บทที่ 55 คิดมาก Ink Stone_Romance
เมื่อเจ้าอาวาสซุนเดินมา สาวใช้ที่นั่งเย็บถุงเท้าอยู่ตรงทางเดินก็รีบโบกมือให้นาง
เจ้าอาวาสเบาฝีเท้าลงในทันใดแล้วนั่งลงตรงทางเดิน
“นายหญิงนอนแล้วหรือ” นางเอ่ยถามเสียงเบา
สาวใช้พยักหน้า
“นายหญิงร่างกายไม่แข็งแรง เรี่ยวแรงไม่พอ กลางวันต้องนอนพักสักครึ่งชั่วยาม” นางเอ่ย ส่วนเข็มในมือก็สอยต่อไม่หยุด
เจ้าอาวาสส่งเสียงร้อง ‘อ้อ’
“แต่ว่าอย่างไรก็หายดีแล้ว ค่อยๆ พักฟื้นอย่างไรเสียก็ต้องดีขึ้นเรื่อยๆ” นางกล่าวพลางอมยิ้ม “ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นฮูหยินโจวภาวนาด้วยใจศรัทธา”
สาวใช้พยักหน้า
“ถ้าหากฮูหยินยังอยู่ จะต้องดีใจมากเป็นแน่” นางถอนหายใจเอ่ยก่อนจะหันไปมองในห้อง
ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดยิ่งนัก ทั้งยังเป็นเด็กที่เก่งกาจยิ่งนัก
“เด็กน้อยสองคนนั้น ถูกส่งออกไปแล้ว” เจ้าอาวาสซุนกล่าว “วัดเขาเป่าหยวน ข้ากับเจ้าอาวาสวัดนั้นเคยบำเพ็ญตนกับอาจารย์ท่านเดียวกัน นายหญิงวางใจได้”
วางใจนี้ คือวางใจอะไรกันแน่
สาวใช้ก้มหน้าเย็บสอยส่งเสียง ‘อืม’
เจ้าอาวาสซุนชมนางว่างานเย็บปักดีแล้วก็ลาไป สาวใช้ถือเข็มในมือไว้แล้วเหม่อไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงขลุกขลักลอยมาจากข้างใน
“นายหญิงเจ้าคะ” สาวใช้รีบวางเข็มด้ายลงแล้วเดินเข้าไป
เฉิงเจียวเหนียงลุกจากเตียงขึ้นมานั่ง
สาวใช้ช่วยนางให้นั่งขึ้นมาดีๆ แล้วยื่นน้ำให้ดื่มหนึ่งแก้ว ก่อนจะช่วยสางผมให้นาง
“นายหญิง เจ้าอาวาสบอกว่า ส่งสองคนนั้นไปแล้วนะเจ้าคะ” สาวใช้กล่าว
เฉิงเจียวเหนียงส่งเสียง ‘อืม’ แล้วก้มหน้าดูหนังสือ
ในห้องเงียบสงัดไร้เสียงใด
“เจ้าคิดว่าเด็กน้อยสองคนนั้นน่าสงสารใช่หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“ไม่เจ้าค่ะ คนน่าสงสารมักมีจุดที่น่าชังอยู่ พวกนางนึกว่าตนเองจัดแจงอย่างรอบคอบ แต่ถ้าหาก… ถ้าหากนายหญิงเป็นอะไรไป…” สาวใช้รีบกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
พูดถึงตรงนี้ก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว แม้กระทั่งคิดก็ยังไม่กล้าคิด หลายวันมานี้นางฝันร้ายทุกคืนก็เพราะเรื่องนี้
“หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเราก็คงไม่ได้อยู่ต่อแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวแล้วอมยิ้ม
หญิงสาวลูกมีสกุลถูกล่วงเกิน เรื่องน่าอับอายทำลายชื่อเสียงเช่นนี้ ตระกูลเฉิงคงต้องปิดปากคนที่รู้เรื่องทุกคนเป็นแน่
