เล่มที่ 3 บทที่ 61 เจ้าอายุเท่าไรกันเชียว?

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

น้ำเสียงอันเจือไว้ซึ่งความอ่อนโยนถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ทว่าดวงตากลับกวาดมองไปยังเหล่าบุคคลตรงหน้าอย่างถ้วนทั่ว

    อันที่จริงพ่อบ้านเติ้งและหลินขุยไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ แต่พวกเขามาเป็นตัวแทนของท่านอ๋อง

    ที่จวนอาจมีได้ทั้งพระชายาและพระชายารอง ทว่าท่านอ๋องต้องการแสดงให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วคนที่กุมอำนาจเหนือสุดยังคงเป็นเขา

    กวาดสายตามองอีกหนึ่งรอบ ก่อนจะได้เห็นสายตาลุกลี้ลุกลนสองคู่

    เมื่อเช้ายังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่เลยนี่ เสียใจตอนนี้คงไม่ทันแล้วกระมัง

    “พระชายาได้โปรดอภัย พระชายาได้โปรดอภัย พวกหม่อมฉันมีตาหามีแววไม่ พวกหม่อมฉันบังอาจล่วงเกินแม่นางป๋ายซ่าว”

    ผอจื่อทั้งสองรีบคลานเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าหลินเมิ้งหยาพลางส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญ

    พวกนางทั้งสองล้วนเป็นข้าทาสที่เกิดจากสาวใช้ในเรือนนี้ เหตุเพราะพระชายาซื้อสาวใช้เข้ามาภายในจวนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงคิดว่าจวนแห่งนี้ไม่มีตำแหน่งให้พวกนางอีกต่อไป ดังนั้นพวกนางจึงเชื่อฟังคำชี้นำของคุณหนูทั้งสอง

    หลินเมิ้งหยาจ้องสาวใช้ทั้งสอง คนหนึ่งใบหน้ามีรอยแผล ส่วนอีกคนมีรอยเลือดติดอยู่ที่มือ

    จึงหันกลับไปมองใบหน้าของสาวใช้ตนเอง ท่าทางโกรธแค้น ดูท่าฝีมือของป๋ายซ่าวเองก็ไม่เบาเช่นเดียวกัน

    “แม้พวกเจ้าจะพูดว่ามีตาหามีแวว แต่พวกเจ้าก็ได้ทำเรื่องร้ายแรงลงไป พวกเจ้าแหกกฎของจวนอวี้ พ่อบ้านเติ้ง ท่านลองบอกพวกนางหน่อยว่าตามกฎระเบียบแล้วต้องรับผิดเช่นไร?”

    พ่อบ้านเติ้งหันมามองพระชายา ใบหน้าสง่างามเชิดสูงขึ้นเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าพระชายาเป็นจอมวางแผนอันดับหนึ่งของจวนแห่งนี้

    ตอนนี้ท่านอ๋องมีผู้ช่วยคนสำคัญอยู่เคียงข้างกายแล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่างานภายในหรือภายนอกจวนจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน

    “ทูลพระชายา ผอจื่อสองคนนี้ทำให้พระชายาต้องขุ่นเคืองพระทัย หากอิงจากกฎของจวนอวี้ ทาสที่เกิดในเรือนจะต้องถูกถอนชื่อออกจากทะเบียนบ้านและนำตัวไปขายทิ้ง แต่หากเป็นทาสที่ทำสัญญาความตายเอาไว้ จะต้องถูกโบยห้าสิบทีแล้วไล่ออกจากจวนพ่ะย่ะค่ะ”

    ขณะนี้สีหน้าของผอจื่อทั้งสองเริ่มขาวซีดจนเขียว

    ถอนชื่อออกจากทะเบียนบ้าน นั่นเท่ากับว่าพวกนางจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเดนมนุษย์

    แต่ถ้าถูกส่งตัวไปขาย พวกนางก็จะกลายเป็นเพียงทาสชั้นต่ำ

    หากยังสาวยังแส้ก็อาจจะขายได้ในราคาดี แต่พวกนางที่อายุมากแล้ว เกรงว่าจะได้พบเจอแต่เพียงความทุกข์ทรมานเท่านั้น

    “พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตพวกหม่อมฉันด้วย! พระชายาได้โปรดมีเมตตาด้วย!”

