ตอนที่ 65 ยาวิเศษที่เห็นผล การล่าสัตว์ป่าบนเขาหิมะ (3)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ยามที่รอคอยเวลามักจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช้าจนทำให้คนรู้สึกร้อนใจ ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกลับทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง รอจนถึงเช้าวันที่หก บาดแผลที่อยู่บนดวงหน้าของอวิ๋นยั่งที่ตกสะเก็ดแล้วหลุดออก ทีแรกบาดแผลก็ลึกพอสมควร หลังจากที่สะเก็ดหลุดลอกไปแล้วกลับกลายเป็นผิวหนังเรียบเนียน มีเพียงรอยขูดสีขาวจางๆ เท่านั้น

แม่นมของอวิ๋นซีเห็นครั้งใดก็เอ่ยชมว่านี่เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ไม่หยุด อวิ๋นเคอและอวิ๋นซีได้ยินจึงแห่กันมาเรือนของอวิ๋นยั่งเพื่อดู พอเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ทันใดนั้นจึงผ่อนลมหายใจด้วยความวางใจไปชั่วคราว

“ยารักษาแผลของคุณหนูเหยาช่างอัศจรรย์เกินคาดจริงๆ!” ปลายนิ้วมือของอวิ๋นซีลูบไล้บนรอยแผลที่อยู่บนดวงหน้าของอวิ๋นยั่ง ทว่ารู้สึกได้ถึงความเรียบเนียนของผิวพรรณ ทำให้ไม่รู้สึกว่ามีบาดแผลหรือตำหนิอะไรแม้แต่เพียงน้อย จากนั้นจึงถามขึ้น “ขี้ผึ้งที่นางให้ เคยทาหรือยัง”

แม่นมที่อยู่ข้างๆ จึงตอบกลับโดยด่วน “ทาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้หลังจากที่ล้างหน้าของคุณหนูเสร็จ ก็ทาแล้วเจ้าค่ะ”

“ตอนที่ทาขี้ผึ้งยาลงบนใบหน้าของข้าจะรู้สึกเย็นๆ แถมได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก พี่รองลองดมที่หน้าของข้าดูว่าหอมหรือไม่”

อวิ๋นซีขยับหน้าเข้าไปใกล้แล้วสูดดมดูเบาๆ จึงรู้สึกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ บนใบหน้าของน้องสาวคนเล็ก เหมือนจะให้ความรู้สึกขมเล็กน้อย แต่กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ทันใดนั้นจึงได้เอ่ยชมขึ้น “เป็นกลิ่นที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ยังดีกว่าเครื่องประทินผิวที่พวกเราใช้ในชีวิตประจำวันเสียอีก”

อวิ๋นเคอกล่าวขึ้น “ยาตัวนี้ต้องทำจากวัตถุดิบที่ล้ำค่ามากจริงๆ ไม่รู้ว่าคุณหนูเหยาต้องเสียแรงเพื่อคิดค้นสูตรยาชนิดนี้ด้วยความยากลำบากเพียงใด ถึงแม้ยั่งเอ๋อร์จะได้รับบาดเจ็บที่บ้านนามู่เย่ว์ ทว่านางซุกซนเกเรเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูเหยาแม้แต่น้อย แล้วยังมาทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นกังวลอีก ตามที่ข้ากล่าว พวกเราก็ควรส่งใครสักคนไปบ้านนามู่เย่ว์เพื่อกล่าวความจริงให้นางได้รับรู้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นสะใภ้สามจวนติ้งโหวก็จะนำของกำนัลมาเยี่ยมเยียนยั่งเอ๋อร์อีก”

อวิ๋นซีรู้สึกว่าพี่สาวมารดาเอกของตนนั้นกล่าวได้มีเหตุผลเสียจริง จึงได้ขานตอบว่า เป็นเช่นนั้นๆ ไม่หยุด จากนั้นก็กล่าวขึ้น “พี่สาว พวกเราไปแจ้งเรื่องนี้ให้ท่านแม่ทราบเถอะ”

เยี่ยนหวังเฟยได้ยินคำพูดของบุตรีตนเอง จึงได้สั่งให้คนเตรียมของกำนัลเพื่อไปขอบคุณคุณหนูเหยาถึงบ้านนามู่เย่ว์

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังเหยาเฟิ่งเกอได้ เหยาเฟิ่งเกอได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานตน จึงได้พยุงครรภ์ที่ยังไม่โตนักของตนไว้พลางหัวเราะเสียงค่อย และพูดขึ้น “เยี่ยนอวี่ ครั้งนี้เจ้าคงจะโด่งดังแล้วกระมัง คาดว่าต่อไปเจ้าอยากจะปิดบังเรื่องนี้ไว้ ก็เกรงว่าคงจะปิดไม่อยู่อีกต่อไป”

หลี่หมัวมัวหัวเราะเสียงเบาพลางเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นคุณหนูรองบอกว่ายาขี้ผึ้งและผงยารักษาแผลนั่นเป็นสูตรลับของตระกูล ความดีความชอบทุกอย่างนางยกให้นายท่านและฮูหยิน จวนเยี่ยนอ๋องไม่ทราบว่าคุณหนูรองมีวิชาความรู้ทางการแพทย์เจ้าค่ะ”

เหยาเฟิ่งเกอส่ายหน้า พลางหัวเราะเยาะขึ้น “เจ้าอย่าโง่เขลานักเลย หากจวนเยี่ยนอ๋องไม่ทราบ จะให้คนส่งของกำนัลไปให้ถึงบ้านนามู่เย่ว์ได้อย่างไร อีกอย่าง หลิงซีจวิ้นจู่ไม่เคยปล่อยข่าวให้คนนอกรู้ แต่ยากที่จะยืนยันว่านางจะไม่บอกให้น้องสะใภ้ของนางรับรู้เสียหน่อย นิสัยของเยี่ยนหวังเฟยเจ้าก็รู้ดี เรื่องเกิดขึ้นเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่ไม่โวยวาย แต่กลับส่งของกำนัลไปให้เยี่ยนอวี่ด้วยความเชื่อฟัง แล้วมันเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า”

หลี่หมัวมัวถึงกับพูดอะไรไม่ออก

อากาศที่บ้านนานั้นมักจะหนาวเย็นกว่าในเมือง ลมแรงกลางหุบเขาก็พัดมาตลอดเวลา กระดาษที่ติดอยู่ตรงบานหน้าต่างส่งเสียงดังขึ้นไม่หยุด ทำให้ผู้คนรู้สึกเหน็บหนาวกว่าเดิม เพราะเหตุนี้ในเรือนนอนของเหยาเยี่ยนอวี่จึงเผาไฟในเตาตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว

ถ่านในเตาไฟเป็นถ่านเงินชั้นดีที่เฝิงโหย่วฉุนซื้อมาด้วยเงินตำลึงเป็นจำนวนมาก มันง่ายต่อการจุดเผา และเปลวไฟที่ลุกโชนนั้นเป็นสีอำพัน ทั้งยังไม่มีควันอีกด้วย เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนตั่งไม้แล้วผิงไฟ พออ่านจดหมายของซูอวี้เหิงจนจบ ก็ทราบว่าแผลบนใบหน้าของอวิ๋นยั่งสะเก็ดลอกออกไปแล้ว แค่ทิ้งรอยขูดสีขาวจางๆ ไว้เท่านั้น จากนั้นนางจึงยิ้มอ่อนพลางพูดขึ้น “ครานี้ ข้าก็จะได้อยู่บ้านนาอย่างสงบสุขเสียที”

ชุ่ยเวยจึงคลี่ยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูเปรียบเสมือนทองคำแผ่นหนึ่ง ต่อให้ตกลงไปอยู่ในดินทราย ก็คงจะถูกผู้อื่นสังเกตเห็นอยู่ดี”

เหยาเยี่ยนอวี่เหลือบตามองนาง พลางพึมพำขึ้น “ตอนนี้เจ้าอาจพูดจาสละสลวยได้ ใครเป็นทองคำ? ใครคือดินทราย? คำๆ นี้หากคนนอกรู้เรื่องเข้า จะไม่ทำให้คุณหนูของเจ้ารู้สึกลำบากใจหรอกหรือ”

