บทที่ 65: การตัดสินใจของทูตสวรรค์

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 65: การตัดสินใจของทูตสวรรค์

ปีเตอร์ เคเตอร์นั้นกำลังอารมณ์เสียสุด ๆ

ให้ตายสิ ดวงซวยเหลือเกิน

ชายร่างสูงจากสมาคมนักปราชญ์คนนั้นส่งปีเตอร์เข้ามาด้านในได้จริง ๆ และเขาก็รู้ล่วงหน้าว่าภารกิจนี้ไม่ต่างอะไรไปจากการจับสลาก

ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับปีเตอร์ก็คือการที่โรเอล แอสคาร์ดอยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว เพราะนั่นจะทำให้เขาสามารถจัดการงานให้เสร็จเรียบร้อยและถอยกลับออกมาได้โดยเร็วที่สุด

รองลงมาก็คือการที่โรเอลอยู่กับองครักษ์ทั่ว ๆ ไปสักคน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หากองครักษ์คนนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ ปีเตอร์ก็จะยังคงสามารถปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างรวดเร็ว

แต่กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คือการที่โรเอล แอสคาร์ดอยู่ด้วยกันกับนอร่า เซไซต์ คนจากตระกูลเซไซต์ ผู้ครอบครองสายเลือดแห่งทูตสวรรค์ไม่ใช่อะไรที่เขาจะสามารถจัดการลงได้ง่าย ๆ

‘อย่าเล่นอุบายกับตระกูลเซไซต์’ นี่เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไปในหมู่สมาชิกลัทธิชั่วร้ายทั้งหมดในทวีปเซีย

เมื่อหลายศตวรรษที่แล้ว ลัทธินอกรีตที่มีอำนาจสูงสุดในสมัยนั้นเคยได้ท้าทายตระกูลเซไซต์มาก่อน พวกเขาลอบสังหารหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเซไซต์ ผลของการกระทำนั้น ทำให้ทางตระกูลเซไซต์ตามล่าพวกเขาอย่างไม่ลดละโดยไม่คำนึงถึงค่าใช้จ่ายอย่างยาวนานถึงสี่สิบปี

เวลากว่าสี่สิบปีนั้น ลัทธินอกรีตดังกล่าวได้เดินทางหลบหนีข้ามผ่านอาณาจักรต่าง ๆ ทั้งหมด แม้แต่ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันห่างไกล แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปไกลแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจซ่อนตัวจากสายตาของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างได้ ราวกับว่ามีดาบลอยอยู่เหนือหัวของพวกเขาตลอดเวลา พร้อมที่จะสะบั้นคอให้หลุดออกจากบ่าในทันทีที่พวกเขาคิดจะหยุดพัก

หลังจากนั้นกลุ่มลัทธินอกรีตที่ครั้งหนึ่งเคยโอ้อวดว่าพรรคพวกตนเองเต็มไปด้วยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกว่า 10,000 คน ก็ได้ถูกตามล่าสังหารหมู่ไปเรื่อย ๆ ตลอดระยะเวลาสี่สิบปี นี่ถือเป็นคำเตือนของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างต่อลัทธินอกรีตและกองกำลังศัตรูที่หมายปองจะท้าทายพวกเขา

ถ้าต้องการจะต่อสู้ตรง ๆ ก็เข้ามาได้เลย หากพวกเราแพ้ พวกเราก็จะยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี ทว่าถ้าคิดจะใช้วิธีสกปรกอย่างการลอบสังหารหรือคุกคามเชื้อสายของพวกเราล่ะก็ พวกเราก็พร้อมที่จะใช้พลังและทรัพยากรทั้งหมดของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เพื่อตามล่าสังหารพวกเจ้า หากคิดอยากจะหนีไปที่ไหนก็ตามใจ แต่พวกเจ้าจะไม่มีวันได้เป็นอิสระ

โชคดีที่เป้าหมายของปีเตอร์ในวันนี้ไม่ใช่นอร่า ดังนั้นชะตากรรมของเขาไม่มีทางจบลงอย่างน่าสลดใจเหมือนกับลัทธินอกรีตในอดีตพวกนั้นแน่ ตามคำสั่งที่ปีเตอร์ได้รับมาจากหัวหน้า เขาเพียงแค่ต้องหาทางหยุดนอร่าเอาไว้ชั่วคราว เพื่อที่เขาจะได้สังหารโรเอล แอสคาร์ดแล้วหนีออกไป

