บทที่ 70 ชั้นที่สาม

ราชาซากศพ

บทที่ 70 ชั้นที่สาม

“เอ่อ! หลานชาย ข้าคิดว่า ไมพวกเราไม่ไปพักผ่อนกินข้าวเย็น มันยังไม่สายเกินไปที่เราจะขึ้นไปชั้นที่สาม ในวันพรุ่งนี้!” เมื่อได้ยินว่าหลินเว่ยต้องไปที่ชั้นสาม
หัวใจของเย่ชิงเฟิงเต้นเร็วและรัวด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วง เขารีบหาข้ออ้างเพื่อประวิงเวลา เขาขยิบตาให้เย่เหิงและเย่เสวี่ยถงครั้งแล้วครั้งเล่า
หวังว่าพวกเขาจะพูดสนับสนุนเขา แต่ผลที่ได้คือ

“ท่านพ่อ! ตาของท่านมีอะไรผิดปกติ มีทรายอยู่ในดวงตาหรือไม่ ต้องการให้ลูกช่วยเป่าให้หรือไม่? เย่ถงเสวี่ยกล่าวด้วยความเป็นห่วงบิดา
เย่ชิงเฟิงมองไปเย่ถงเสวี่ยด้วยท่าทางไร้ความหวัง

สำหรับเย่เหิงนั้น อาการหนักกว่า ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นคนซื่อเกินไปหรือไม่? เย่เหิงพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลากิน! เนื่องจากผู้มีพระคุณก็อยู่ที่นี่แล้ว
พวกเราจะรบกวนเวลาของผู้มีพระคุณได้อย่างไร” คำพูดของเย่เหิงนั้นเสียดแทงหัวใจของเย่ชิงเฟิง นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวจากมุมของศีลธรรมต่อผู้มีพระคุณ

เย่ชิงเฟิงโกรธมากจนแทบอยากจะอาเจียนเป็นเลือดหลั่งอยู่ในจิตใจของเขา ภายในใจของเขานั้นต้องการที่สังหารบุตรชายของตนเอง
มันมีบุตรชายของผู้ใดที่ทำร้ายบิดาของตนเองได้ลงคอ?

เมื่อถูกคำพูดของเย่เหิงนั้นทำลายแผนการของเขา เย่ชิงเฟิงก็ไร้คำพูด เขาทำได้เพียงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นกวักมือเรียกหลินเว่ยให้เดินตามเขาไป จากนั้นก็หันไปเดินตรงไปที่บันได โดยส่ายหัวไปตลอดทางโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว

หลังจากนั้น เดินไปจากชั้นหนึ่งจนมาถึงชั้นสาม เย่ชิงเฟิงไม่ได้หยุดอยู่ที่ชั้นสอง และหลินเว่ยก็ไม่ได้สนใจที่จะหยุดฝีเท้าลงไป
หลินเว่ยคิดว่า ถ้าตนเองต้องการที่กลับมาที่ชั้นสอง ตนเองก็จะกลับมาเดินอีกในภายหลัง แต่ตอนนี้ ความต้องการของเขานั้น สงสัยในปฏิกิริยาของเย่ชิงเฟิง เนื่องจากเขาคิดว่าที่ชั้นสามนั้นต้องมีอะไรดี ๆ อย่างแน่นอน

เมื่อเทียบกับชั้นหนึ่งแล้ว ชั้นที่สามนั้นเรียบง่ายกว่ามาก มีห้องเล็ก ๆ จำนวนไม่มาก มีเพียงห้องโถงเดียว เมื่อหลินเว่ยขึ้นไปชั้นสาม เขาเห็นกล่องไม้สามกล่องเรียงรายอยู่
ในห้องโถงกว้างขวาง มีสิ่งของมากกว่าสิบชิ้นรวมอยู่ในนั้น มีทั้งอาวุธ เครื่องลายคราม หนังสือ และบางสิ่งที่หลินเว่ยไม่รู้จัก

“ท่านได้มันมาได้อย่างไร?” หลินเว่ยมองไปที่กรอบไม้ ที่มีชุดเกราะเพียงตัวเดียว และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“แค่ก ๆ ! นี่คือเกราะอาวุธวิญญาณ ที่สร้างจากกระดองของสัตว์อสูรขั้นห้า และกระดองเต่าของเต่าซวนเจี๋ย แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาวุธวิญญาณ ระดับกลาง แต่ก็แข็งแกร่งกว่าเกราะอาวุธวิญญาณระดับเดียวกัน มูลค่าของมันนั้นไม่ได้แพงไปกว่า อาวุธวิญญาณมากเท่าไรนัก” เมื่อเห็นสิ่งที่หลินเว่ยถามถึง เย่ชิงเฟิงก็เกิดความลำบากใจบนใบหน้า

“มันเป็นของดี แต่มีรูปร่างนั้นไม่ค่อยน่าดูเท่าไร” ทุกคนเชื่อในสิ่งที่เย่ชิงเฟิงพูด ท้ายที่สุดมันเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง หรืออาวุธวิญญาณระดับหนึ่ง
คุณค่าของมันก็ไม่อ่อนด้อย แต่ก็ไม่สามารถโกหกหลินเว่ยได้

แม้ว่าชุดเกราะจะค่อนข้างดี แต่ลักษณะของมันนั้นดูน่ากลัว เนื่องจากชุดเกราะนี้ เปลือกและชิ้นส่วนของเปลือกมีสีเขียวมรกต
ไม่น่าแปลกใจที่เกราะที่มีค่าเช่นนี้ถูกใส่กรอบไว้ให้ผุพังไปโดยไร้ประโยชน์ เนื่องจากในโลกนี้ไม่มีใครอยากสวยชุดเกราะสีเขียวมรกตราวกับกระดองเต่าแบบนี้ออกสนามรบ
“หลานชาย! ถ้าเจ้าชอบก็เอามันไปเถอะ! เจ้าสิ่งนี้แม้ใช้ระดับพลังขั้นสูง ก็ไม่สามารถทำลายลงไปได้อย่างง่าย ๆ

เกราะนี้ยังมีทักษะการป้องกันซึ่งก็คือ ทักษะระดับกลางของซวนกุ้ย สามารถป้องกันพลังธาตุน้ำ ตราบไปจนถึงการโจมตีระดับทั่วไป
ก็สามารถต้านทานได้หนึ่งหรือสองครั้ง ซึ่งล้วนสามารถปกป้องอันตรายที่อาจจะถึงแก่ชีวิตได้ ”

“นั่นน่าสนใจมาก มันคืออาวุธวิญญาณและชุดเกราะของทหารวิญญาณที่ดีที่สุด ข้าจะเอาสมบัติล้ำค่าเช่นนี้ไปได้อย่างไร? หลินเว่ยลูบชุดเกราะต่อสู้ซวนกุ้ยช้า ๆ แม้ว่าเขาจะต้องการมันมาก แต่เขาก็เอ่ยปากอย่างถ่อมตัว ท้ายที่สุดหลินเว่ยนั้นสามารถต้านทานการโจมตีของระดับทั่วไปได้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งขนาดไหน

“ไม่เป็นไรหลานชาย เพราะเจ้าเป็นผู้มีพระคุณ แค่เกราะอาวุธวิญญาณ ข้าไม่เสียดาย ”
ตระกูลของตระกูลเย่นั้นไม่เคยมีใครใช้ชุดเกราะนี้ แต่น่าเสียดายที่จะทิ้งมันไว้เฉย ๆ เมื่อเห็นความตั้งใจของหลินเว่ยในตอนนี้ เย่ชิงเฟิงก็ต้องการส่งมอบมันให้หลินเว่ย

เขาหวังเพียงว่าหลินเว่ยจะพอใจ หลังจากที่เขาได้ชุดเกราะแล้ว หวังว่าเขาจะคว้ามันทันทีและจะไม่คิดถึงสมบัติอื่นใด ในความคิดของเขา ควรมีการจำกัดความไร้ยางอายของผู้คนอยู่บ้าง
“ข้าขอขอบคุณ…..ท่านลุงเย่!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจริงใจมาก หลินเว่ยจึงรีบคว้าชุดเกราะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เป็นไร! นี่คือชะตากรรม ที่ชุดนั้นจะกลายมาเป็นของเจ้า ชิงเฟิงโบกมือและกล่าวอย่างสุภาพ
“ยินดีด้วยคุณชายหลิน สำหรับสมบัติชิ้นนี้! จากนั้นความแข็งแกร่งจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก” เย่เหิงยิ้มและกล่าวแสดงความยินดีกับหลินเว่ย การแสดงออกของเขานั้นออกมาจากใจ
“ฮ่าฮ่าๆ ขอบคุณ…..ขอบคุณมาก หลินเว่ยหัวเราะสองครั้งและพูดอย่างมีความสุข
“ถ้าเจ้าได้สมบัติเช่นนี้ เจ้าควรรีบไปลองมันเร็ว ๆ คิดว่าวันนี้น่าจะพอเท่านี้! หลานชาย….เจ้าควรกลับไปลองชุดเกราะชุดนี้ ก่อนดีกว่า“ เย่ชิงเฟิงถือโอกาสพูด

“ทำไม…รีบร้อนอะไรอย่างนี้เล่า! มีสมบัติมากมายแต่ไม่ยอมให้เราดู! บางทีอาจจะมีอะไรที่เหมาะกับคุณชายหลินมากกว่านี้ก็เป็นได้ ท่านพ่อ! วันนี้ข้ารู้สึกแปลกว่า ท่านดูแปลก ๆ ราวกับต้องการขับไล่เราออกไป?
คำพูดของถงเสวี่ย เกือบจะทำให้เย่ชิงเฟิงสำลักว่าบุตรสาวนั้นกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร?

“แค่กๆ! ถงเสวี่ย! เจ้ากำลังพูดถึงอะไร! ข้าจะรีบขับไล่พวกเจ้าได้อย่างไร เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนี้หรือ? ถ้าอยากไปดูอย่างอื่นอีก ก็ไปเถอะ !” ใบหน้าของเย่ชิงเฟิงเรียบเฉยและเขาไอสองครั้งเพื่อปกปิดความลำบากใจ
“ขอบคุณมาก ท่านลุงเย่!” หลินเว่ยพูดอย่างตื่นเต้น เขามีความสุขที่สุด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้รับสมบัติทั้งหมดนี้ ความคิดของเขาคือสิ่งของเหล่านี้เทียบได้กับสินค้าชั้นยอด

“เอาล่ะ หลานชาย เจ้าอยากจะไปที่ใดต่อ! ไปเถอะหลานชาย” เย่ชิงเฟิงในตอนนี้อยากจะสิ้นใจตายอยู่ตรงนี้…. แต่ก็ต้องแสร้งยิ้มแย้ม
หลินเว่ยรีบวนเวียนและนับจำนวนสมบัติที่เขาต้องการปล้นไปจากเย่ชิงเฟิง ยังมีเกราะเหลืออีก 15 ชิ้น หลังจากที่หลินเว่ยนำออกไป มีอาวุธสงครามสี่ชิ้น รองเท้าหนัง หนังสือสามเล่ม แจกันลายครามสองใบ และกล่องไม้ห้ากล่อง
“ท่านลุงเย่!” เมื่อมองไปที่สิ่งเหล่านี้ตรงหน้าเขา ดวงตาของหลินเว่ยก็กะพริบ เขาหันไปมองเย่ชิงเฟิงและร้องเรียกท่านลุง….อย่างเขินอาย
“อืม…อะไรหรือ?” เมื่อเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของหลินเว่ย เย่ชิงเฟิงก็ประหลาดใจ เขามองไปที่หลินเว่ยด้วยความหวาดกลัวและถามอย่างระมัดระวัง