ชุ่ยเวยจึงแลบลิ้นออกมา แล้วไม่กล้าพูดอะไรต่อ

เวลานี้ ผัวจื่อที่อยู่ด้านนอกกลับเข้ามาข้างในพอดี “จวนเยี่ยนอ๋องได้รับสั่งให้นางกำนัลทั้งสองนางมา บอกว่าจะมาขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองชุ่ยเวย พลางยิ้มพูดขึ้น “คำพูดของข้าเป็นเช่นไรล่ะ ยังไม่รีบไปเชิญแขกผู้มีเกียรติเข้ามาอีก?”

ชุ่ยเวยจึงคลี่ยิ้มพลางออกไปต้อนรับอย่างฉับไหว ขณะที่ก้าวเดินนางก็ขานขึ้นอย่างขบขัน “นางกำนัลแห่งจวนเยี่ยนอ๋องเป็นแขกผู้มีเกียรติ ยังไม่รีบไปเชิญเข้ามาอีก?”

เยี่ยนหวังเฟยสั่งให้นางกำนัลทั้งสองนำเครื่องประดับมาสี่ชิ้น ผ้าต่วนชั้นดีทั้งหมดสี่พับ ทั้งสองคนนี้เห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงน้อมคำนับด้วยความเกรงอกเกรงใจ สตรีทั้งสองฝ่ายต่างพูดจาต่อกันเป็นอย่างดี

ถึงแม้เหยาเยี่ยนอวี่จะไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ทว่านางก็มิอาจเสียมารยาทได้

หลังจากพวกนางกล่าววาจาตามมารยาทพอเป็นพิธี และจิบน้ำชาไปหนึ่งกา จากนั้นนางกำนัลทั้งสองก็ลุกขึ้นพลางกล่าวคำอำลา

เฝิงหมัวมัวเองก็จัดเตรียมของกำนัลเพื่อส่งมอบกลับไปอย่างมีมารยาท เป็นของกำนัลจำพวกของกินที่เก็บเกี่ยวจากบ้านนา แล้วค่อยมาแปรรูปเป็นขนมลูกพลับสองกล่อง ลูกท้ออบแห้งสองกล่อง  ผลชิ่งอบแห้งสองกล่อง เห็ดป่าแดดเดียวสองกล่อง ไก่และกระต่ายป่าอวบอ้วนสามสี่ตัวที่ถูกขังไว้ในกรง อีกทั้งถุงบุหงาที่บรรจุดอกเหมยและเงินตำลึง จำนวนสี่ถุงซึ่งเป็นของกำนัลที่ให้นางกำนัลทั้งสองนี้

หลังจากที่ส่งคนของจวนเยี่ยนอ๋องเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามเฝิงหมัวมัว “บ้านนาของพวกเราซ่อมแซมไปถึงไหนแล้ว ทุกวันนี้อากาศยิ่งนานวันยิ่งเหน็บหนาวแล้ว เรือนแห่งนี้ไม่สะดวกสบายเหลือทนแล้ว”

“ใกล้เสร็จแล้วเจ้าค่ะ นี่ก็เหลือเพียงบางสิ่งอีกเล็กน้อยสำหรับที่ต้องใช้ประจำวันที่ยังไม่เสร็จ ประเดี๋ยวบ่าวจะให้คนไปเร่งให้นะเจ้าคะ ตาแก่ของบ่าวกล่าวว่า ต้นเดือนสิบเอ็ดคุณหนูก็สามารถย้ายเข้าไปได้เลยเจ้าค่ะ ทว่าบ่าวรู้สึกว่าก่อนจะย้ายเข้าไปบ่าวควรจะไปดูความเรียบร้อยเสียก่อน รอให้ของทุกอย่างครบครันแล้ว คุณหนูค่อยไปแล้วกันนะเจ้าคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “รอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ให้ถึงวันที่อากาศดี ไม่มีลมพัดเสียก่อน ข้าจะไปดูความเรียบร้อยพร้อมเจ้า”