ทว่าในทางปฏิบัติแล้วแผนนี้มันไม่ได้ง่ายเลย

ประการแรก การที่จะหยุดนอร่าไว้โดยไม่เผลอพลั้งมือทำร้ายเธอนั้นยากมาก อีกทั้งหากปีเตอร์ทำร้ายเธอเข้าจริง ๆ ตระกูลเซไซต์ อาจจะมีวิธีแปลก ๆ บางอย่างที่ใช้คอยติดตามหาตัวเขา แม้ว่าปีเตอร์จะหลบหนีออกไปได้ในตอนนี้ แล้วในอนาคตล่ะ? เขาจะต้องใช้ชีวิตหนีไปทั่วโลกในฐานะผู้ลี้ภัยตอนที่นอร่าได้รับสืบทอดอำนาจงั้นเหรอ?

ปีเตอร์ไม่ใช่คนโง่ เขาคิดอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของการกระทำ แม้ว่าเขาจะเต็มใจทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่นั่นก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าความเสี่ยงและผลตอบแทนจะสมเหตุสมผลกัน

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ปีเตอร์ก็มองไปยังเด็ก ๆ ทั้งสองคนตรงหน้าเขา ทั้งคู่ยังคงตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยกะทันหัน ซึ่งแผนการก็ได้ปรากฏขึ้นในใจของปีเตอร์ เขาจะต้องจัดการเงื่อนไขเพื่อความอยู่รอดของตนเอง

“สวัสดีสหายตัวน้อยทั้งสอง ขอโทษที่ข้าเข้ามารบกวนโดยกะทันหัน ข้าคือสาวกของวิหารแห่งมิธริล มาที่นี่เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเพื่อมารับชีวิตของพวกเจ้าไป”

“ขณะนี้พวกเจ้าทั้งคู่กำลังอยู่ในพื้นที่พิเศษของข้า มันถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจากสายเลือด ซึ่งเป็นพื้นที่มิติพิเศษที่ถูกแยกออกจากโลก ในที่แห่งนี้อุปกรณ์เวทมนตร์ทั้งหมดจะถูกทำให้ไร้ผลใด ๆ และมีทางเดียวเท่านั้นที่พวกเจ้าจะหลบหนีออกจากที่นี่ไปได้ก็คือพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งต้องตาย”

“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าเป็นใคร แต่จะต้องมีพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งตายลงที่นี่ ดังนั้นข้าจึงอยากจะยื่นข้อเสนอให้กับพวกเจ้า ทำไมพวกเจ้าทั้งสองคนไม่ต่อสู้กันเองเพื่อตัดสินใจเลือกผู้รอดชีวิตล่ะ?”

ปีเตอร์ เคเตอร์พูดด้วยรอยยิ้มอันเจิดจ้าบนใบหน้า ชวนให้นึกถึงปีศาจที่กำลังล่อลวงมนุษย์ให้ทำบาป เขาเปลี่ยนหลักการความเป็นจริงสำหรับเด็กทั้งสองคนนี้ ผ่านการโกหกที่ถักทอออกมาจากคำพูด

“ข้าขอรับรองเลยว่าจะฆ่าเฉพาะคนที่แพ้การดวล และจะไม่แตะต้องแม้แต่ผมสักเส้นเดียวบนหัวของผู้ชนะ”

ปีเตอร์อธิบายกฎของพื้นที่มิตินี้ให้เด็กสองคนฟังอย่างใจเย็น พร้อมให้เหตุผลว่าเขาเองก็ไม่ต้องการมาที่นี่เช่นกัน แต่ถูกบังคับให้เคลื่อนไหวโดยผู้บังคับบัญชาของวิหารแห่งมิธริล และด้วยความเมตตากรุณาของปีเตอร์ เขาจะยอมปล่อยให้หนึ่งในทั้งสองคนหนีออกไปได้

นอกจากนี้ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มีใบหน้าซีดเซียวยังแสดงให้เห็นว่า เขาลำบากใจมากที่จะต้องเลือกระหว่างชีวิตอันมีค่าของทั้งสอง อีกทั้งเพื่อความเป็นธรรม ปีเตอร์ยังได้มอบการตัดสินใจให้กับทั้งคู่ นั่นก็คือเสนอการดวลให้กับพวกเขา

