บทที่ 41 หนึ่งดาบประหารสิ้น ProjectZyphon
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวหันกลับมา
เดินไปไม่กี่ก้าว เขาพลันนึกถึงบางสิ่ง จึงหันกลับไปมองชายซึ่งพูดว่าหัวใจชาวอำเภอขาวพิสุทธิ์รสชาติยอดเยี่ยม และกล่าวถามว่า “หัวใจคนอร่อยหรือไม่?”
“ข้า…ข้า…” ชาวบ้านผู้นั้นรูปลักษณ์ดุร้าย กายราวเจดีย์เหล็ก บัดนี้กลับหวาดกลัวจนวิญญาณแทบหลุดลอย ฟันสั่นกระทบกัน พูดอะไรไม่ออกจนนิด
“เจ้าเคยกิน?” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวถามอีกครั้ง
“คะ…คะ…คะ…เคยกิน ข้าถูกบังคับ ข้า…” สีหน้าเขาดูไม่ได้ยิ่งกว่ายามร้องไห้
ชิ้ง!
แสงดาบฉายวาบ
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเหวี่ยงดาบเป็นครั้งที่สี่
จากนั้นเขาจึงแกว่งตามอำเภอใจ ดาบคาดเอวส่งเสียงเคร้ง พุ่งเข้าไปในฝักดาบที่อยู่ในมือของหัวหน้ามือปราบ
“ครั้งต่อไปจงตรวจสอบให้แน่ใจ ห้ามไม่ให้มีปลาหลุดรอดจากตาข่ายอีก” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวมองไปยังเฝิงหยวนซิง
แม้จะรู้ว่าเทพมรณะผู้นี้เป็นนายของฝ่ายตน เขาก็ยังตระหนกตกใจ พยักหน้าติดกันแล้วตอบว่า “ขอรับๆ ข้าจดจำไว้แล้ว”
“ไปที่ต่อไปกันเถอะ”
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวออกไปจากถนนวารีหวน
เฝิงหยวนซิงรีบเร่งติดตามไปพร้อมกับทหารหลายสิบนาย เหลือทหารมือดีนับร้อยไว้ให้ล่ามคนค่ายลมโชยด้วยโซ่ตรวนที่ตระเตรียมรอไว้แล้ว จากนั้นกักตัวนักโทษทีละคนเคลื่อนย้ายไปยังคุกคุมขัง
ผู้คนจากค่ายลมโชยจบสิ้นแล้ว
…….
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป
พรรควาฬแดงถูกศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวขวางไว้ที่ถนนธารน้ำ
เมื่อเฝิงหยวนซิงประกาศบทลงโทษ ลู่เซิ่งหัวหน้าพรรคร่วมมือกับผู้อาวุโสสี่คน แต่ไม่สามารถต้านทานการฟันเพียงสองดาบของต้วนสุ่ยหลิวได้ พวกเขาพ่ายแพ้ย่อยยับ
สมาชิกทั้งหมดห้าสิบเอ็ดคนถูกจับกุม
……..
ประมาณหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น
เขตถนนทางตอนใต้ของเมือง
เฝิงหยวนซิงประกาศบทลงโทษ
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวสังหารไป๋อวิ๋นเฟยหัวหน้าพรรคอาชาเหินในหนึ่งดาบ สมาชิกอีกสิบหกคนเสียชีวิตจากการต่อสู้ ไม่อาจต้านทานหกดาบของต้วนสุ่ยหลิวได้ แพ้ย่อยยับกันทั้งหมด
…….
ผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชา
จางเฝ่ยผู้นำกลุ่มโจรม้าเขียวถูกศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวฟันขาดสองท่อน แม้แต่ทวนสามแฉกปีกหงส์อาวุธมีชื่อเสียงที่หนักถึงห้าร้อยจินก็ถูกผ่าเป็นสองส่วน
……..
ข่าวการล่าสังหารวีรบุรุษจอมยุทธ์แพร่กระจายไปไม่หยุดหย่อน
บรรยากาศทั้งเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ร้อนระอุและชวนอกสั่นขวัญแขวน
“หานเฟยจอมเด็ดบุปผาถูกสังหารแล้ว”
“ไม่จริงกระมัง…หานเฟยจัดว่าไร้เทียมทานในเรื่องวิชาตัวเบา… “
“แต่ดาบของต้วนสุ่ยหลิวเร็วกว่า… “
“นั่นมันดาบชนิดใดกัน ข้าไม่เคยเห็นวิชาดาบนี้มาก่อน”
“เจ้าสำนักทลายภพถามคำถามนี้ก่อนตาย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ”
“อะไรนะ เจ้าสำนักทลายภพก็ถูกสังหารด้วยฝีมือของต้วนสุ่ยหลิว? ไม่น่าจะใช่ ‘ขวานทลายพิภพ’ ทั้งคู่ของมันเรียกว่าไร้เทียมทานเชียว เป็นยอดยุทธ์ระดับหนึ่งขั้นรวมจิตแล้วยังถูกสังหารอีกรึ…มันรับได้กี่กระบวนท่ากัน?”
“กี่กระบวนท่า? แน่นอนว่ากระบวนท่าเดียวเท่านั้น หนึ่งดาบสิ้นชีพ”
“มีข่าวใหม่มาอีกแล้ว ผู้อาวุโสของสำนักพยัคฆ์เหินก็ถูกสังหารเช่นกัน หนึ่งดาบสะบั้นคอ…”
“สวรรค์ ชายที่มีนามว่าต้วนสุ่ยหลิวคนนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว เพียงครึ่งวันกว่าเขาก็กำจัดยอดฝีมือในทิศพายัพไปมากมาย เขาต้องการเป็นศัตรูกับคนทั้งยุทธภพอย่างนั้นรึ?”
“ใช่ เขาเป็นดาวพิฆาตและปีศาจโดยแท้ สามารถเข่นฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา หากปล่อยให้เขาสังหารไปเช่นนี้ พวกเราเหล่าชาวยุทธ์ในทิศพายัพจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ฮ่าๆๆ น่าขันสิ้นดี กลุ่มเล็กๆ อย่างพรรคป่าไผ่ ค่ายลมโชย กับสำนักทลายภพจะเป็นตัวแทนของยุทธภพทิศพายัพได้อย่างไร? พวกมันเป็นแค่ตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นไปมา ถือโอกาสที่ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ท้าประลองขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์มาสร้างปัญหา พวกที่ตายไปล้วนเสพสุขในช่วงนี้จนหนำใจ ทั้งยังก่อคดีเลือดขึ้นในเขตเมือง ไม่ใช่พวกดีกันทั้งนั้น”
“ใช่แล้ว ม้วนบันทึกของนายทะเบียนอำเภอขาวพิสุทธิ์บันทึกบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน ผู้ต้องโทษทุกคนล้วนมีหนทางตายของตัวเอง ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวลงโทษตามกฎหมายบ้านเมืองนับเป็นเรื่องธรรมดา แม้เรื่องนี้สาวไปถึงสำนักเทพ ‘ทุ่งปิดภูผา’ ก็สมควรแล้ว”
“แต่อย่างไรเขาก็สังหารคนมากเกินไป มากเกินไปจริงๆ”
“ฮ่าๆ ในความเห็นของผู้เฒ่า พวกที่ตายด้วยน้ำมือศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไม่มีใครไร้ความผิดสักคน”
“ข้าได้ยินมาว่าเพชฌฆาตผู้นี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของหลี่มู่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ จะว่าไป มีใครรู้บ้างว่าสำนักใดอบรมบุรุษที่โหดเหี้ยมทั้งสองนี้มา? แต่เท่านี้ก็พอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าหลี่มู่ผู้ปกครองอำเภอขาวพิสุทธิ์ไม่ได้ตัวคนเดียว คงมิใช่ผู้สืบทอดของสำนักใหญ่สักแห่งหรอกกระมัง?”