จากนั้นเฝิงหมัวมัวคลี่ยิ้มพลางพูด “เรื่องอื่นก็คงจะไม่มีอะไรอีกเจ้าค่ะ บ้านสวนแห่งนั้นตอนแรกก็เป็นของตระกูลเว่ย และคนมักจะเรียกชื่อว่าบ้านดอยลิ่วหรูอะไรสักอย่าง นี่มันเป็นชื่ออะไรกันเจ้าคะ ช่างให้ความรู้สึกที่อึมครึม คุณหนูควรจะตั้งชื่อใ แล้วบ่าวจะสั่งให้ช่างแกะสลักชื่อไว้ตรงหน้าประตูทางเข้าเลย”

“บ้านดอยลิ่วหรู?” เหยาเยี่ยนอวี่เหมือนจะจำได้ลางๆ ในกลยุทธ์ทหารจะมีคำว่าลิ่วหรูเจินเหยียนอะไรสักอย่าง คิดว่าแม่ทัพผู้เฒ่าเว่ยคงตั้งชื่อของบ้านพักในป่าเขาโดยมาจากกลยุทธ์นี้แน่นอน เขาช่างลุ่มหลงในความเป็นทหารเสียจริง

เพียงแต่ว่าเวลานี้ที่นี่เป็นถิ่นของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าตนก็ต้องตั้งชื่อบ้านสวนที่ตนชื่นชอบ เหยาเยี่ยนอวี่ขบคิดอย่างเงียบๆ ไปสักพัก จู่ๆ ก็คลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “มีแล้ว เรียกว่า ‘บ้านนาน้อยวัวจวู’ แล้วกัน”

“อะ…อะไรนะเจ้าคะ วัวจวู?” หยาดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มศีรษะของเฝิงหมัวมัวทันที “เหตุใดถึงได้ใช้ชื่อของผักล่ะเจ้าคะ”

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะพุ่งจนทำให้น้ำชาที่เพิ่งจิบเข้ามาในปากพุ่งกระฉูดออกมาทันที “ชื่อผักอันใดกันเล่า หมัวมัวช่างคิดจริงๆ วัวที่เป็นคำว่าหอยทาก บ้านนาแห่งนั้นก็เหมือนเปลือกหุ้มของหอยทากอย่างข้า สำหรับข้าที่เป็นหอยทาก ที่พักพิงกำบังลมกำบังฝนก็คือบ้านของข้า”

เฝิงหมัวมัวคลี่ยิ้มอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “บ่าวจะคิดถึงได้เช่นไรกันเล่า คุณหนูมีความคิดที่ซับซ้อนต่างหาก ถือว่าบ่าวโง่เอง ที่ตามความเฉลียวฉลาดของคุณหนูไม่ทัน บ้านของหอยทาก…ไอ้หยา เหตุใดคุณหนูถึงคิดเยี่ยงนี้”

“สิ่งที่ข้าขอ ก็เพียงที่พักพิงกำบังลมและฝนให้ข้า นี่เป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุด”

เฝิงหมัวมัวครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็คลี่ยิ้มพลางพูดขึ้น “เหมาะสมมากเจ้าค่ะ มีกลิ่นอายเหมือนบ้านที่อยู่กลางหุบเขาด้วย บ่าวรู้อักษรสองคำนี้ บ่าวจะสั่งคนให้ไปทำป้ายประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าพลางพูดขึ้น “ไม่ต้องเอาป้ายที่หรูหราอะไรมาก ทุกอย่างให้ทำอย่างเรียบง่ายก็พอ”

“เจ้าค่ะ บ่าวจะจดจำไว้” เฝิงหมัวมัวขานรับแล้วรีบเดินออกไปข้างนอก จากนั้นก็สั่งให้คนไปทำป้ายแล้วแกะสลักตัวอักษรลงไป

หลายวันมานี้ ลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือพัดมาตลอด พัดโชยจนทำให้ฟ้ามืดครึ้ม

ร่างกายของเหยาเยี่ยนอวี่ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอก นางยืนอยู่กลางลานบ้านพลางมองเกล็ดหิมะที่ลอยไปลอยมากลางอากาศ จากนั้นก็เปรยขึ้น “เกล็ดหิมะที่ใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว”