“เจ็บนะ ก็ข้าพูดความจริงนี่” เฟิงอี้เซวียนยืนขึ้น เขาทำหน้าจะร้องไห้และเอามือลงเผยให้เห็นตาคล้ำๆ นี่คือผลงานของแคลร์เมื่อกี้ ในขณะที่ทุกคนยังไม่ได้สติคืนมา มือของแคลร์เร็วยิ่งกว่าความคิดเสียอีก นางรีบดึงมือที่กุมแน่นของเฟิงอี้เซวียนออกแล้วก็ต่อยเบ้าตาของเขาเต็มหมัด

 

 

เฟิงอี้เซวียนยิ้มด้วยความเจ็บปวด สุ่ยเหวินโม่มองเฟิงอี้เซวียนที่ดูเจ็บปวดแล้วก็หัวเราะออกมา

 

 

“เจ้าหัวเราะอะไรนักหนา! ” เฟิงอี้เซวียนระบายความโกรธของเขากับสุ่ยเหวินโม่แล้วเตรียมจะเรียกแท่งน้ำแข็งออกมา

 

 

แต่สุ่ยเหวินโม่เตรียมรับมืออยู่ก่อนแล้ว เขาชักดาบไปสกัดน้ำแข็งไว้ และทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกัน

 

 

แคลร์นั่งลงมองหญิงสาวที่เต็มไปด้วยเลือด นางคิดอยู่สักพักแล้วหันไปหยิบชุดที่สะอาดของนางเองและชุดของจินเหยียนออกมาจากถุงไปให้สองคนนั้น

 

 

“พวกเจ้ามีแผนการอย่างไรต่อ?” แคลร์ถามเรียบๆ

 

 

“ข้าจะซ่อนตัวตนเอาไว้แล้วไปตั้งถิ่นฐานที่โยซาลี่ คิดว่าจะค้นหาหมู่บ้านที่ห่างไกลสักหน่อยเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือต่อไปด้วยกัน” อัศวินผู้ตกอับตอบ

 

 

โยซาลี่เป็นประเทศที่ล้าหลังที่สุดในทวีปและเป็นสถานที่ที่พลังของวิหารแห่งแสงแทรกซึมได้น้อยที่สุด

 

 

“วิหารแห่งแสงไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก” แคลร์พูดอย่างเย็นชา

 

 

“ใช่ ข้าเข้าใจดี ข้ารู้ด้านมืดของวิหารแห่งแสงที่โลกไม่รู้ พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยข้าไปแน่นอน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะไม่อยู่เฉย ข้าจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องนาง” อัศวินตกอับมองหญิงสาวที่นั่งข้างๆ หญิงสาวยังมองอัศวินผู้ตกอับอย่างลึกซึ้ง ทั้งสองสามารถสื่อสารกันเข้าใจโดยไม่ต้องพูด

 

 

“ช่างเป็นความรักที่ขมขื่นจริงๆ” วัลโดพูดกับแคลร์พร้อมกับยักไหล่

 

 

“ข้าขอขอบคุณผู้มีพระคุณทุกคนที่ช่วยเราในวันนี้ ขอบคุณครับ” อัศวินตกอับพยายามที่จะลุกขึ้นและคำนับ “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า เราก็คงจะตายไปแล้วในวันนี้”

 

 

แคลร์หยุดนิ่ง “เจ้าไม่ต้องสุภาพมากก็ได้ ตอนนี้ดูแลอาการบาดเจ็บของตัวเองก่อนเถอะ”

 

 

“ข้าคงไม่อยู่สร้างปัญหาให้กับผู้มีพระคุณอีกต่อไปแล้ว เราจะข้ามพรมแดนไปยังโยซาลี่โดยเร็วที่สุด” อัศวินผู้ตกอับพูดอย่างเคร่งขรึม เขาเข้าใจดีว่าหากเหล่าอัศวินที่ไล่ฆ่าเขาไม่ได้กลับไป ในไม่ช้าวิหารแห่งแสงก็จะมีการเตรียมการใหม่อีกครั้งอย่างแน่นอน

 

 

“สาวน้อย เจ้ามานี่สิ” คลิฟกวักมือเรียกหญิงสาว “มาเถอะ ข้าจะย้อมสีผมและสีตาของเจ้าให้ เจ้าจะอยู่ด้วยสีนี้ไปได้อีกสิบปี มันจะช่วยลดปัญหาไปได้มาก ดังนั้นต่อไปต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”

 

 

“จริงหรือคะ?” หญิงสาวดีใจ เพราะผมและตาของนางทำร้ายคนรอบข้างและนางก็ถูกหักหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้หากสามารถเปลี่ยนสีผมและดวงตาได้นานๆ นางก็คงจะมีความสุขมาก

 

 

“แน่นอนว่ายาที่ข้าทำนี้สามารถอยู่ได้นานสิบปี “คลิฟพูดอย่างสบายๆ

 

 

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณอาจารย์” หญิงสาวพูดขอบคุณด้วยความดีใจ

 

 

อัศวินตกอับมองคลิฟ เขาเชื่อในสิ่งที่หัวหน้าอัศวินพูด ชายชราผู้นี้ต้องเป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์คลิฟอย่างแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถเอาชนะอัศวินทั้งห้าได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งนี้ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว

 

 

จินเหยียนกำลังย่างกระต่ายอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้มองเฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ที่ยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด คลิฟกำลังย้อมผมของหญิงสาว และอัศวินตกอับก็กำลังมองพวกเขาอย่างซาบซึ้ง

 

 

แคลร์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้พิงลำต้นแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด แคลร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะแตะถุงมือบนมือขวาเบาๆ ยังมีเรื่องวุ่นๆ อยู่อีกก็คือไป๋ตี้ที่หลับอยู่ตลอดและตรารอยดำที่หลังมือนี้

 

 

เฟิงอี้เซวียนและสุ่ยเหวินโม่ยิ่งต่อสู้กันก็ยิ่งออกไปไกล พวกเขาขยับไปถึงในป่าแล้ว ผ่านไปอีกสักพักพวกเขาสองคนก็หยุดลงในสถานที่ที่แคลร์มองไม่เห็นพวกเขา ทั้งสองหมอบลงพร้อมกัน สุ่ยเหวินโม่ก็พูดออกมาสั้นๆ “ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่? “

 

 

“ตอนแรกข้าก็คิดว่าตาฝาด แต่ไม่ใช่อย่างแน่นอน” เฟิงอี้เซวียนพูดอย่างมั่นใจ

 

 

“ใช่ เปลวไฟของแคลร์กลายเป็นสีทอง มันเกิดอะไรขึ้น? ” สุ่ยเหวินโม่ลูบคางของเขาและถามด้วยความสับสน “ข้าไม่เคยเห็นเปลวไฟสีนั้นเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วครู่แต่มันก็เปลี่ยนสีจริงๆ “

 

 

“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ ต่อไปก็ลองสังเกตให้ดีๆ อีกที” เฟิงอี้เซวียนเคาะหัวของสุ่ยเหวินโม่อย่างรวดเร็วแล้ววิ่งหนีไป

 

 

“บ้าเอ๊ย เจ้าฉวยโอกาสตีข้าจริงๆ นี่” สุ่ยเหวินโม่กระโดดขึ้นแล้วตีคืนอีกที

 

 

เฟิงอี้เซวียนโต้กลับแล้วทั้งสองก็วิ่งกลับไปที่พัก

 

 

ในตอนกลางคืน หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารแล้ว เฟิงอี้เซวียนก็ให้อัศวินผู้ตกอับและหญิงสาวผู้นั้นพักที่กระโจมของตัวเอง แล้วเขาก็ไปนอนเบียดอยู่ในกระโจมของสุ่ยเหวินโม่ แคลร์นอนเงียบๆ ในกระโจมของนาง มองไปที่ตะเกียงเวทย์ที่แขวนอยู่ด้านบนแล้วคิดถึงการฝึกจิตของกระจกดอกบัว

 

 

เมื่อคิดย้อนกลับไปซ้ำๆ แคลร์ก็ไม่สามารถนอนหลับได้อีกต่อไป นางทำได้แค่นั่งขัดสมาธิและเริ่มทวนการฝึกจิตของกระจกดอกบัว

 

 

การเคลื่อนไหวที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของแคลร์ กระแสความร้อนค่อยๆ ไหลผ่านแขนขาของนางช้าๆ จากนั้นกระแสความร้อนนั้นก็เคลื่อนเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น พลังได้เคลื่อนไปที่จุดตันเถียนและทันใดนั้นก็ดูเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นในใจของแคลร์

 

 

ทันใดนั้นแคลร์ก็ลืมตาขึ้น นางบรรลุขั้นแรกของกระจกดอกบัวแล้ว! รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของแคลร์ แม้ว่าบนโลกนี้จะมีคนที่อ่านวิธีการทางจิตนี้ออกแต่ก็ไม่สามารถฝึกจนสำเร็จได้ เนื่องจากไม่มีใครในโลกนี้รู้จักจุดฝังเข็มที่อธิบายไว้

 

 

แคลร์สะบัดนิ้วของนาง ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟสีทองขนาดเล็กออกมาทันทีโดยไม่ต้องร่ายคาถาใดๆ

 

 

“แคลร์ ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ร่ายคาถานะ อย่าบอกว่าเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ระดับต่ำได้ทันทีเลยหรือ? ไม่น่าใช่สิ?” เสียงอึ้งๆ ของวัลโดดังขึ้น แคลร์อายุเท่านี้จะสามารถใช้เวทย์โดยไม่ต้องร่ายคาถาได้อย่างไร? “แล้วก็ทำไมเปลวไฟถึงเป็นสีทองล่ะ? วันนี้ตอนที่ศพนั่นถูกทำลายก็ดูเหมือนว่าเปลวไฟของเจ้าจะเป็นสีทองเหมือนกันนะ ข้าคิดว่าตาฝาดเสียอีกในตอนแรก” น้ำเสียงของวัลโดเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

“เดี๋ยวต่อไปเจ้าก็รู้เอง” แคลร์พูดพอเป็นพิธี นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบาย นางจะบอกวัลโดได้อย่างไรว่าวิญญาณของนางมาจากโลกอื่นและภาษาของโลกนั้นก็แตกต่างกับที่นี่ อีกทั้งหนังสือแปลกๆ ที่ได้รับจากขโมยตัวน้อยเป็นกลโกงแห่งจิตใจที่ดีมากเลย

 

 

วัลโดคร่ำครวญ “บอกตอนนี้ไม่ได้งั้นหรือ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมเปลวไฟที่เจ้าปล่อยออกมากลายเป็นสีทองล่ะ? ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าเปลวไฟอื่นด้วยนะ วันนี้ชุดเกราะพวกนั้นสลายไปอย่างรวดเร็วเลย”

 

 

“เงียบน่า! ” ทันใดนั้นสีหน้าของแคลร์ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเพราะจู่ๆ หลังของนางก็เจ็บปวดราวกับไฟเผา

 

 

“หือ? ” วัลโดผงะเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของแคลร์ เขาคิดว่าแคลร์ไม่พอใจจึงหุบปากทันที แต่ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ หน้าผากของแคลร์มีเหงื่อออกมาช้าๆ และนางดูเจ็บปวดมากด้วย

 

 

“แคลร์ เจ้าเป็นอะไร? เจ้าไม่สบายหรือ? หรือว่าเมื่อเย็นกินเนื้อกระต่ายที่ยังไม่สุกของจินเหยียนเลยปวดท้อง? ” วัลโดถามอย่างประหม่า

 

 

“ที่หลัง ที่หลังของข้ามีบางอย่างกำลังเติบโตขึ้น! ” แคลร์กัดฟันพูดออกมา

 

 

“อะไรนะ?!” วัลโดตกใจ มีอะไรงอกที่หลัง?! มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น แคลร์ไม่ได้รับการศึกษาที่ดีหรือเปล่านางเลยพูดเรื่องไร้สาระ?

 

 

“ดูให้ข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น! ” แคลร์หันหลังแล้วรีบเปิดเสื้อเผยให้เห็นด้านหลังของนาง ความรู้สึกแสบร้อนที่หลังของนางมากขึ้นเรื่อยๆ บางสิ่งบางอย่างกำลังแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง…

 

 

วัลโดหลับตาลง ตอนนี้เขามีการตอบสนองที่ดีแล้ว แค่แคลร์เปิดผ้าเขาก็จะหลับตาทันทีหรือไม่ก็หายไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

“มันคืออะไร? ” แคลร์ถามอย่างโกรธเคือง

 

 

“ไม่ ไม่รู้ ข้าไม่ได้ดูมัน” วัลโดตอบอย่างสั่นๆ “ข้าไม่กล้าดู เจ้าเคยบอกว่าหากข้าบังอาจดูร่างของเจ้า เจ้าก็จะฆ่าข้า”

 

 

“ตอนนี้ข้าให้เจ้าดู! ” แคลร์ดุ “เจ้าแค่มองไปที่หลังแค่นั้นเอง! ถ้าเจ้าไม่มองตอนนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าทันทีเลย” ตอนนี้ไม่มีกระจกบานใหญ่ นางจึงต้องให้วัลโดดูให้นางว่ามันเกิดอะไรขึ้น

 

 

วัลโดค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองที่หลังเนียนของแคลร์ เมื่อเขาเห็นมันอย่างชัดเจน เขาก็อึ้งไปราวกับถูกฟ้าผ่า

 

 

ที่หลังของแคลร์มีดอกบัวสีทองเพิ่งงอกขึ้นมา ยาวจากเอวไปจนถึงไหล่ของนาง กลีบดอกสีทองเปล่งประกายงดงามมาก ดอกบัวสีทองขนาดใหญ่เติบโตในผิวขาวของแคลร์ราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดอกบัวมีทั้งหมดสิบสองกลีบ แต่มีเพียงหนึ่งในสิบสองกลีบเท่านั้นที่บานออก อีกสิบเอ็ดกลีบยังคงตูมรวมกันแน่น กลีบดอกสีทองตัดกับผิวขาวของแคลร์

 

 

วัลโดดูอึ้งและตกตะลึงอย่างมากกับความงามอันน่าหลงใหลนี้จึงลืมคิดลืมพูดไปเลย บนโลกนี้มีสิ่งที่สวยงามเช่นนี้ด้วยหรือ?!

 

 

“วัลโด! ” แคลร์ตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ดึงเอาความคิดของวัลโดกลับมา

 

 

“อะ อะไรนะ? แคลร์ เจ้าว่าไงนะ?” วัลโดทำท่าเช็ดน้ำลาย ถ้าเขามีน้ำลายจริงก็คงหยดลงพื้นแล้ว

 

 

ในเวลานี้ แคลร์ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป นางใส่เสื้อผ้าแล้วถามด้วยความโกรธ “เจ้าเห็นอะไรกันแน่? มีอะไรอยู่ที่หลังของข้าหรือ? “

 

 

“ดอกบัวสีทองที่มีสิบสองกลีบ กลีบหนึ่งบานแล้ว อีกสิบเอ็ดกลีบยังไม่บาน มันสวยมาก ข้าไม่เคยเห็นสิ่งที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนเลย” วัลโดยังคงจมอยู่กับภาพนั้น เขาพูดด้วยความตกใจ “แต่ว่าแคลร์ ทำไมถึงมีดอกบัวอยู่ที่หลังของเจ้าล่ะ?”

 

 

แคลร์เงียบลงแต่จิตใจของนางสั่นไหว ดอกบัวสีทองงั้นหรือ? ขั้นแรกของกระจกดอกบัวปรากฏขึ้นที่หลังของนางทันทีที่เพิ่งเริ่มงั้นหรือ

 

 

……………………………………………………………………………..