“ฉะนั้นเด็กน้อยสองคนนั้นจึงต้องคอยสอดส่องอยู่ข้างนอก หากเรียกพวกเจ้ามาไม่ได้ นางก็จะกระโจนเข้ามาเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
สาวใช้ร้อง ‘อ้อ’
“จะว่าไปแล้วพวกนางทำเช่นนี้ก็ไม่เลวเลย” เฉิงเจียวเหนียงพูดขึ้นขณะที่ถือหนังสืออยู่ในมือ “เด็กสองคนนี้ ช่างฉลาดนัก”
สาวใช้ไม่ค่อยเข้าใจ มองดูเฉิงเจียวเหนียง
“ถ้าอย่างนั้นนายหญิงชอบเด็กน้อยสองคนนี้หรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองนาง
“ข้าเป็นคนสติไม่สมประกอบ ข้าไม่ได้บ้า” นางกล่าว
สาวใช้อดขำออกมาไม่ได้
“นายหญิง หยอกข้าเล่นอีกแล้ว” นางกล่าว
“ข้าไม่ได้หยอกเจ้าเล่น ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าใจแคบนัก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว พลางพลิกหนังสือไปหนึ่งหน้า
“จะให้เก็บคนที่รังแกข้า เหยียบย่ำข้า ใช้ประโยชน์จากข้าไว้ข้างกายได้อย่างไร”
นั่นสินะ สองคนนั้นที่รังแกนางเหยียบย่ำนางก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว
เด็กน้อยสองคนนี้แค่ถูกส่งไปวัดอื่นเท่านั้น ถือว่าโชคดีแล้ว
สาวใช้ก้มหน้าตอบรับ
“นายหญิงเจ้าคะ ข้าซื้อปลามา นายหญิงอยากให้ทำแบบไหนเจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ปลาอะไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“ปลาชิง เจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าว
“ในห้องครัวยังมีอะไรอีก” เฉิงเจียวเหนียงถามอีก
“มีต้นหอม ไข่ ยังมีเห็ดและเห็ดหูหนูที่ไปเก็บบนเขาเมื่อวานเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวพลางนับนิ้ว “แล้วก็มีแตงอีกสองลูก…”
“พอแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะนาง “ทำน้ำแกงปลาแล้วกัน”
สาวใช้พยักหน้าอย่างดีใจ นางนั่งคุกเข่าอย่างดี พร้อมเตรียมตัวฟังและจดจำอย่างตั้งใจ
ยามฟ้ามืดลง ขุนนางเฉิน เฉินเซ่า ที่อยู่ในเมืองหลวงก็รอจนพ่อบ้านมาเล่ารายละเอียดให้ฟังในที่สุด
“ดีที่แม่นางสิบหกจำได้ว่ามีคนเรียกชื่อสาวใช้ผู้นั้น เมื่อชื่อนี้พูดออกมา ก็โชคดีที่เสี่ยวเอ้อร์ในร้านก็ได้ยินเช่นกัน เนื่องจากนางนำอาหารมาเองจากบ้าน เสี่ยวเอ้อร์จึงโมโหอยู่ในใจแล้วจดจำไว้ได้” พ่อบ้านถอนหายใจกล่าว
นี่ถือว่าคนดีฟ้าช่วยเหลือหรือไม่
เฉินเซ่าลูบเคราขบคิดแล้วกล่าว ช่างบังเอิญนัก บังเอิญอย่างมาก
“อย่างนั้นได้ถามหรือไม่ว่าเป็นนายหญิงบ้านใด” เขาเอ่ยถาม
“ในห้องเดี่ยวมีเพียงท่านชายสองคน” พ่อบ้านกล่าว
ท่านชายหรือ ท่านพ่อบอกว่าสาวใช้นั่นติดตามนายหญิงผู้หนึ่งมิใช่หรือ อีกทั้งยังเป็นนายหญิงที่อายุเพียงสิบสี่สิบห้า ทำไมถึงกลายเป็นท่านชายไปได้
เฉินเซ่าขมวดคิ้ว
“โชคดีไปกว่านั้นก็คือท่านชายสองคนนี้ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเสียด้วย” พ่อบ้านกล่าวต่อ “หนึ่งในนั้นคือท่านชายหกบ้านคนส่านซีตระกูลโจว คนหนึ่งคือท่านชายน้อยฉินคนขากระเผลก ส่วนปั้นฉินผู้นั้นเป็นคนบ้านไหน เสี่ยวเอ้อร์ในร้านก็ไม่ทราบเช่นกัน”
บ้านตระกูลโจว บ้านตระกูลฉิน
เฉินเซ่าเงียบไปสักครู่
“เช่นนั้นนำสาส์นของข้าไปถามก็รู้แล้ว” เขากล่าว
พ่อบ้านก็คิดเช่นนี้ สองบ้านนี้ไม่ใช่ตระกูลชาวบ้านธรรมดาทั่วไป จะบุ่มบ่ามเข้าไปสอบถามสาวใช้บ้านเขามิได้ ฉะนั้นหากนำสาส์นของนายท่านคงจะสะดวกมากขึ้น เขาขานรับแล้วเดินหันหลังกลับออกไป
เพราะทั้งขี่ม้าทั้งดื่มเหล้า ท่านชายฉินจึงอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วนอนลงพักผ่อน บทสนทนาของเหล่าสาวใช้หน้าห้องทำเขาตกใจ
“เมื่อครู่พวกเจ้าว่าผู้ใดมาตามหาใครนะ” เขาเอ่ยถามผ่านม่านที่กั้นไว้
เหล่าสาวใช้รีบเดินเข้ามา นั่งคุกเข่าอยู่หน้าม่านกั้น
“ตอบกลับท่านชายเจ้าค่ะ” พวกนางกล่าว “บ้านขุนนางเฉิน เฉินเซ่า ให้คนมาถามว่าบ้านเรามีสาวใช้ชื่อปั้นฉินหรือไม่ แปลกยิ่งนัก ไม่ทราบว่าทำไมเจ้าค่ะ”
ท่านชายฉินลุกขึ้นนั่งในทันใด
“ใครนะ เฉินเซ่าหรือ” เขาเอ่ยถาม “ปั้นฉินหรือ”
เหล่าสาวใช้พบเห็นน้ำเสียงเช่นนี้ของท่านชายไม่บ่อยนัก พากันตกใจ เขาลังเลสักครู่หนึ่งแล้วม้วนผ้าม่านขึ้น
“เจ้าค่ะ สาส์นของท่านขุนนางเฉิน ถามว่าปั้นฉินเป็นสาวใช้บ้านเราหรือไม่” สาวใช้กล่าวอย่างจริงจัง
ท่านชายฉินเงียบไปสักครู่ ยื่นมือมาหยิบไม้เท้าข้างเตียง
“ไปบ้านตระกูลโจว” เขากล่าว
ตอนนี้เลยหรือ
สาวใช้ตกใจพลางมองออกไปข้างนอก
ท่านชายโจวหกท่าทางกระปรี้กระเปร่า ตอนท่านพ่อเรียกให้มาพบนั้น เขากำลังซ้อมต่อสู้ชกมวยอยู่จึงเดินเหงื่อท่วมตัวเข้ามาอย่างนั้น
“อากาศเย็นแล้ว ลมพัดนะ” ท่านแม่โจวกล่าวอย่างเป็นห่วง เร่งเร้าสาวใช้หยิบเครื่องใช้เช็ดล้างตัวมา
ท่านพ่อโจวโบกมืออย่างรำคาญ
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เขากล่าว
ท่านแม่โจวไม่กล้าขัด พาเหล่าสาวใช้และแม่นมออกไป
“ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรหรือขอรับ” ท่านชายโจวหกปริปากเอ่ยถาม
“สาวใช้ที่เจ้าพามาไม่ธรรมดานะ” ท่านพ่อโจวกล่าว
ท่านชายโจวหกขมวดคิ้ว
“กริยามารยาทก็ไม่ธรรมดา แต่พอดูอย่างละเอียดแล้ว ก็เหมือนจะไม่มีอะไรไม่ธรรมดานะขอรับ” เขากล่าว
บ้านตระกูลโจวเคยชินกับการพูดจาตรงไปตรงมา เขากล่าวจบก็มองดูท่านพ่อ
“ท่านพ่อมีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถิดขอรับ” เขากล่าว
“เมื่อครู่ขุนนางเฉิน เฉินเซ่าส่งคนมา” ท่านพ่อโจวกล่าว
ท่านชายโจวหกดวงตาลุกวาว ขุนนางชั้นสูงเพียงนี้มาเยี่ยมบ้านตระกูลโจวอย่างพวกเราหรือ หรือว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท
ฮ่องเต้อายุมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังอ่อนแอโรครุมเร้า การเลือกรัชทายาทจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างมาก เพราะมีองค์ชายสองถึงสองพระองค์ ในราชสำนักจึงแบ่งพรรคแบ่งพวกกันยกใหญ่ เรื่องตาดีได้ตาร้ายเสียน่าปวดหัวเช่นนี้ไม่มีใครเผชิญ แต่บ้านตระกูลโจวกลับคิดว่าเป็นโอกาสอันดีของพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่ตระกูลโจวของพวกเขาเป็นเพียงขุนพลต่ำต้อย เป็นแค่ขุนนางระดับล่าง หากมิใช่เพราะท่านตามองการณ์เฉียบขาดจึงได้เดินทางเข้าเมืองหลวง ชิงทำผลงานจนมีชื่อเสียง ไม่เช่นนั้นเกรงว่าในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้คงไม่มีใครรู้จักว่าบ้านตระกูลโจวเป็นใครแน่นอน ฉะนั้นในตอนนี้จึงไม่มีใครมาดึงพวกเขาเป็นพวก และถึงแม้จะอยากเข้าฝ่ายใดก็ไม่รู้จะบอกกล่าวกับใครเช่นกัน
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ยามไม่มีใครก็ไม่มีเลยแม้สักคนเดียว แต่พอมาก็มาเยี่ยงใต้เท้าที่ตำแหน่งใหญ่โต
“ขุนนางเฉินเลือกได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกตื่นเต้นดีใจอย่างอดไม่ได้ ดวงตาของเขาลุกวาว “ตามหาใครหรือขอรับ”
ท่าทางเลิกแขนเสื้อขึ้นเช่นนั้น ราวกับไม่ว่าจะใครหน้าไหนเขาก็พร้อมจะรุดเข้าไปแลกสักหมัด
แต่โบราณมานั้น ความมั่งคั่งสูงศักดิ์ได้มาจากภัยอันตรายทั้งสิ้น เหลียวหน้าแลหลัง กลัวเสือเกรงจิ้งจอกก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัย หากสู้สักตั้ง ไม่ว่าแพ้ชนะก็น่ายินดีทั้งนั้น
ท่านพ่อโจวมองดูท่าทางของลูกชายช่างน่าขันนัก แต่ก็นึกถึงตนเองเมื่อครู่ที่ได้ยินว่าพ่อบ้านส่งสาส์นมาให้ คงจะมีท่าทางแบบเดียวกันนี้เช่นกัน
“ชายหก เจ้าคิดมากไปแล้ว” เขาส่ายหัวพลางกล่าว “บ้านตระกูลเฉินมาถามหาสาวใช้ต่างหากล่ะ”
……………………………………………………………..