เหมือนเดิม

ปู้ฟางกินขนมปังหอยนางรมเข้าไปสามชิ้น แต่ก็ยังรู้สึกอยากกินอยู่ ภายในปากของเขาเต็มไปด้วยรสชาติของขนมปังหอยนางรม ส่วนภายในใจก็เต็มไปด้วยความต้องการกินต่อ

ชายหนุ่มทำความสะอาดครัวแล้วกลับเข้าห้องเพื่อไปนอน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เขาก็ต้องนอนตามตารางปกติเสมอ

วันต่อมา ท้องฟ้าอบอุ่นด้วยแสงแดด อากาศปลอดโปร่งสดใส

ปู้ฟางนอนเกินเวลานิดหน่อยจึงตื่นสายกว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด

หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เขาก็เปิดร้านตามปกติ ภายนอกร้านมีคนมาเข้าแถวรออยู่แล้ว เจ้าอ้วนจินพร้อมสหายก็มารอสักพักแล้วเช่นกัน

“ตายๆ เถ้าแก่ปู้ วันนี้สายกว่าปกตินิดหนึ่งนะ” เจ้าอ้วนจินบ่น แต่สีหน้ายังคงร่าเริงอยู่มาก เขาเคยชินกับการกินอาหารเช้าที่ร้านของปู้ฟางทุกวันเป็นที่เรียบร้อย และสำหรับเขา “การได้กินอาหารของเถ้าแก่ปู้วันละครั้ง เป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด”

“อ้อ ข้ามัวแต่เตรียมอาหารรายการใหม่อยู่ เลยช้ากว่าปกตินิดหนึ่งเพราะยังไม่ชิน” ปู้ฟางพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สม

“อาหารจานใหม่รึ” เจ้าอ้วนจินตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยิน เขาหันหน้าไปมองรายการอาหารบนผนัง แล้วเห็นว่ามีชื่ออาหารจานใหม่เขียนอยู่ล่างสุดจริงๆ เสียด้วย

“ขนมปังหอยนางรมสองชิ้น ราคาห้าผลึก (ซื้อกลับบ้านได้)”

“ขนมปังหอยนางรมรึ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” เจ้าอ้วนจินคิด หน้าตาเหมือนต้องมนต์สะกด “แค่ชื่อก็อร่อยแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น เถ้าแก่ ข้าขอขนมปังหอยนางรมชุดหนึ่งก็แล้วกัน” เจ้าอ้วนจินสั่งอย่างมั่นอกมั่นใจ เศรษฐีใหม่อย่างเขาแน่นอนว่ามีเงินทองล้นเหลือ

“สั่งอาหารตามปกติก่อนก็ได้ แล้วค่อยสั่งขนมปังหอยนางรมกลับบ้าน จะได้เดินไปกินไป” ปู้ฟางเตือนสติเขา

เจ้าอ้วนจินคิดได้ทันทีว่าตนเองเดินหมากผิด จึงพยักหน้าและสั่งอาหารจานอื่นด้วย

หลังจากจำรายการที่ลูกค้าสั่งได้หมด ชายหนุ่มก็หันหลังเดินกลับเข้าครัวไปเพื่อเริ่มทำอาหาร

โอวหยางเสี่ยวอี้กระโดดดึ๋งดั๋งเข้ามาในร้าน แม้นางจะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานเป็นบริกรใช้หนี้แล้ว แต่ก็ยังมาทำงานตามกิจวัตร

ปู้ฟางเองก็ไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด เขาปล่อยให้นางทำตามชอบใจ

“เสี่ยวอี้ วันนี้ไม่ใช่วันสำคัญของตระกูลโอวหยางรึ เหตุใดจึงยังมาทำงานอีก” เจ้าอ้วนจินรู้สึกเบื่อเล็กน้อยขณะนั่งรออาหาร จึงหันหน้ามาคุยกับโอวหยางเสี่ยวอี้

“หา วันนี้มีเรื่องอะไรหรือ” เด็กหญิงสะดุ้งตกใจ

เจ้าอ้วนจินพูดต่อ “ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แต่ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วนครหลวงแล้ว ว่าองค์จักรพรรดิสั่งให้แม่ทัพใหญ่เซียวและแม่ทัพโอวหยางประหารเชลยศึกของวันนี้ร่วมกันที่ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ เป็นพวกเจ้าสำนักน่ะ”

“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าสำนักวังวิญญาณทมิฬจะมีพลังปราณอยู่ที่ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการกันหมดเลยนะ… การที่นำมาประหารพร้อมกันเช่นนี้ แน่นอนว่าทั้งอาณาจักรย่อมตกใจเป็นธรรมดา คราวนี้ฝ่าบาทหวังผลว่าจะทำให้สำนักน้อยใหญ่นอกจักรวรรดิยำเกรงจริงๆ”

“ตาจิน ข้าบอกให้เลยนะ ข้ากลัวเหลือเกินว่าการประหารครั้งนี้จะไม่ราบรื่น เมื่อวานนี้ก็มีการต่อสู้ระหว่างแม่ทัพใหญ่เซียวกับราชากระบี่หัวใจสะบั้นไม่ใช่รึ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าจบอย่างไร คนลูกดันหนีไปเฉยเลยอย่างไรเล่า!”

“นอกจากสำนักความลับแห่งสวรรค์แล้ว เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากเก้าสำนักก็ยังมารวมตัวกันที่นครหลวงเพื่อหยุดการประหารของวันนี้ด้วย ข้าว่าวันนี้จะต้องมีศึกใหญ่เกิดขึ้นภายในนครหลวงอย่างแน่นอน! เจ้าไม่สังเกตรึว่าวันนี้มีทหารอารักขามากกว่าปกติหลายเท่าเชียว”

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ได้ยินบทสนทนาของลูกค้า นางก็ใจลอยทันที ในใจคิดไปว่า “จากที่พวกนี้พูดกัน ไม่ได้แปลว่าท่านพ่อและท่านพี่จะตกอยู่ในอันตรายรึ”

“เสี่ยวอี้ วานเอาอาหารไปให้ลูกค้าที” เสียงไร้อารมณ์ของปู้ฟางที่ลอยออกมาจากครัวทำให้เสี่ยวอี้ตื่นจากภวังค์

เมื่อเจ้าอ้วนจินและสหายกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ปู้ฟางก็ทำขนมปังหอยนางรมเสร็จพอดี

ในกลุ่มเหล่าชายอ้วนมีอยู่หกคนด้วยกัน ทุกคนสั่งขนมปังหอยนางรมกันคนละชุด รวมแล้วเป็นขนมปังหนึ่งโหลพอดี จึงต้องรอสักพักกว่าจะทำเสร็จ

“นี่น่ะรึ ขนมปังหอยนางรม กลิ่นหอมเป็นบ้า” เจ้าอ้วนจินมองขนมปังสองชิ้นในมือที่ห่อมาในใบไผ่ แล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย ขนมปังหอยนางรมสีเหลืองทองปล่อยกลิ่นหอมยั่วยวนออกมาจนทำให้น้ำลายสอ

กลุ่มชายอ้วนผู้ร่ำรวยเดินออกจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางไปด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจกับขนมปังหอยนางรมในมือ

“ตาจิน เราไปดูลานประหารกันหน่อยไหมเล่า เชลยเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการหกคนเลยนะ จะหาโอกาสเช่นนี้ได้ที่ไหนอีก” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดขึ้นมา ส่วนที่เหลือก็พยักหน้าเห็นพ้องต้องกันทันที

ด้วยเหตุนี้กลุ่มชายอ้วนที่ถือขนมปังหอยนางรมอยู่ในมือก็เดินอาดๆ ไปทางลานประหาร ในใจคิดว่าจะเดินไปกินไป และได้กลายสภาพเป็นผู้ชมที่กำลังยืนกินขนมปังหอยนางรมอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในที่สุด

…………………………………