    ผอจื่อทั้งสองร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลายเพื่อร้องขอความเมตตาจากหลินเมิ้งหยา ทว่านางกลับไม่กระดิกตัวเลยแม้แต่น้อย

    ไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเหลือทั้งคู่ คนที่ทำให้พระชายาต้องขุ่นเคืองพระทัยต้องได้รับโทษเช่นนี้ แล้วยังจะมีใครกล้ากระตุกหนวดเสืออีก?

    “จวนแห่งนี้มีคนมากขึ้น กฎระเบียบจึงย่อมมากตาม ที่ข้าเรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อตักเตือน หากยังทำเรื่องอับอายขายหน้าขึ้นมาอีกละก็ ชีวิตของพวกเจ้าไม่มีทางจบอย่างสวยงามแน่นอน”

    น้ำเสียงเย็นชาทำให้เหล่าข้าทาสตัวสั่นเทิ้ม

    ไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นสบตาหลินเมิ้งหยาเพราะกลัวจะทำให้นางขุ่นเคือง แต่กลับท่องกฎระเบียบของจวนอวี้ให้ขึ้นใจ

    หลินเมิ้งหยาจ้องมองสีหน้าท่าทางของทุกคนแล้วพยักหน้าลง ป๋ายจีเข้าไปหยิบถุงเงินขนาดเล็กออกมา

    “นี่คือรางวัลของพระชายา หากทำผิดต้องถูกลงโทษ แต่หากทำความดีจะได้รับรางวัล”

    ป๋ายจีนำเงินขวัญถุงแจกให้ทุกคน

    ทุกคนเปิดออกดู ภายในมีเงินสามตำลึงและสร้อยทองอีกหนึ่งเส้น

    “รางวัลของข้ามิได้มากมายอะไร นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าเป็นเงินค่าขนม ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว ต่อไปจงตั้งใจทำงานให้ดี จะได้เป็นผลดีต่อตัวพวกเจ้าเอง”

    กลยุทธ์ไม้อ่อนและไม้แข็งถูกหยิบยกออกมาใช้ แม้จะเป็นสาวใช้ระดับหนึ่ง ทว่าเงินเดือนที่ได้ก็เพียงไม่กี่ตำลึง ส่วนสาวใช้ระดับอื่นได้เพียงแค่ผ้าเนื้อหยาบและเงินออมเล็กน้อยเท่านั้น

    ส่วนพวกข้าทาสเด็กได้รับเงินเพียงน้อยนิด

    ดังนั้นหากหลินเมิ้งหยาต้องการซื้อใจของพวกเขา นางจำต้องแสดงความใจกว้างออกมาก่อน

    ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะแยกย้ายกันไป หน้าประตูสวนหลิวซินกลับปรากฏร่างบางอรชรอ้อนแอ้น

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมองเล็กน้อย ที่แท้ก็คือน้องสาวต่างมารดาที่น่ารังเกียจของนางนั่นเอง

    เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดวันนี้นางจึงแบกความกล้ามาหาเรื่องนางถึงที่นี่?

    “ข้ายังไม่เคยมาถวายคำนับท่านพี่เลย ขอท่านมีพบพานแต่ความสุข”

    อ้าปากส่งเสียงเรียกท่านพี่อย่างนู้นอย่างนี้ แม้หลินเมิ้งหยาจะแอบแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ทว่าใบหน้ามิได้เผยความรู้สึกใดๆ ออกมา

    “ลุกขึ้นเถิด เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างมาหาข้าเล่า?”

    วันนี้หลินเมิ้งหวู่สวมใส่ชุดสีเหลืองไข่ ศีรษะใส่เครื่องประดับลายดอกไม้ของสาวชาววัง ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่มีเสน่ห์น่าดึงดูดขับให้นางดูเหมือนผู้ดีมีชาติตระกูลมากขึ้น

    “น้องสาวอายุยังน้อยจึงยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านแม่บอกว่าข้าควรมาถวายคำนับท่านพี่นานแล้ว แต่เพราะท่านพี่ยุ่งมาก หวู่เอ๋อร์จึงไม่มีโอกาสเข้ามาเลยเจ้าค่ะ”

    หัวใจของหลินเมิ้งหวู่กลับมีเพียงความเกลียดชังขณะจับจ้องใบหน้าของหลินเมิ้งหยา

    พวกนางล้วนเป็นลูกสาวของสกุลหลิน แต่หลินเมิ้งหยากลับได้รับความรักความเอ็นดูจากพ่อและพี่ชายเพียงคนเดียว

    ทั้งที่นางเป็นคนโง่เขลาสติฟั่นเฟือนแต่กลับเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนหลิน

    แล้วนางล่ะ? ทั้งที่เป็นลูกสาวเช่นกัน ทั้งที่นางสง่างามกว่านังแพศยาหลินเมิ้งหยาตั้งหลายเท่า แต่นางกลับทำได้เพียงอิจฉาเท่านั้น

    ไม่มีทางยอมรับได้หรอก!

    “ช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าวันนี้ที่เจ้ามาหาข้าเพราะเหตุอันใด?”

    หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองหลินเมิ้งหวู่ แต่งหน้าแต่งตาสีสันฉูดฉาดหรูหรา เพราะเหตุนี้บรรยากาศในจวนอวี้จึงอึมครึมเช่นนี้สินะ

    “พี่สาวผู้แสนดีของข้า แต่ก่อนหวู่เอ๋อร์ไม่รู้เรื่องรู้ราว หวู่เอ๋อร์ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่อย่าได้เอาผิดหวู่เอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ”

    หลินเมิ้งหวู่เข้ามาคล้องแขนหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางออดอ้อน คนนอกที่ได้เห็นล้วนคิดว่าพวกนางสองพี่น้องต่างมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับชักมือกลับอย่างไม่ไว้หน้า นางยังคงมิอาจลืมเลือนเรื่องราวในอดีต

    เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอันสมควรเท่านั้น

    “มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาเถิด ที่จวนยังมีงานอีกมาก ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้านานนักหรอก”

    หลินเมิ้งหยาพูดพลางเดินเข้าไปยังโต๊ะอ่านหนังสือของตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหวู่เข้ามายังตำสวนหลิวซิน

    นางเคยคิดมาตลอดว่า เรือนที่มารดาของตนเองอยู่เพริศพริ้งไปด้วยไม้แกะสลักอันแสนหรูหราสง่างามมากแล้ว

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตำหนักที่หลินเมิ้งหยาอยู่จะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสวยงามดั่งทองที่แท้จริง

    ผ้ามุ้งครอบเตียงที่ถักทอจากผ้าไหมชิงหลิงซา ฉากกั้นประดิษฐ์ขึ้นด้วยไม้หอมหยุนเซียง แม้แต่อ่างล้างหน้ายังถูกแกะสลักจากหยก

    สิ่งของทั้งหมดในตำหนักนี้ควรเป็นของนางถึงจะถูก!

    เหตุใดนังแพศยาหลินเมิ้งหยาจึงได้ครอบครองสิ่งเหล่านี้?

    นางกักเก็บความอิจฉาริษยาเอาไว้ภายในก้นบึ้งของหัวใจ ใบหน้าเผยเพียงความสนิทชิดเชื้อ

    “ท่านพี่ แม้ว่าครอบครัวของเราจะทะเลาะเบาะแว้งกันสักเพียงไหน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นปัญหาภายในครอบครัวมิใช่หรือ? จวนแห่งนี้ก็เหมือนเป็นบ้านสกุลหลินของพวกเรา ข้าที่เป็นน้องสาวมิอาจทนเห็นท่านพี่ถูกรังแกได้หรอก”

    ช่างเป็นเหตุผลที่เหมาะที่ควรเสียเหลือเกิน อย่าว่าแต่หลินเมิ้งหยาเลย แม้แต่หลินเมิ้งหวู่ก็ยังเชื่อในเหตุผลนั้นกระนั้นหรือ?

    “โอ้? น่าแปลกจริง เหตุใดข้าจึงไม่รู้เรื่องอันใดเลยเล่า?”

    หลินเมิ้งหยาเข้าใจได้ในทันที หลินเมิ้งหวู่ผู้นี้ต้องการยืมมือนางกำจัดหนามยอกอกอย่างเจียงหรูฉินใช่หรือไม่?

    นางเป็นคนวางแผนเก่ง แต่น่าเสียดายที่เลือกเป้าหมายผิด

    “ฮึ แม่เจียงหรูฉินผู้นั้นคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? อาศัยข้ออ้างทางสายเลือดเข้าหาพระสนมเต๋อเฟยเหนียงเหนียงเพื่อทำตัวหยิ่งยโสโอหังที่จวนแห่งนี้ ไร้ซึ่งความเกรงใจใดๆ นางก็เป็นเพียงเด็กที่คลานออกมาจากท้องของเมียน้อยพ่อมิใช่หรือ แต่กลับบังอาจนัก คิดจะช่วงชิงตำแหน่งพระชายาอวี้”

    หลินเมิ้งหยาหลุบตาต่ำเพื่อไม่ให้ใครมองเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของนาง

    คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเจียงหรูฉินจะเป็นเด็กที่เกิดจากอนุภรรยา

    ลักษณะท่าทางของเจียงเฉิงไม่เหมือนทายาทที่ต้องสืบทอดมรดกของตระกูล ดูท่าสกุลเจียงคงคิดจะใช้ลูกชายและลูกสาวของอนุภรรยามาเป็นหมากในกระดานเพื่อประโยชน์ส่วนตนสินะ

    ล้วนแต่เป็นกลอุบายเก่าคร่ำครึ หาได้มีกลเม็ดใหม่ๆ อันใด

    “อย่าเอ่ยเช่นนั้น ผู้สูงศักดิ์มิควรมองคนเพียงเพราะชาติกำเนิด แม้แต่ท่านอ๋องของพวกเราก็เป็นลูกที่เกิดจากภรรยาอนุ ดังนั้นอย่าได้ทำให้ท่านต้องขุ่นเคือง”

    หลินเมิ้งหยาเอ่ยเสียงเบาเพื่อหยุดปากของหลินเมิ้งหวู่ หากพูดถึงเรื่องนี้ อันที่จริงพระสนมเต๋อเฟยเกิดมาในครอบครัวของผู้สูงศักดิ์

    ดังนั้นสถานะของหลงเทียนอวี้จึงมิได้ต่ำต้อย

    แต่เพราะชาติกำเนิดของหลินเมิ้งหวู่ถูกต้องตามครรลองครองธรรม ดังนั้นนางจึงดูแคลนลูกหลานที่เกิดจากภรรยาอนุ

    แม้แต่สังคมของหญิงผู้ดีชนชั้นสูงเองก็ยากจะยอมรับในอากัปกิริยาของนาง

    ทว่าหลินเมิ้งหวู่เป็นถึงหลานสาวของฮองเฮา อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวคนที่สองของเจิ้นหนานโหว ดังนั้นพวกนางเหล่านั้นจึงปิดปากเงียบ