ความเห็นมากมายแพร่สะพัดไปอย่างบ้าคลั่งในอำเภอขาวพิสุทธิ์
คำวิจารณ์ต้วนสุ่ยหลิวที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้ กล่าวได้ว่าชาวยุทธ์ในอำเภอแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน บางคนเกลียดชังเข้ากระดูกดำ บางคนชื่นชมมาก บางพวกเห็นว่าเขาเป็นมือสังหารมารคลั่ง และบางกลุ่มคิดว่าเขาเป็นนักรบผู้ผดุงความยุติธรรม
ทุกวันนี้ ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เต็มไปด้วยเหล่าคนในยุทธภพ
ทว่ายุทธภพเป็นยุทธภพก็เพราะมีมังกรกับงูผสมปนเป มีคนดีย่อมมีคนเลว ไม่ใช่ทุกคนจะตาบอดมองไม่เห็นความร้ายกาจที่กลุ่มชาวยุทธ์กระทำต่อพลเรือนในอำเภอขาวพิสุทธิ์ หลายคนรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่งกับพฤติกรรมของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยในอำเภอขาวพิสุทธิ์มาหลายชั่วอายุคน ในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นความหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยแล้ว
เมื่อมีคนคอยจัดการ ภายในสามชั่วยามที่ผ่านมา ประกายดาบของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวพรากชีวิตของจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ทั้งสิ้นห้าสิบเจ็ดคนแล้ว สี่สิบเอ็ดคนในนั้นเป็นจอมยุทธ์ระดับสองขั้นรวมกำลัง อีกสิบหกคนเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมจิต
การฟันสังหารห้าสิบเจ็ดครั้งภายในครึ่งวันเช่นนั้นเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ จอมยุทธ์ห้าสิบเจ็ดคนนี้ไม่มีใครรับดาบแรกของศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวได้
ไม่มีใครบีบให้ผู้แข็งแกร่งที่พร้อมมากับวิชาดาบลึกลับลงดาบที่สองได้
บางคนตั้งฉายาให้เขาว่า ‘หนึ่งดาบประหารสิ้น’
หนึ่งประกายดาบส่งคนไปยังปรโลก
คนอีกกลุ่มก็ตั้งอีกฉายาหนึ่งว่า ‘หนึ่งดาบสะบั้น’
เมื่อมีดาบยาวในมือ บุญคุณความแค้น ความถูกความผิด หนึ่งดาบสะบั้นได้หมด
แสงดาบตัดสินถูกผิด คมดาบตัดสินเป็นตาย
นอกจากนี้ยังมีบางคนถึงกระทั่งเรียกนายทะเบียนเฝิงหยวนซิงแห่งที่ว่าการอำเภอว่า ‘ยมบาลเฝิง’
เนื่องด้วยเมื่อใดที่เขาตัดสินโทษประหารชีวิต จะไม่มีผู้ใดหลบหนีโทษทัณฑ์นี้ไปได้ หากไม่ใช่ยมบาลจะเป็นอะไรไปได้อีก?
ยมบาลสั่งให้ตายเกิงที่สาม (5 ทุ่ม-ตี 1) ก็อย่าคิดว่าจะรอดไปถึงเกิงที่ห้า (ตี 3-ตี 5) บันทึกหนาม้วนนั้นของเฝิงหยวนซิงเปรียบดั่ง ‘บัญชีเป็นตาย’ ที่บันทึกชีวิตและอายุขัยของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล เมื่อนามของผู้ใดถูกบันทึกลงในม้วนหนังสือฉบับนี้ คนผู้นั้นไม่มีทางรอด ไม่รู้ว่าม้วนกระดาษเล็กๆ นี้ตัดสินชีวิตของยอดฝีมือลือนามในยุทธภพไปแล้วเท่าใด
ตอนเหนือของอำเภอเมือง
บนถนนเส้นหลัก
แสงจากคมดาบวาบผ่าน ยอดฝีมือขั้นรวมจิตอีกหนึ่งคนดับดิ้นลงเบื้องหน้าศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิว
คนมุงโดยรอบเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเฮือก ความประหวั่นพรั่นพรึงในใจไม่อาจบรรยายได้
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ยอดฝีมือขั้นรวมจิตที่ตายตกเป็นผู้ที่ชาวยุทธ์ทุกคนในอำเภอยอมรับว่าอาจบีบให้ต้วนสุ่ยหลิวลงดาบที่สองได้…
นามคือ ‘กระบี่ขับสายฟ้า’ หนานเหวินเจิ้ง ผู้แข็งแกร่งลำดับหนึ่งแห่งสำนักดาวใต้
หนานเหวินเจิ้งผู้นี้เกิดในตระกูลจอมยุทธ์ ทักษะกระบี่ลึกลับสุดหยั่ง การโจมตีเฉียบคม การป้องกันดุจภูเขา เป็นเลิศทั้งรุกและรับ ในด้านการต่อสู้เพียงลำพังกล่าวได้ว่ามั่นคงดั่งเขาไท่ซาน เขาเข้าถึงขั้นรวมจิตได้เมื่อยี่สิบปีก่อน มีกำลังภายในลึกล้ำ สามปีที่ผ่านมาเคยพ่ายแก่พรรคมังกรฟ้าเพียงครั้งเดียว จัดว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงลือเลื่องในยุทธภพทิศพายัพอย่างแท้จริง
ไม่คาดคิดว่ายามนี้ ยอดฝีมือลือชื่อก็ไม่อาจรอดพ้น ‘หนึ่งดาบประหารสิ้น’ และ ‘หนึ่งดาบสะบั้น’ ได้
บนถนนเงียบสงัด
ฟุ่บ
เสียงดาบยาวถูกเก็บเข้าฝักดังขึ้น
“น่าเบื่อ ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถรับดาบแรกของข้าได้ เศษขยะเหล่านี้น่ะหรือควรค่าให้เรียกว่าจอมยุทธ์?” ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเก็บดาบเข้าฝัก ส่ายหน้าด้วยความผิดหวังและเบื่อหน่ายยิ่ง “น่าผิดหวังมาก ยามนี้ข้าไม่มีใจอยากสู้อีกแล้ว พอเท่านี้ก็แล้วกัน”
เฝิงหยวนซิงได้ยินก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเห็นพ้องด้วย
แม้ว่ามีบางคนยังไม่ถูกลงทัณฑ์ตามประกาศโทษ แต่โดยพื้นฐานเนื้อร้ายส่วนที่ชั่วช้าอย่างแท้จริงถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว นอกจากสำนักเขี้ยวพยัคฆ์และพรรคมังกรฟ้าอาชญากรสองกลุ่มใหญ่ซึ่งมีอำนาจสูงสุดที่ยังไม่ถูกลงทัณฑ์ในวันนี้ พวกเขาก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว
อันที่จริง ก่อนหน้าที่จะติดตามศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวออกมา เฝิงหยวนซิงไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงความสำเร็จเช่นนี้
คนหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวโดยไร้ที่มา ดูท่าทางอายุไม่เกินยี่สิบ กลับใช้ดาบทหารธรรมดาๆ เล่มหนึ่งและกระบวนท่าดาบสามัญท่าหนึ่ง คร่าชีวิตของเหล่าจอมยุทธ์ที่โอหังอวดดีในอำเภอเสียคนหวาดกลัวจนฉี่ราด ตื่นตระหนกสุดขีด นี่คือปาฏิหาริย์ชัดๆ
ศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวเดินทางกลับไปยังที่ว่าการ
ไม่ว่าจะไปที่ใด ผู้คนในยุทธภพต่างหลีกทางให้ด้วยความเกรงกลัว ไม่มีใครกล้าสบตา ไม่มีใครกล้าขวางหน้า แม้กระทั่งชาวยุทธ์ที่จิตใจโหดเหี้ยมและผูกใจเจ็บแค้นจากการสังหารในวันนี้ก็ยังมองเขาด้วยสายตายำเกรง
เฝิงหยวนซิงติดตามศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวไป
จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา
ในโลกที่สังคมเสื่อมถอย อำนาจยับยั้งของจักรวรรดิค่อยๆ ลดลงไม่เหมือนเก่า ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คืออำเภอขาวพิสุทธิ์ในขณะนี้ สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือการใช้กำลัง การทลายพรรคเสินหนงของขุนนางเมืองหรือการกวาดล้างชาวยุทธ์ของต้วนสุ่ยหลิวล้วนอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งเฉพาะตัวทั้งสิ้น
ถึงแม้ต้องยอมรับว่า เมื่อเผชิญหน้ากับกลไกของจักรวรรดิที่แท้จริง กำลังของคนเพียงคนเดียวยังไม่เพียงพอ ทว่าบางพื้นที่ในแถบชายแดน การใช้กำลังมีแนวโน้มว่าจะอยู่เหนือกว่ากฎหมายแล้ว
……………………………………..