ตอนที่ 57 คำขอร้อง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เจ้าเคยพูดกับซั่งกวนจิ่นว่าอยากพบข้าเพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการพูดกับข้า นั่นคือเรื่องอันใดหรือ?” สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อควรพูด ทั้งสิ่งที่กังวลก็ล้วนพูดออกไปหมดแล้ว เวลานี้ก็ควรถามเรื่องที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะพูดกับนางได้แล้ว!

เยี่ยนมี่เอ๋อร์คุกเข่าลงไปต่อหน้าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ทำเอาหวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงกับตกใจ รีบร้อนยื่นมือมาประคองนางทันที “มี่เอ๋อร์ นี่เจ้ากำลังทำอันใด? ลุกขึ้นมาเร็วเข้า!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้หยัดกายขึ้นตาม กลับดันมือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อออกอย่างแน่วแน่ “ฮูหยิน มี่เอ๋อร์มีเรื่องลำบากใจที่อยาก จะขอให้ท่านช่วยรับปาก ท่านให้มี่เอ๋อร์คุกเข่าพูดดีกว่าเจ้าค่ะ!”

“มี่เอ๋อร์ เจ้า…” หวงฝู๋เยวี่ยเอ้อเย็นวาบในใจ หรือจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงสามคนนั้น นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ปวดหัวและลำบากใจอย่างแท้จริง

“ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ มี่เอ๋อร์แค่ขอร้องท่าน แต่เรื่องนี้ยังต้องการให้ท่านปรึกษากับนายท่านซั่งกวนและคุณชายใหญ่ มี่เอ๋อร์ไม่ได้ขอร้องให้ท่านรับปากข้าในทันที!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจ “เพียงแต่เรื่องนี้สำหรับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว เป็นเรื่องที่จริงจังและร้ายแรงยิ่งนัก ท่านให้มี่เอ๋อร์คุกเข่าเถิด ตัวมี่เอ๋อร์เองจะได้ไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้”

“เด็กดี เจ้าว่ามาเถิด” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเดาไม่ออกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพูดอะไร แต่ก็ไม่อาจใช้แรงฝืนดึงตัวนางขึ้นมาได้ จึงทำได้เพียงให้นางคุกเข่าตามใจตนเท่านั้น

“ฮูหยินคงทราบแล้วว่า ป้าโม่ผู้ที่เลี้ยงดูมี่เอ๋อร์ได้ล่วงลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกถึงป้าโม่ก็ยังคงเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ และนางก็ไม่ได้ปกปิดความเสียใจของตนเอง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย รอจนความเจ็บปวดค่อยๆ เลือนหายไปก็กล่าวต่อ “สำหรับมี่เอ๋อร์แล้ว ท่านแม่เคยเป็นดั่งท้องฟ้า ยามที่ท่านแม่จากไป มี่เอ๋อร์สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะหลังจากที่ท่านแม่ล่วงลับไปแล้ว ยังมีป้าโม่และแม่นมฉินคอยพยุงอยู่ทั้งซ้ายและขวา ประคับประคองร่างที่โอนเอนแทบที่จะล้มของมี่เอ๋อร์ ทำให้มี่เอ๋อร์สามารถสร้างวันของตัวเองขึ้นมาด้วยตัวเองได้ ป้าโม่และแม่นมฉินก็เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของมี่เอ๋อร์ หากไม่มีพวกนาง บางทีมี่เอ๋อร์อาจจะรับไม่ไหวที่สูญเสียคนที่รักไปจนสลายหาย ไป บางทีอาจจะไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูกในเรือนที่กว้างขวางอ้างว้างนั้น บางทีอาจจะเพราะสูญเสียแสงอาทิตย์และลมฝนเหล่านั้นจนทำให้ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ความหมาย หรือบางทีก็อาจจะผ่านไปได้ แต่ก็ไม่อาจจะเป็นอย่างวันนี้ได้ อาจจะจงเกลียดจงชังใต้หล้าแห่งนี้ อาจจะอ่อนแออย่างถึงที่สุด หรืออาจจะเห็นใครก็พาลเกลียดไปหมด…เพราะว่าพวกนาง มี่เอ๋อร์จึงมีวันนี้ได้!”

“ข้ารู้!” หวงฝู่เยวี่ยเอ๋อร์เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ไท่ไท่ของตระกูลเยี่ยนได้เปลี่ยนเป็นกดขี่ข่มเหงและเพิ่มความเลวร้ายมากขึ้น นายท่านตระกูลเยี่ยนก็ปล่อยไปตามเรื่องตามราวโดยไม่สนใจการเยาะเย้ยจากลูกคนอื่นๆ ของตระกูลเยี่ยน หากว่าไม่มีแม่นมฉินและป้าโม่คอยปกป้อง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อาจจะเป็นดั่งที่นางพูดเช่นนั้น

“การตายของท่านป้า มี่เอ๋อร์ได้เตรียมใจมานานแล้ว นางคล้ายดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด สามารถยื้อเวลาจนถึงเดือนก่อนได้นั้นก็เพราะพยายามจนเฮือกสุดท้าย นางอยากจะเห็นข้าแต่งออกไปอย่างมีความสุข อยากจะเห็นข้ากลายเป็นเจ้าสาวที่งดงามและมีความสุขที่สุดในโลกนี้ เพราะความเชื่อมั่นนั้นจึงทำให้นางประวิงเวลามาโดยตลอด…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะอึกไปบ้าง น้ำตารินไหลหยดลงบนกระโปรงอย่างห้ามไม่อยู่

“มี่เอ๋อร์ไม่ต้องพูดแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคุกเข่าลงไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างปวดใจ น้ำตาของหลิงหลงแฝงมาด้วยความน้อยใจ น้ำตาของจิงอิ๋งมักจะตามมาด้วยเสียงครวญครางอย่างไม่หยุดไม่หย่อน แต่น้ำตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับงดงามคล้ายกับดอกสาลี่ที่ต้องหยาดฝน บอบบางและดูโศกเศร้า พาให้นางปวดใจตามอย่างทนไม่ไหว

“ข้ายังไหวเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงดึงดันกล่าวต่อ “ยามที่พ่อบ้านจิ่นมาถึงอู๋โจว มี่เอ๋อร์กระทั่งเคยคิดอยากจะหลบหนี! งานแต่งงานสำหรับมี่เอ๋อร์แล้วแทบไม่มีความมุ่งหวังอะไรเลย มี่เอ๋อร์คิดมาโดยตลอด การหันหน้าเข้าสู่พุทธศาสนา สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นที่พึ่งพิงของมี่เอ๋อร์ แต่มี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้หลบหนี ความปรารถนาสุดท้ายของท่านแม่ ความคาดหวังที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยของแม่นมฉิน ทั้งป้าโม่ที่บังคับให้ข้ากล่าวคำสาบานก่อนจะที่นางจะจากไป ทำให้ข้าไม่อาจดื้อรั้นเอาแต่ใจได้ ดังนั้นจึงได้ตามมาถึงลี่โจวแต่โดยดี”

“สาบาน?” หวงฝู๋เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้ว ไม่ใช่บอกว่าป้าโม่รักนางอย่างกับอะไรดีหรอกหรือ ไฉนยังบีบบังคับให้นางกล่าวคำสาบานอีก?

“เจ้าค่ะ ท่านป้าบังคับให้ข้ากล่าวคำสาบาน นางต้องการให้ข้าสาบานว่าจะเข้าร่วมพิธีแต่งงาน จะเคารพสามีของตน คลอดบุตรเลี้ยงดูลูกให้กับเขา รักใคร่กลมเกลียวตลอดไป กตัญญูต่อพ่อแม่สามี ปฏิบัติตนให้ดีต่อคนในครอบครัว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงคำสาบานที่กล่าวตอนแรกด้วยน้ำตาที่รินไหล “หากข้าทำไม่ได้ ท่านป้าจะตกนรกสิบแปดขุม ลิ้มรสความทรมานของการลงทัณฑ์ และไม่อาจกลับมาเกิดได้อีกตลอดกาล!”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อตกใจจนสั่นสะท้าน นั่นเป็นความรักแบบใด จึงทำให้ป้าโม่บีบบังคับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคำสาบานเช่นนั้น ในใจรู้สึกซาบซึ้งและเคารพป้าโม่คนนั้น ผู้ที่นางเคยมีโอกาสพบหน้าครั้งหนึ่งก่อนที่จงเสวี่ยฉิงจะจากไป

“ดังนั้นข้าจึงมาแต่โดยดี! ข้าจะทำตามคำสาบานที่ข้ากล่าวไว้เช่นนั้น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เช็ดน้ำตาด้วยมือที่สั่นเทา “ฮูหยิน ข้าอยากทำเรื่องหนึ่งเพื่อท่านป้าเจ้าค่ะ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ข้าสามารถทำให้นางได้!”

“เจ้าว่ามาเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อซาบซึ้งอยู่ในใจ แทบที่จะรับปากโดยไม่ต้องคิด

“ข้าอยากจะไว้ทุกข์ให้ป้าโม่เป็นเวลาร้อยวัน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจัง “ในใจข้า ท่านป้ามีตำแหน่งรองลงมาจากท่านแม่ หากตามเจตนาของข้า ข้าปรารถนาอยากจะไว้ทุกข์ให้นางถึงสามปีด้วยซ้ำ แต่ข้ารู้ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับท่านป้า นางไม่ปรารถนาที่จะเห็นข้าทำลายกำหนดวันแต่งงาน สิ่งที่นางอยากเห็นก็คือข้าสามารถออกเรือนได้อย่างมีความสุข ข้าจึงทำได้แค่พบกันครึ่งทาง ไว้ทุกข์ให้ท่านป้าเป็นเวลาร้อยวัน!”

“นี่…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก งานแต่งงานถูกกำหนดวันไว้เรียบร้อย อีกทั้งยังอยู่ในอีกไม่กี่วันกี่เดือนข้างหน้า เวลานี้มาปรับเปลี่ยนก็ออกจะพูดยาก ทว่าน้ำเสียงและท่าทางที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์แสดงออกมา ในใจของนางก็เจ็บ ปวดอยู่บ้าง จะให้ปฏิเสธตรงๆ ก็คงทำไม่ได้

“มี่เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักคิดถึงส่วนรวม ฮูหยินอย่าได้เข้าใจความหมายของมี่เอ๋อร์ผิดไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าหวงฝู่เยวี่ย เอ้อกำลังคิดอะไร จึงกล่าวอธิบายทันที “วันแต่งงานได้ถูกกำหนดตั้งนานแล้ว อย่าพูดถึงตอนนี้เลย แม้ว่าตั้งแต่ออกเดินทางมาจากอู๋โจวก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะปรับเปลี่ยนวันแล้ว สิ่งที่มี่เอ๋อร์อยากขอร้องก็คือ ขอให้ฮูหยินปรึกษากับคุณชายใหญ่กำหนดงานแต่งงานนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจัดตามปกติ แต่ว่า…”

ใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมา น้ำเสียงก็กดต่ำลงไปด้วย “มี่เอ๋อร์อยากให้ผ่านการไว้ทุกข์ร้อยวันของท่านป้าไปก่อน ค่อยร่วมห้องกับเขา…”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อโล่งใจเสียยกใหญ่ นี่เป็นทางที่พอปรึกษาหารือกันได้ เจวี๋ยเอ๋อร์ไม่ใช่คนมักมากในกาม ไม่อาจทำให้นางลำบากใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน

“แล้วก็…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออย่างระมัดระวัง ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ถึงความกระวนกระวายใจของนาง “หลังจากแต่งงาน หากไม่ออกจากห้อง มี่เอ๋อร์ก็จะสวมชุดสีเรียบง่าย…มี่เอ๋อร์รู้กฎดี จะสวมเพียงชุดสีเหลืองอ่อนเขียวอ่อนเจ้าค่ะ ไม่สวมชุดสีขาวแน่นอน!”

เด็กน้อยที่น่าสงสาร! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดีไปหมด กล่าวอย่างไม่ลังเล “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา!”

“ขอบคุณฮูหยินเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างตื้นตันใจ “เพียงแต่ มี่เอ๋อร์อยากให้ฮูหยินรับปากมี่เอ๋อร์วันหลังเจ้าค่ะมี่เอ๋อร์ไม่อยากให้ฮูหยินรับปากเพราะสงสารมี่เอ๋อร์ เห็นมี่เอ๋อร์คุกเข่า ทั้งยังร้องไห้จึงใจอ่อน เรื่องนี้ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเล็ก หลังจากฮูหยินตรึกตรองแล้ว ค่อยให้คำตอบมี่เอ๋อร์ก็ไม่สายเจ้าค่ะ”

ช่างเป็นเด็กที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่นเสียจริง! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ปรากฏความหน่ายแหนงใจแม้แต่น้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเช่นนี้ออกมานับว่าเหนือความคาดหมายของนาง ลูกสะใภ้ที่โดดเด่นถึงเพียงนี้ทำให้นางรู้สึกพอใจจริงๆ!

นางรู้ได้อย่างไรกัน นั่นก็เพราะเยี่ยนมี่อ๋อร์ได้ครุ่นคิดมาเช่นกัน…ฉวยโอกาสยามที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อใจอ่อนรับปากเรื่องนี้นับเป็นเรื่องดี นางสามารถทำให้หวงฝู่เยวี่ยไม่เกิดความไม่พอใจในภายหลังได้ แต่เบื้องหลังหวงฝู่เยวี่ยเอ้อยังมีชายหนุ่มของตระกูลซั่งกวนอีกสองคน

ไม่รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยเป็นคนอย่างไร จะมีความรู้สึกอันใดกับนางเพราะเหตุนี้หรือไม่ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้มากนัก แต่ซั่งกวนฮ่าวเล่า? รับช่วงต่อตระกูลซั่งกวนมาเกือบสิบปี สิบปีมานี้ไม่เห็นตระกูลมีการพัฒนาอันใด แต่ก็ไม่มีการตัดสินใจที่ทำให้ตระกูลซั่งกวนเกิดความเสียหายเช่นกัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์เติบโตภายใต้การกล่อมเกลาของมารดาและโม่อวี๋ฮวน นางรู้ดีว่าตระกูลขุนนางเก่าแก่อย่างตระกูลซั่งกวน เพื่อที่จะพัฒนาตระกูลแล้ว สิ่งที่ต้องการนั้นไม่ใช่ความฉลาดหลักแหลมของผู้นำตระกูล แต่ต้องการโอกาสพลิกเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ต่างหาก ตัวอย่างเช่น มีการปรากฏตัวนิกายที่ชั่วร้ายขึ้นมา หลังจากนั้นก็ให้พวกเขาใช้ความชอบธรรมในการ ‘สยบปีศาจกำจัดมาร’ เพื่อขยายอำนาจของตัวเอง ทั้งนี้ก็ปลอมเป็น ‘ภูตฝีปีศาจ’ เพื่อโจมตีตระกูลอื่นๆ ยกตัวอย่างอื่นอีกอย่างหนึ่ง จู่ๆ ก็ปรากฏสมบัติที่ล้ำค่าขึ้นมา เป็นพวกคัมภีร์วรยุทธ์ลับทำนองนั้น อาศัยยามที่คลื่นลมพัดโหมกระหน่ำ คอยผสมโรงตามเรื่องตามราวไป จากนั้นก็กลืนกินตระกูลเล็กๆ ที่กำลังจะโผล่หน้าขึ้นมาหรือได้เปิดหน้าเปิดตามาบ้างแล้ว แต่หากไม่มีโอกาสอย่างนั้น ก็ทำได้เพียงรับผิดชอบเป็นผู้นำตระกูลไป

ซั่งกวนฮ่าวเป็นคนที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ก่อนที่จะรับช่วงต่อของตระกูล เขามีโอกาสได้ทำลายสำนักสวรรค์ศักดิ์สิทธ์ ทำให้เขาได้โดดเด่นเฉิดฉายในยุทธภพตามมา และก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือบิดาแผ่ขยายหนวดของตระกูลซั่งกวนให้ยื่นยาวออกไป ทำให้อำนาจของตระกูลซั่งกวนได้ขยายและแพร่กระจาย หลังจากรับช่วงต่อเป็นผู้นำตระกูล เขาก็ได้เปลี่ยนหนวดที่ยื่นยาวออกไปพวกนั้นเป็นแขนขาแทน ให้อำนาจของตระกูลซั่งกวนได้ตั้งมั่นไม่สั่นคลอน นี่แสดงให้เห็นถึงอะไร! แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นการบุกเบิกหรือการสืบทอดตระกูล ซั่งกวนฮ่าวนับว่าเป็นบุคคลที่เยี่ยมยอดโดยแท้ และบุคคลเช่นนี้บางทีเมื่ออยู่ในเรือนก็จะเกิดปัญหาใจอ่อน บางทีก็อาจจะถูกปิดหูปิดตาไปบ้าง แต่สุดท้ายแน่นอนว่าเขาย่อมกระจ่างทุกอย่างแก่ใจดี

ดังนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่อาจเล่นลูกไม้ตรงๆ ต่อหน้าเขา หรือต่อหน้าคนที่ใกล้ชิดที่สุดกับเขาได้(หากจะเล่นลูกไม้ก็ต้องเล่นลับหลัง)ยิ่งไม่อาจวางแผนกับเขา หรือคนสำคัญของเขาตรงๆ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับวิ่งเข้าไปหาความตาย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนั้น นางมีเพียงแค่ลูกไม้เล็กๆ ของหญิงสาวก็เท่านั้น แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวรู้เข้าก็ไม่อาจจริงจังไล่บี้กับลูกไม้เล็กๆ พวกนั้นหรอก

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อดึงตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์ขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ อาศัยแรงนางหยัดกายขึ้นตาม ระหว่างทั้งสองคนคล้ายกับจะสนิทสนมขึ้นมาบ้างแล้ว

“มี่เอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าหวังจะให้เจ้าได้รู้ไว้!” เดิมทีหวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้คิดที่จะพูดเรื่องนี้ แต่ยามนี้นางชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์จริงๆ จึงตัดสินที่จะบอกล่วงหน้าเสียหน่อย ให้เด็กที่นางชอบใจคนนี้ได้เตรียมใจไว้บ้าง

“ฮูหยินพูดมาเลยเจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงรักษาความนอบน้อมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

“ไม่ว่าตระกูลใดก็ล้วนมีธรรมเนียมที่แตกต่างกันไปอยู่บ้าง ตระกูลซั่งกวนก็เช่นกัน! หลังจากงานแต่งงาน ตระกูลซั่งกวนจะไม่ให้เจ้าสาวไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชนของตระกูลอย่างทันที แต่จะเป็นสามีที่เลือกวันหลังจากแต่งงานพาภรรยาไปยังศาลบรรพชนของตระกูล ระยะเวลานั้นนับว่าเป็นเรื่องที่พิถีพิถัน ยิ่งเลื่อนเวลาออกไป ก็ยิ่งแสดงตำแหน่งเจ้าสาวในใจของสามีได้มากเท่านั้น ระยะเวลามีอยู่สิบวัน วันที่สอง ห้า สิบ สิบเจ็ด ยี่สิบหก สามสิบเจ็ด ห้าสิบ หกสิบห้า แปดสิบสอง และหนึ่งร้อยหนึ่ง ในประวัติของตระกูลซั่งกวนมีเพียงภรรยาเอกคนเดียวที่ไปกราบไหว้บรรพบุรุษวันที่สอง นั่นก็คือลูกสาวของขุนนางใหญ่ในราชสำนักที่ถูกบังคับให้แต่งกับตระกูลซั่งกวนในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด นางเข้าตระกูลมาหนึ่งปีก็ตายโดยไร้สาเหตุ ความรู้สึกของฮูหยินใหญ่และพ่อสามีในปีนั้นก็ธรรมดา งานแต่งงานของทั้งสองคนล้วนเป็นคำสั่งของพ่อแม่ มากไปกว่านั้นยังเป็นฮูหยินใหญ่ที่รักเขาข้างเดียว และนางก็ไปกราบไหว้บรรพบุรุษวันที่ห้าสิบ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมองแววตาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ทั้งตระกูลซั่งกวนมีเพียงบรรพบุรุษเพียงคนเดียวที่ไปกราบไหว้วันที่หนึ่งร้อยหนึ่ง ผู้นำตระกูลในตอนนั้นก็ไม่ได้รับอนุภรรยาจนชั่วชีวิต ไม่ว่าจะมีเรื่องใดก็ปรึกษากันทั้งสามีและภรรยา”

เช่นนั้นก็ต้องพูดว่า ต้องดูจากความชอบของแต่ละคนล่ะสิ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะค่อยๆ คลายลง นางมั่นใจ แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะเพื่อเห็นแก่หน้าของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็คงไม่ให้ตัวเองไปศาลบรรพชนของตระกูลวันที่ยี่สิบหกหรือก่อนหน้านั้นหรอกกระมัง นอกจากนี้ยังต้องดูการจัดการของนางด้วย

“ฮูหยิน ท่านไปวันไหนหรือเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกลับเป็นเด็กสาวตัวน้อยก็มิปาน แม้ว่าจะสับสนและว้าวุ่นใจกับอนาคตของตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะพูดเรื่องซุบซิบ

“ข้าหรือ…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดถึงยามนั้นก็ยังคงรู้สึกหวานซึ้ง “ข้าไปวันที่หกสิบห้า…” ดูท่าแล้ว ซั่งกวนฮ่าวก็นับว่าชมชอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิด เช่นนั้นแล้วหากต้องการจะยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่ในตระกูลซั่งกวน ก็จำเป็นที่ต้องเอาใจใส่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อให้ดีแล้ว…

—————————————————–