หลังจากพูดจบแล้ว ปีเตอร์ เคเตอร์ก็ยืนสงบนิ่งอยู่ข้าง ๆ พวกเขา มองดูทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจราวกับว่าได้ทำสิ่งที่มีเกียรติลงไป ภาพอันบิดเบี้ยวที่ถูกแขวนอยู่ภายในห้องเองก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมาพร้อมแผดเสียงหัวเราะเยาะถากถางดั่งปีศาจจากขุมนรกดังก้องกังวานไปทั่วห้อง

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าของเด็ก ๆ ทั้งสองก็ซีดเผือด

ใช่แล้ว ต้องแบบนี้สิ

ปีเตอร์ เคเตอร์จ้องมองไปทางเด็ก ๆ ผู้กำลังหวาดกลัวจนตัวแข็งทื่ออยู่เบื้องหน้าเขาพลางนึกเยาะเย้ยอยู่ในใจ

ชายผมดำเชื่อว่าความโลภนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แม้ว่าการอบรมเลี้ยงดูและการศึกษาที่ดีจะลบล้างนิสัยบางอย่างออกไปได้ แต่มันก็อาจทำให้นิสัยเบื้องลึกบางอย่างรุนแรงขึ้นเช่นกัน

ตัวแปรหลักที่ปีเตอร์ใช้ก็คือความกลัว มนุษย์มักจะสูญเสียวิจารณญาณและความมีเหตุผลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกลัว มันจะทำให้พวกเขาคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลักและเห็นแก่ตัวมากขึ้น

ในสถานการณ์นี้ การดวลที่ปีเตอร์เสนอขึ้นมานั้นได้ทำให้เขากลายเป็นผู้มีอำนาจที่ใช้ประโยชน์ข้อตกลงนี้ และเด็ก ๆ ทั้งสองก็ไม่ต่างอะไรไปจากเหยื่อ

ภายในพื้นที่มิติที่ปีเตอร์สร้างขึ้นนั้น สถานะตำแหน่งทางสังคมใด ๆ ล้วนไร้ซึ่งความหมาย แม้แต่องครักษ์ผู้ถ่อมตนก็ยังสามารถลงมือสังหารขุนนางที่ตนเองรับใช้ได้ เพื่อแลกกับโอกาสในการเอาชีวิตรอด นับประสาอะไรกับองค์หญิงแห่งตระกูลเซไซต์ผู้น่านับถือ

ด้วยความแข็งแกร่งอันเหนือกว่าของนอร่า เซไซต์ เธอสามารถฆ่าโรเอลแทนเขาได้สบาย ๆ

ระหว่างที่ปีเตอร์กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ เด็ก ๆ ทั้งสองก็เข้าใจข้อมูลทั้งหมดที่อีกฝ่ายอธิบายจนครบถ้วน

โรเอลจับจี้ที่ตนได้รับจากคาร์เตอร์แล้วลองใส่พลังเวทเข้าไป แต่มันกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ เขาได้แต่ต้องอดทนกับอาการปวดหัว แล้วหันไปมองทางนอร่าเพื่อดูว่าเธอสามารถใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ของตัวเองได้รึเปล่า

ดูเหมือนว่าคำพูดของปีเตอร์นั้นจะเป็นความจริง โรเอลไม่อยากเชื่อเลยว่าสถานการณ์ที่พวกเขาเจออยู่ในตอนนี้เป็นเรื่องจริง เด็กชายไม่เข้าใจเลยว่าชายคนนี้สามารถหลบเลี่ยงองครักษ์ทั้งหมดมาหาพวกเขาได้อย่างไร รวมถึงความจริงที่ว่าห้องพิเศษนี้มีพลังแบบไหนกัน

โรเอลไม่รู้เลยว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับการร่วมมือกันระหว่างสองลัทธินอกรีตที่มีอิทธิพลที่เคยมีประสบการณ์ลอบสังหารขุนนาง ผู้มีอำนาจหรือแม้แต่กษัตริย์ เขาไม่รู้เลยว่าทำไมตนเองถึงถูกลัทธิวิหารแห่งมิธริลจับตามอง

ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่โรเอลรู้ดี

จะฆ่าแค่ผู้แพ้เท่านั้นเหรอ? หึ ไร้สาระน่า!

ทันทีที่เห็นแสงสีแดงเข้มเหนือศีรษะของปีเตอร์ โรเอลก็รู้ได้ทันที่ว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อถือได้ นั่นก็เพราะโรเอลได้ร่ายคาถาภัยพิบัติแห่งการนองเลือดที่เขาซื้อมาจากร้านค้าเหรียญทองเอาไว้แล้ว มันมีความสามารถช่วยให้เขาสามารถแยกแยะได้ว่าใครกำลังคิดจะฆ่าเขา

ที่ทำให้โรเอลประหลาดที่สุดเกี่ยวกับคาถานี้ก็คือจริง ๆ แล้วมันยังมีการแบ่งประเภทจำแนกตามความเข้มของสีอีกด้วย

สีแดงอ่อนหมายถึง ‘ศัตรูได้เปิดเผยเจตนาฆ่าของเขาออกมาแล้ว แต่ผู้ใช้ไม่ใช่เป้าหมายหลัก’

สีแดงปกติหมายถึง ‘ศัตรูกำลังมุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้’

สีแดงเข้มหมายถึง ‘ศัตรูมีเจตนาฆ่าเต็มเปี่ยม และผู้ใช้กำลังตกเป็นเป้าหมายหลัก’

ปัจจุบันสีนั้นเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งหมายความว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะฆ่าโรเอลโดยเฉพาะ!

สิ่งนี้ทำให้โรเอลกังวลใจอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในใจเขา

นอร่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรอกหรือ? แล้วทำไมศัตรูถึงได้ยื่นข้อเสนอแบบนี้ออกมากันล่ะ?

โรเอลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในท้ายที่สุดเด็กชายก็ทำได้เพียงให้เหตุผลว่าอีกฝ่ายยังไม่เต็มใจที่จะลงมือด้วยตัวเองเพราะเหตุผลบางอย่าง ทว่าข้อเสนอที่ปีเตอร์เสนอมานั้นก็ยังถือว่าเลวทรามอยู่ดี

‘อย่าทดสอบความเป็นมนุษย์ของบุคคล’ นี่เป็นคำพูดที่โรเอลเคยได้ยินอยู่บ่อยครั้งในชาติก่อน​ มนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูสูงศักดิ์ แต่ก็ต่ำทรามได้เช่นกัน ลักษณะของมนุษย์นั้นไม่คงที่ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์

โรเอลมองไปรอบ ๆ ห้องอันน่าขนลุกที่เต็มไปด้วยรูปคนเต้นรำอย่างบิดเบี้ยวนี้ ใบหน้าที่มีรูโหว่เจ็ดรูตรง ตา รูจมูก หู และปาก ทำให้โรเอลสุดจะทนกับความรู้สึกสะอิดสะเอียนน่ารังเกียจที่นี่

แม้ว่านอร่าจะเป็นคนดี แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็ก เธอจะสามารถคิดอย่างมีเหตุผลภายใต้สถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้งั้นเหรอ? ยิ่งในสถานการณ์ที่ชีวิตของเธอกำลังถูกคนอื่นคุกคามแบบนี้?

โรเอลไม่รู้คำตอบสำหรับคำถามนี้ เขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองนอร่า สบตากับดวงตาสีไพลินของเด็กสาว ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งคู่ โรเอลพยายามที่จะอ่านความคิดของนอร่า แต่เขาไม่สามารถประเมินอะไรจากใบหน้าอันเฉยเมยของเธอได้เลย

ทันใดนั้นเองนอร่าก็กระโจนเข้ามาหาเขา

“เฮ้! จะทำอะไรน่ะ…”

สถานการณ์อันพลิกผันอย่างกะทันหันนี้ ทำให้โรเอลอุทานด้วยความตื่นตระหนก แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมาจนจบประโยค นอร่าก็หยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ทำให้เด็กชายเอื้อมมือไปหาดาบสั้นเอสเซนด์วิงที่เอว ทว่าการกระทำขององค์หญิงกลับแตกต่างไปจากที่โรเอลคาดเอาไว้มาก

นอร่าเอื้อมมือไปจับมือโรเอลก่อนจะดึงเขาไปหลบข้างหลังเธอ ดวงตาอันเฉยเมยได้เผยความรู้สึกออกมาในที่สุด เด็กสาวมองไปที่นักฆ่าด้วยท่าทีพร้อมรบศีรษะกลมทุยเงยขึ้นอย่างสง่างาม

“เจ้าต้องการให้พวกข้าต่อสู้กันเองอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ”