บทที่ 45 พี่ใหญ่น่ารังเกียจจริงๆ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ณ หอดูดาว แท่นแปดทิศ

ท่านโหราจารย์ในชุดขาว มีผมขาว หนวดขาว กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ในมือถือจอกสุรา มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงอย่างเงียบๆ

ทางด้านซ้ายมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส ฉู่ไฉ่เวยผู้มีใบหน้ารูปไข่ตาโต องคาพยพบนใบหน้างดงามประณีต แลดูอ่อนหวานลึกลับกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น

นางกินไปพลางพูดเจื้อยแจ้วไปพลาง “ท่านอาจารย์ เมื่อใดข้าจะได้ก้าวสู่ขั้นหกแล้วเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะเจ้าคะ”

ท่านโหราจารย์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่สนใจเรื่องกินและยอมฝึกฝนอย่างสงบจิตสงบใจได้เมื่อใด ก็ถึงเวลานั้นเอง”

ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างลำบากใจ “เช่นนั้นชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”

นางกลืนอาหารลงไปแล้วพูดจ้อต่อ “จริงสิเจ้าคะ เงินปลอมนั่นถูกเผาได้ง่ายดายยิ่ง ทั้งพอโยนลงน้ำก็ระเบิด ไม่อาจเก็บรักษาเอาไว้ได้เลย เช่นนี้ก็รายงานต่อองค์จักรพรรดิได้ไม่ง่ายเลยหนาเจ้าคะ”

ท่านโหราจารย์เอ่ยเสียงเบา “จักรพรรดิเฒ่ากินอิ่มจนว่างงาน ให้เขากลิ้งกลับเข้าท้องแม่ไปก็ใช้ได้แล้ว”

ฉู่ไฉ่เวยแลบลิ้นน้อยๆ ออกมา “ศิษย์ไม่กล้าพูดคำนี้หรอกเจ้าค่ะ ท่านไปรายงานเองเถิด”

ท่านโหราจารย์ยิ้มอย่างใจดี

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สี่ใกล้จะเป็นบ้าแล้ว ท่านไม่สนใจหน่อยหรือเจ้าคะ ไม่มีเรื่องอะไรก็เที่ยววิ่งออกไปนอกเมือง ป่าวประกาศว่าประตูแห่งความลับของการเล่นแร่แปรธาตุได้เปิดให้เขาแล้ว”

“…”

“อาจารย์ ข้าว่ามือปราบผู้น้อยสวี่ชีอันคนนี้ไม่เลวเลย พวกเราไม่อาจรับเขาไว้ในสำนักโหราจารย์ได้เลยหรือ อ้อ ท่านไม่รู้ว่าเขาคือใครสิหนา เขาก็คือคนที่ไขคดีเงินภาษี…”

“…”

“ท่านอาจารย์ การปลูกถ่ายคือสิ่งใดหรือ”

ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ “ไฉ่เวย”

“ท่านอาจารย์กล่าวมาเถิด”

“ของกินก็หยุดปากเจ้าไม่ได้หรือ”

“อ้อ”

ไม่กี่วินาทีต่อมา…

“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านมองไปทางนั้นอยู่เรื่อยเลยเจ้าคะ”

“ไฉ่เวย อาจารย์รู้สึกเสียใจอยู่สักหน่อยน่ะ”

“ท่านอาจารย์กล่าวมาเถิด”

“เหตุใดอาจารย์ถึงไม่รู้วิชาปิดเสียงของลัทธิขงจื๊อนะ”

“ฮิๆ…” สีหน้าของฉู่ไฉ่เวยเพิ่งจะฉายแววได้ใจ จู่ๆ ก็พบว่าอาหารบนโต๊ะเน่าเสียในพริบตาและแผ่กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมา

นางเบะปากทำท่าจะร้องไห้ ปวดใจจนหายใจไม่ออก “ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ท่านรีบเปลี่ยนให้มันเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ เถิด”

ท่านโหราจารย์ยังคงทอดมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วเอ่ยพร้อมหัวเราะ “อาจารย์กำลังสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างหนึ่งนะ ในขอบเขตของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ของที่เปลี่ยนแปลงแล้วส่วนใหญ่ไม่อาจทำให้คืนสู่สภาพเดิมได้”

ฉู่ไฉ่เวยปาดน้ำตา แล้วร้องไห้กระซิกวิ่งจากไป “ข้าจะไม่มาหาคนแก่นิสัยเสียผู้นี้อีกแล้ว”

ที่ศาลาข้างป่าไผ่ เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยเสียงเบา “ห้ามมิให้เข้าใกล้ที่แห่งนี้ในระยะสามสิบจั้ง (1 จั้ง ประมาณ 2.5 เมตร)”

ขณะที่เอ่ย เขาก็โบกแขนเสื้อ ปราณใสขยายออกมาแล้วครอบคลุมศาลาเป็นรัศมีสามสิบจั้ง

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็หันกายไปมองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่านที่ถูกเรียกมาประชุม

หลี่มู่ไป๋มือถือถ้วยชา สีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสอบถามแล้ว เวลานั้นไม่มีนักเรียนคนใดเข้าใกล้ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก และไม่มีทางรู้ว่าใครเข้ามา”

“ลายมือบนแผ่นศิลาไม่ใช่ของนักเรียนคนใดในสำนักแน่ ผู้ที่สามารถเขียนตัวอักษรน่าเกลียดเช่นนี้ออกมาได้ ข้าไม่คิดว่าจะเป็นคนที่สำนักของพวกเราสั่งสอนหรอกนะ”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หลี่มู่ไป๋ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ถ้าหากไม่ใช่นักเรียนของสำนัก เช่นนั้นผู้ที่อยู่ในสำนักวันนั้น นอกจากศิษย์ราคาถูกคนนั้นแล้วยังจะมีใครอีก

‘ตุบ ตุบ…’

ตอนนี้เอง จางเซิ่นก็เคาะโต๊ะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เก็บความเยาะเย้ยดูถูกทั้งหมดลงไป แล้วเอ่ยคัดค้านเพื่อนรักของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ลายมือสามารถปลอมแปลงได้ ลายมือน่าเกลียดก็ยิ่งทำได้เช่นกัน”

เฉินไท่เอ่ยถามทันใด “แล้วสาเหตุที่ปลอมลายมือคืออะไรเล่า จารึกตั้งอยู่ตรงนั้นมาหลายสิบปีแล้ว ศิษย์อาจารย์ในสำนักต่างก็เคยลองกันแล้ว ทุกผู้ล้วนแต่ยินดีจะเป็นวีรบุรุษ ไม่มีเหตุผลให้ต้องปลอมลายมือเลย อีกอย่าง ตอนนั้นพี่น้องสวี่ฉือจิ้วและสวี่หนิงเยี่ยนก็มาเยี่ยมชมภูเขาพอดี”

เมื่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามจบการสนทนา ก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน

หลี่มู่ไป๋ดื่มน้ำชาในถ้วยแล้วทอดถอนใจออกมา “ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร…”

“ละอายใจนัก หลายปีมานี้ข้าละทิ้งความคิดที่จะเป็นขุนนางไปแล้ว ในใจเพียงคิดอยากมีชื่อเสียงเลื่องลือไปร้อยปี ทิ้งชื่อของตนจารึกไว้ในประวัติศาสตร์”

“พี่ฉุนจิ้งมีเกียรติสูงส่งยิ่งนัก” จางเซิ่นยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นเป็นการยกย่องให้คราหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “บทกวีส่งเสริมการเรียนรู้นั่นก็มอบให้ข้าชี้แนะแทนเถิด”

หลี่มู่ไป๋เปลี่ยนคำพูดทันที “เพื่อประเทศและปวงประชา จะไม่ขอโต้แย้งกับชื่อเสียงที่ได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์”

เจ้าสำนักจ้าวโส่วชะงักไป จดจ้องมองหลี่มู่ไป๋ ประกายแสงในแววตาส่องวาบแล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าเข้าใกล้ระดับก่อชะตาแล้วหรือ!”

“!!!” เฉินไท่และจางเซิ่นตกตะลึง

หลี่มู่ไป๋ยิ้มพลางลูบเครา “นิพพานจึงรู้แจ้งในทันใด”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อีกสองท่านที่เหลืออิจฉาขึ้นมาทันที

หลังจากถูกเจ้าสำนักจ้าวโส่วชี้ให้เห็น ทันใดนั้นทั้งคู่ก็พบว่ากลิ่นอายของหลี่มู่ไป๋มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

ระดับก่อชะตาขั้นสาม เป็นเขตแดนแห่งการค้นหาเป้าหมายของชีวิต บางคนเรียนหนังสือเพื่อชื่อเสียง บางคนเรียนเพื่อความร่ำรวยและยศศักดิ์ บางคนเรียนเพื่อสืบสานให้แก่คนรุ่นหลัง…ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตนเอง

เส้นทางของเจ้าสำนักจ้าวโส่วก็คือการสร้างความรู้ใหม่เพื่อลัทธิขงจื๊อ เพื่อปัญญาชนหลายพันหมื่นคนในใต้หล้า ทำลายการกักขังทางความคิด และค้นหาเส้นทางสายใหม่

ดังนั้นเขาจึงไม่อาจบรรลุเป้าหมายนี้ได้ภายในวันเดียว และไม่อาจทะลวงถึงระดับสองได้ในวันเดียวด้วย

คนอื่นๆ ไม่ได้เอ่ยถามถึงเป้าหมายในชีวิตของหลี่มู่ไป๋ เพราะเขาในตอนนี้อยู่ในสภาวะลางเลือนแบบหนึ่ง

จางเซิ่นและเฉินไท่มองสบตากัน ลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าหลังจากวันนี้พวกเขาจะกักตนเพื่อเลื่อนขั้นในตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก จะไม่ออกมาแล้ว

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามนักเรียนเข้ามาในตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก” ดวงตาที่แฝงความยิ่งใหญ่ของจ้าวโส่วกวาดมองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในที่แห่งนั้นแล้วเอ่ย “เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายออกไป ข้าอยากจะยืนหยัดวาจากับพวกเจ้าทั้งสามด้วย”

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามมองหน้ากันแล้วค่อยๆ พยักหน้า

ปราณของจ้าวโส่วจมสู่ตันเถียน พลังรวมอยู่ที่ปลายลิ้น “สุภาพชนควรปิดปากเงียบ”

ม้าสองตัวควบทะยานอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้เมืองหลวง สองพี่น้องก็ลดความเร็วลง ปล่อยให้ม้าวิ่งเหยาะไปตามทาง

พวกเขาเช่าม้าเลวมา ดีกว่าม้าขาเจ็บอยู่หน่อยเดียว ข้อดีคือราคาถูก ข้อเสียคือพลังกายไม่เพียงพอ

ไม่อาจควบทะยานด้วยความเร็วสูงนานๆ ได้

หากวิ่งไปแล้วตาย ยังต้องจ่ายเพิ่มอีกสิบกว่าตำลึงอีก สองพี่น้องเป็นคนรู้จักกระเป๋าเงินของตนดี

สวี่ซินเหนียนถอนหายใจออกมา ในที่สุดก็เอ่ยถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจ “พี่ใหญ่ควรอธิบายสักหน่อยหรือไม่”

เขาหมายถึงภาษิตโลกตะลึงท่อนนั้น

“เจ้าอยากให้ข้าอธิบายอะไร” สวี่ชีอันถามกลับ

“พี่ใหญ่เป็นเพียงแค่ระดับก่อปัญญาเท่านั้น เหตุใดจึงเอ่ยคำพูดที่ราวกับสะเทือนฟ้า แม้แต่ผีเทวดายังต้องร่ำไห้แบบนั้นได้” สวี่ซินเหนียนเชิดคางอย่างเย่อหยิ่ง “นั่นเป็นคำพูดที่มีแต่ปัญญาชนเท่านั้นที่จะเอ่ยออกมาได้นะ”

ดูท่าจะทำให้เจ้าได้ใจนะ…ทุกอย่างล้วนด้อยกว่า มีแค่ปัญญาชนที่อยู่สูงเท่านั้นหรือ…แต่ดีชั่วอย่างไรข้าก็จบการศึกษาภาคบังคับเก้าปีและเรียนจบจากโรงเรียนตำรวจเชียวนะ…ทั้งยังเป็นนักเลงคีย์บอร์ดรุ่นอาวุโส ได้รับการกล่อมเกลาจากวัฒนธรรมคีย์บอร์ดมาอย่างล้ำลึก อะไรก็ล้วนรู้ทั้งสิ้น…ถ้าแข่งขันด้านคลังความรู้กันจริงๆ ปัญญาชนอย่างพวกเจ้าทั้งหลายเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าก็เป็นแค่น้องๆ เท่านั้นแหละ!

สวี่ชีอันอยากจะพ่นคำนี้ออกมาจริงๆ

เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนวิธีพูด “ฉือจิ้วก็คิดว่าความคิดของลัทธิขงจื๊อในปัจจุบันมีปัญหาอยู่นิดหน่อยเหมือนกันนี่ แต่พอข้าถามเจ้าว่าปัญญาชนสมควรทำอะไร คำตอบของเจ้าก็ยังเป็นคำตอบตามบรรทัดฐานของยุคสมัยดั้งเดิม”

ประโยคนี้ทำให้สวี่ซินเหนียนตกอยู่ในภวังค์

“นี่คือข้อจำกัดทางความคิด ปัญญาชนอย่างพวกเจ้าทั้งหลายได้รับอิทธิพลมาจากความคิดบางอย่าง พอผ่านไปนานเข้าก็ก่อเป็นรูปร่าง ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็ยากจะหลุดพ้นได้” สวี่ชีอันพูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกเราเปลี่ยนวิธีเรียกได้ มันคือการกักขังทางความคิด”

“กักขังทางความคิด…” สวี่ฉือจิ้วพึมพำสี่คำนี้ซ้ำๆ

“เจ้าสำนักอวิ๋นลู่ก็ถูกกักขังทางความคิดเช่นเดียวกัน เพราะได้รับอิทธิพลจากการเล่าเรียนของเฉิงซื่อ เขาอยากจะทะลวง อยากจะหาวิธีการศึกษาใหม่ๆ แต่ตัวเขายังอยู่ในวังวน แล้วจะนำพาปัญญาชนทั่วทั้งใต้หล้าให้หลุดพ้นจากวังวนได้อย่างไร ผู้ที่ทำได้จริงๆ มีเพียงผู้ที่อยู่นอกวังวนเท่านั้น อาจเป็นเพราะพี่ใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือมากนัก ถึงได้สามารถฟันกระบี่ทางอ้อม[1] มีความคิดแปลกใหม่ และไม่ถูกตรรกะปรัชญาเฉิงซื่อกักขังเอาไว้”

แน่นอนว่าข้าก็มีการกักขังทางความคิด แต่เป็นการกักขังความคิดที่มาจากศตวรรษที่ 21 เพียงแค่ไม่มีใครมาตีแสกหน้าข้าเท่านั้น…สวี่ชีอันเอ่ยอยู่ในใจ

การกักขังทางความคิดที่ว่า พูดให้ชัดๆ ก็คือปรัชญาสามทัศน์ และปรัชญาสามทัศน์ก็คือสิ่งที่สร้างขึ้นตามยุคสมัย ตัวเจ้าอยู่ในยุคสมัยนี้แล้วได้รับอิทธิพลจากมัน ย่อมไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร มีเพียงแค่กาลเวลาเคลื่อนไปไกลถึงระดับหนึ่งเท่านั้น จึงจะอยู่ในตำแหน่งได้เปรียบและค้นพบปัญหา

สวี่ฉือจิ้วไม่ได้พูดอะไรอยู่นานมาก เขาเริ่มครุ่นคิดสิ่งต่างๆ ผ่านไปหนึ่งก้านธูป[2] เขาก็มองสวี่ชีอันด้วยท่าทางมีชีวิตชีวา “คำพูดครั้งนี้ของพี่ใหญ่ทำให้ข้ารู้แจ้งทันใด”

‘พี่ใหญ่ยอดเยี่ยมจริงๆ’

ความตระหนักรู้แข็งแกร่งมาก…สวี่ชีอันประเมินอยู่ในใจ แต่สีหน้าเรียบเฉย กลับเผยท่าทางเยาะเย้ยออกมาแทน

“น่าเสียดาย เจ้าไม่ได้สืบทอดส่วนที่ดีของบ้านสกุลสวี่ แต่กลับไปสืบทอดของสกุลหลี่มาแทน”

‘พี่ใหญ่น่ารังเกียจจริงๆ’ …จู่ๆ สวี่ฉือจิ้วก็ไม่อยากพูดคุยกับเขาแล้ว

ถ้าท่านแม่ได้ยินคำพูดนี้ล่ะก็ จะต้องตบโต๊ะโมโหแล้วกล่าวว่า ‘ดวงเจ้าตัวสารเลวนี่ขัดกับแม่’

…………………………………

[1] ฟันกระบี่ทางอ้อม หมายถึง ไม่ปฏิบัติตามวิธีการเดิมๆ ในการค้นหาวิธีการใหม่ๆ ที่แตกต่างกันในการแก้ปัญหา เพื่อให้บรรลุชัยชนะที่น่าประหลาดใจ

[2] หนึ่งก้านธูป คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่าหนึ่งชั่วโมง