    “ใช่ ใช่ ใช่ เพราะความโกรธ ข้าเลยลืมนึกถึงท่านอ๋องไปเสียสนิท แต่ว่าวันนี้นางกลับกล้าตบตีสาวใช้ของท่าน พรุ่งนี้นางจะไม่มาขี่คอท่านเล่นอย่างนั้นหรือ ท่านพี่จะอดทนเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”

    เพียงเอ่ยถึงท่านอ๋อง น้ำเสียงกลับอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ แม้แต่ใบหน้ายังแดงระเรื่อขึ้นมา

    มือนวลเนียนยกขึ้นหยิบถ้วยชาหอมบนโต๊ะแล้วจิบลงเล็กน้อย ทว่านางกลับเหลือบเห็นความอาฆาตมาดร้ายในดวงตาของหลินเมิ้งหวู่

    นี่หรือว่าเด็กคนนี้ยังมีแผนการอื่นอีก?

    หลินเมิ้งหยาปฏิเสธความคิดของตนเอง ขนาดยาพิษยังกล้านำมาใช้ต่อหน้าทุกคน แม้แต่คนโง่ยังมองออกเลยว่านางยังมีแผนอื่นเก็บซ่อนเอาไว้

    “เรื่องนี้…ข้าเองก็ลำบากใจ”

    หลินเมิ้งหยาแสร้งทำเป็นหนักใจ คิ้วขมวดเข้าหากัน

    “คุณหนูเจียงเป็นญาติผู้น้องของท่านอ๋อง เป็นหลานของพระสนมเต๋อเฟย ที่เข้ามาอยู่ในจวนแห่งนี้ได้ก็เพราะได้รับอนุญาตจากพระสนมเต๋อเฟยแล้ว หากข้าวางแผนไล่คุณหนูเจียงออกไปจะมิเป็นการทำให้พระสนมเต๋อเฟยขุ่นเคืองพระทัยกระนั้นหรือ?”

    จงใจเอื้อนเอ่ยวาจาคลุมเครือ

    อันที่จริง เจียงหรูฉินอาศัยความไร้ยางอายล้วนๆ ในการยืนหยัดเพื่ออยู่ในจวนแห่งนี้

    แม้แต่พระสนมเต๋อเฟยยังรู้สึกรำคาญพระทัยไม่น้อย

    แต่หลินเมิ้งหวู่กลับมองไม่ออก อีกทั้งยังหลงคิดไปว่าพระสนมเต๋อเฟยตั้งใจให้เด็กคนนั้นอยู่ที่นี่เพื่อรอการแต่งตั้งเป็นพระชายารองของท่านอ๋อง

    เพราะความกระวนกระวายในหัวใจทำให้หลินเมิ้งหวู่เกือบกัดลิ้นของตัวเองจนขาด

    “ท่านพี่อย่าได้กังวลใจ ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะช่วยท่านพี่จัดการนังแพศยาคนนั้นเอง”

    หลินเมิ้งหวู่กลัวว่าหลินเมิ้งหยาจะยอมรับเรื่องนั้นแต่โดยดี หากเป็นเช่นนั้นจริงนางคงไร้ซึ่งหนทาง

    ตอนแรกนางคิดจะยืมมือหลินเมิ้งหยาไปกำจัดเจียงหรูฉิน แต่เกรงว่าตอนนี้คนที่ต้องลงมือจะกลายเป็นนางเสียเอง

    เป็นไปดั่งคำของท่านแม่ หากต้องการสิ่งใด จะต้องลงมือทำด้วยตนเองจึงจะสมปรารถนา

    “โอ้? เช่นนั้นข้าอยากฟังความเห็นของเจ้าเหลือเกิน”

    หลินเมิ้งหยาหยักยิ้มเล็กน้อย ทว่าภายในรอยยิ้มกลับเจือไว้ซึ่งความอำมหิตที่อาจฆ่าคนตายได้โดยไร้หยดเลือด