ตอนที่ 58 รูปสัญลักษณ์ที่คุ้นเคย!

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ยามรุ่งอรุณ ตรงหน้าประตูหลักของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมีเจ้าหน้าที่รวมกลุ่มจอแจกัน โฮเวอร์คาร์นับไม่ถ้วนบินพุ่งอยู่ในท้องฟ้า ถ้าไม่ใช่เพราะรัฐบาลท้องถิ่นส่งตำรวจมารักษาลำดับไว้ละก็ เกรงว่าท้องฟ้าผืนนี้คงจะเกิดอุบัติเหตุโฮเวอร์คาร์ชนกันหรือว่ารถติด…

ช่วยไม่ได้ รถเยอะเกินไปจริงๆ ทุกปีต่างมีนักเรียนเกือบจะหนึ่งหมื่นคนเข้ามาเรียนในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือแห่งนี้ กฎที่หนึ่งอาทิตย์ให้กลับบ้านแค่ในวันหยุดเท่านั้นทำให้พวกพ่อแม่ของเด็กๆ รวมตัวกันออกมา นี่ก็เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้โฮเวอร์คาร์บินไม่เป็นระเบียบ

ถึงอย่างไรก็มีเพียงนักเรียนหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดที่เข้าห้องพิเศษเท่านั้นถึงจะมีสิทธิเรียนแบบไปกลับ เลือกวิชาได้อย่างอิสระ ส่วนนักเรียนคนอื่นๆ ก็ได้แต่ยอมรับการจัดการของทางโรงเรียน ทำการเรียนในรูปแบบปิดที่ให้สิทธิกลับบ้านแค่ในวันหยุดต่ออาทิตย์เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กพวกนี้จะไม่มีโอกาสในการเปลี่ยนแปลงโชคชะตา ทุกปีจะมีโอกาสสองครั้งในการเข้าไปเรียนในห้องพิเศษ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือจะทำการจัดอันดับทั้งโรงเรียนทุกๆ ครึ่งปีเพื่อกระตุ้นให้พวกเด็กๆ ตระหนักถึงการแข่งขัน ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะเป็นเด็กห้องพิเศษ ห้องดีเด่น หรือว่าห้องทั่วไปต่างก็เสมอภาคกัน มีเพียงเด็กหนึ่งร้อยอันดับแรกเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่ห้องพิเศษในครึ่งปีให้หลังได้

แน่นอนว่าเด็กที่อยู่ในห้องดีเด่นกับห้องทั่วไปอยากจะสอบเข้าไปในหนึ่งร้อยอันดับแรก เข้าไปเรียนในห้องพิเศษ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไม่มีคนทำสำเร็จ ทว่ามันก็มีน้อยมากๆ หายากสุดขีด การอบรมสั่งสอนรวมไปถึงทรัพยากรที่เด็กห้องพิเศษได้รับจะเหนือกว่าห้องทั่วไปมากนักตั้งแต่เริ่มแรก เวลาครึ่งปีเพียงพอที่ให้พวกเขาทิ้งระยะห่างกับเด็กห้องอื่น

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ก็นับว่าเป็นกลไกความยุติธรรมอย่างหนึ่ง เป็นโอกาสที่ปลาหลีจะกระโดดผ่านประตูมังกร[1] ที่ทางโรงเรียนมอบให้กับเด็กห้องยอดเยี่ยมและห้องทั่วไป ดูว่าพวกเขาจะคว้าโอกาสไว้ได้หรือไม่

ลานจัตุรัสแห่งหนึ่งของสถาบันลูกเสือ ฉีหลง หานจี้จวิน หานซู่หย่าที่เป็นญาติผู้น้อง รวมไปถึงลั่วล่างกับลั่วเฉาฝาแฝดชายหญิง ทั้งห้าคนกำลังรวมกลุ่มกันเงยหน้ามองไปบนฟ้าราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง

พวกเขามาถึงสถาบันลูกเสือตอนเช้าตรู่ นับตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองเข้าห้องพิเศษ พวกเขาก็ตื่นเต้นอย่างมาก เฝ้ารอให้วันเปิดเรียนมาถึง

ไม่ผิด ผลคะแนนสุดท้ายออกมา พวกเขาทั้งห้าคนได้เข้าห้องพิเศษ ฉีหลง หานจี้จวิน ลั่วล่างต่างเข้าห้องสเปเชียลเอ ส่วนเด็กหญิงทั้งสองคนก็เข้าสู่ห้องสเปเชียลบีได้อย่างราบรื่นเช่นกัน นี่ทำให้เด็กหญิงทั้งสองดีใจแทบบ้า ตอนแรกพวกผู้ใหญ่ต่างไม่คาดหวังอะไรกับพวกเธอ คิดว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่พวกเธอจะเข้าห้องยอดเยี่ยม หลังจากที่ผลคะแนนออกมาก็ทำให้เด็กหญิงทั้งสองคนภาคภูมิใจอย่างมาก

ไม่เพียงแค่นั้น หลัวเส่าอวิ๋นกับหยวนโหยวอวิ๋นสองคนที่ทำการสอบกลุ่มเดียวกับพวกเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในร้อยอันดับแรกเช่นกัน กลายเป็นสมาชิกห้องสเปเชียลบี ถึงแม้ว่าสองคนสุดท้ายที่อยู่กลุ่มเดียวกันจะด้อยกว่าพวกเขาเล็กน้อย แต่ก็เข้าสู่ห้องยอดเยี่ยมได้อย่างราบรื่นเช่นกัน นี่ก็เป็นห้องที่ดีที่สุดซึ่งอยู่ถัดจากห้องพิเศษ

ในใจหานซู่หย่ากับลั่วเฉารู้ดีว่าสามารถสอบได้ผลคะแนนที่ดีขนาดนี้ต้องขอบคุณลูกพี่หลิงหลาน (พวกพี่ชายต่างยอมรับเป็นลูกพี่แล้ว พวกเธอย่อมต้องทำตามแน่นอน) แต่พวกเธอก็รู้เหมือนกันว่า ต่อไปต้องอาศัยความพยายามของตัวเองแล้ว พวกเธอไม่อยากเป็นนักเรียนคนแรกที่ตกจากห้องพิเศษ

“ฉีหลง ยังหาโฮเวอร์คาร์ของลูกพี่ไม่เจออีกเหรอ” สาวน้อยร่างอวบหานซู่หย่าเอ่ยถามฉีหลงด้วยความไม่เกรงใจอย่างยิ่ง

หานจี้จวินได้ยินก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบน้ำเสียงที่ญาติผู้น้องของตัวเองสั่งฉีหลง จะขาดความบันยะบันยังเพราะความสนิทสนมไม่ได้ นิสัยแบบนี้จะทำให้ญาติผู้น้องล่วงเกินคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัวได้ง่ายๆ

ฉีหลงไม่ตอบ ไม่ใช่เพราะโกรธอะไร หากแต่ไม่มีเวลามาสนใจหานซู่หย่า เขาเบิกตามองท้องฟ้า น่าเสียดายที่ยังไม่เห็นตัวต้นเหตุมาเลย

หานซู่หย่าเห็นฉีหลงไม่สนใจเธอก็โมโหเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดจะพูดออกมาเธอก็เห็นญาติผู้พี่ของตัวเองจ้องมองเข้ามา เธอได้แต่เงียบเสียงด้วยความขุ่นเคือง ใครให้พ่อแม่ของเธอสั่งให้เธอเชื่อฟังหานจี้จวินทุกอย่างล่ะ

ในที่สุดฉีหลงก็ทนไม่ไหว เขาเก็บสายตากลับมา ขยี้ดวงตาที่เจ็บปวด และกล่าวด้วยความจนปัญญาว่า “ไม่เห็นโฮเวอร์คาร์ที่ลูกพี่นั่งก่อนหน้านี้เลย…”

ลั่วล่างยิ้มหยัน “ยอมรับคนเป็นลูกพี่ แต่ลืมขอเบอร์ติดต่อเนี่ยนะ ฉันล่ะยอมนายจริงๆ”

ที่แท้ตอนนั้นฉีหลงดีใจมากเกินไป จนลืมแลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกับหลิงหลานซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ตอนนี้ก็ทำได้แค่พึ่งพาสายตาค้นหาโฮเวอร์คาร์ที่หลิงหลานนั่งท่ามกลางโฮเวอร์คาร์มากมายนับไม่ถ้วน

ฉีหลงปรายตามองไปที่ลั่วล่างแวบหนึ่งและเอ่ยโจมตีกลับว่า “นายเองก็ลืมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” พวกเขาสองคนไม่ว่าใครต่างก็ไม่แตกต่างกัน

“นาย…” ลั่วล่างถูกฉีหลงโจมตีใส่จุดเจ็บปวดก็อับอายจนโกรธ

หานจี้จวินนวดหว่างคิ้วของตัวเองด้วยความปวดหัว เขาเอ่ยปากโน้มน้าวว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนต่างกับยอมรับลูกพี่คนเดียวกันแล้ว พวกเราก็ถือว่าอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ต้องสามัคคีกันหน่อย จะได้ไม่ทำให้ลูกพี่หลานลำบากใจ”

บางทีประโยคที่ว่าจะได้ไม่ทำให้ลูกพี่หลานลำบากใจของหานจี้จวินนั้น อาจจะทำให้สองคนนี้เก็บอาการของตัวเองลงเล็กน้อย แต่ทั้งสองฝ่ายยังคงแค่นเสียงเย็น และหันหน้าหนีไม่สนใจอีกฝ่าย

หานจี้จวินยิ้มขื่น สองคนนี้จัดการยากเสียจริง ดูท่าต้องรอให้ลูกพี่หลิงหลานมาถึงค่อยจัดการปัญหาการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างพวกเขาได้ เอาเถอะ เวลานี้หานจี้จวินที่ดูแลฉีหลงมาตลอดก็เรียนรู้ที่จะผลักภาระ ทิ้งคนที่จัดการยากสองคนนี้ไปให้หลิงหลานรับผิดชอบแล้ว

ในเวลานี้เอง จู่ๆ สถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็ส่งเสียงแจ้งเตือนฉุกเฉินขึ้นมาฉับพลัน เสียงดังก้องสะท้านฟ้า!

เสียงแจ้งเตือนนี้บอกทุกคนว่า รอบๆ บริเวณสถาบันศูนย์กลางลูกเสือมีกองกำลังติดอาวุธบุกรุกเข้ามาแล้ว

สวรรค์ มีคนกล้าลอบโจมตีสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของโดฮาด้วยเหรอ พวกเขาไม่รู้เลยหรือไงว่าที่นี่มีหน่วยหุ่นรบของกองทัพประจำการอยู่

ยังไม่ทันที่พวกฉีหลงกับลั่วล่างจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง บนท้องฟ้าสุดปลายสายตาของพวกเขามีหุ่นรบสีเทาเข้มตัวหนึ่งกำลังบินตรงมาที่นี่อย่างฉับไว ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามรวมไปถึงดาบเลเซอร์ขนาดใหญ่สองเล่มที่อยู่ด้านหลังทำให้คนที่พบมันเริ่มรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม การตอบรับของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก็รวดเร็วมากเช่นกัน หุ่นรบสีฟ้าขาวหกตัวบินออกมาประจัญหน้ากับหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้น

สาเหตุที่มันไม่ได้เปิดฉากยิงเป็นเพราะว่าสัญญาณที่ฝ่ายตรงข้ามส่งเข้ามาเป็นสัญญาณของทหารร่วมรบ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ

เด็กที่อยู่บนพื้นทุกคนเห็นฉากนี้ก็อ้าปากกว้างทำหน้าตกตะลึงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาบางคนไม่เคยเห็นหุ่นรบของสหพันธรัฐมาก่อน มากสุดก็เคยเห็นในรูปภาพ หรือว่าในการ์ตูนสามมิติ ถึงแม้ว่ามีบางคนเคยเห็นของจริงมาแล้ว แต่ก็ไม่เคยเห็นหุ่นรบกำลังประจัญหน้าต่อสู้อยู่บนท้องฟ้าจริงๆ มาก่อน

ทว่ามีบางอย่างเหมือนกัน นั่นก็คือดวงตาสองข้างของเด็กพวกนี้ส่องประกายสุกสว่างระยิบระยับขึ้นมา ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าพวกเขาต่างถูกหุ่นรบที่องอาจน่าเกรงขามดึงดูดจนหลงใหลไปแล้ว

แต่ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ไม่ได้อารมณ์ดีแบบพวกเด็กๆ เลย ถ้าหากหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นเป็นศัตรูขึ้นมาจริงๆ ละก็ พวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายมาก อานุภาพของหุ่นรบน่ากลัวจริงๆ ไม่เพียงอาวุธอันน่ากลัวที่หุ่นรบติดตั้งมา ตัวหุ่นรบเองก็น่าหวาดหวั่นพรั่งพรึงเช่นกัน การระเบิดตัวเองก่อนตายไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทานรับไหวแน่นอน บางทีอาจจะนำพาหายนะมาให้พวกเขา

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ต่อมาทำให้ทุกคนเบาใจ หุ่นรบหกตัวคล้ายกับทำการตกลงกับหุ่นรบสีเทาเข้ม หุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นอยู่ใต้การคุ้มกันของหุ่นรบหกตัวอย่างรวดเร็ว และร่อนลงมาในจุดที่กำหนด

เวลานี้เอง ฉีหลงก็พลันเอ่ยปากถามหานจี้จวินว่า “เสี่ยวจวิน รู้สึกว่าสัญลักษณ์ตรงหน้าอกหุ่นรบสีเทาเข้มตัวนั้นดูคุ้นมากๆ หรือเปล่า ดูเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”

ความจริงแล้วหานจี้จวินก็กำลังศึกษามันอยู่ เขาเองก็ก็มีความรู้สึกคุ้นเคยนี้เหมือนกัน เมื่อได้ยินคำถามของฉีหลงก็ผงกศีรษะเอ่ยว่า “ใช่ ไม่ผิดเลย ดูคุ้นมากจริงๆ พวกเราต้องเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน หรือว่าจะเป็นตระกูลที่พวกเรารู้จักดี?”

สีเทาเข้มคือหุ่นรบส่วนตัวที่ตระกูลสูงศักดิ์ครอบครอง บวกกับรูปสัญลักษณ์ซึ่งเป็นตราแทนตัวที่ตระกูลสูงศักดิ์ชอบใช้มากที่สุด หานจี้จวินคิดไปถึงด้านนี้โดยอัตโนมัติ

ลั่วล่างกลับไม่เห็นด้วยกับการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ของพวกเขาทั้งสอง ในสายตาของเขา นี่เป็นเพียงนกสีแดงธรรมดามากๆ เท่านั้น ตระกูลใหญ่น้อยในสหพันธรัฐมีอยู่มากมาย มีคนไม่น้อยที่ใช้รูปสัญลักษณ์ที่คล้ายกับแบบนี้ บางทีก่อนหน้านี้พวกเขาอาจจะเคยเห็นของที่คล้ายคลึงกับแบบนี้ที่ไหนมาก่อน ดังนั้นถึงได้รู้สึกคุ้นตา

หานจี้จวินกับฉีหลงครุ่นคิดอยู่นานก็คิดสาเหตุไม่ออก ตระกูลที่พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมไม่มีรูปสัญลักษณ์คล้ายคลึงกับแบบนี้แน่นอน เช่นนั้นพวกเขาเคยเห็นที่ไหนกันล่ะ

ลั่วเฉาที่อยู่ด้านหนึ่งกล่าวอย่างขัดเขินด้วยใบหน้าขึ้นสีว่า “บนโฮเวอร์คาร์ของลูกพี่หลิงหลานไงคะ ดูเหมือนรูปสัญลักษณ์นี้จะคล้ายกับที่ฉันเคยเห็นมาก”

“อ้า….” เด็กชายสามคนทำหน้าตกตะลึง คำพูดของลั่วเฉาเหนือความคาดหมายของพวกเขามากเกินไปแล้ว

หานจี้จวินยิ่งสับสน หรือว่าตอนนั้นเขากับฉีหลงเองก็มองเห็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจิตสำนึกหลักไม่ได้สนใจก็เลยไม่ได้จดจำ ทว่าจิตใต้สำนึกจดจำมันได้แล้ว ดังนั้นก็เลยรู้สึกคุ้นเคย?

ทว่าฉีหลงทิ้งความสงสัยที่อยู่ในใจไปทันทีเพราะคำพูดของลั่วเฉา ในเมื่อมีคำตอบแล้ว เขาก็ขี้เกียจเปลืองสมองไปคิด

ลั่วเฉาถูกชายสามคนซึ่งมีพี่ชายของเธออยู่ในนั้นทำให้ตกใจกลัว ก็รีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหานซู่หย่าราวกับกระต่ายตัวเล็กๆ ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว

“น้อง มาๆๆ บอกพี่หน่อยว่า เธอรู้ได้ยังไงว่าบนโฮเวอร์คาร์ของลูกพี่หลานมีรูปนี้อยู่” ลั่วล่างทำหน้าตื่นเต้นยินดี รีบเรียกน้องสาวของตัวเองออกมาสอบถามรายละเอียด

ลั่วเฉาเห็นสายตาของทุกคนเพ่งรวมกันมาที่ตัวเธอก็ยิ่งรู้สึกขวยอาย เธอกล่าวเสียงเบาว่า “ฉันอยากรู้เรื่องของลูกพี่หลานมากขึ้น ดังนั้นฉันก็เลยมองรถที่มารับเขาให้ละเอียด”

คำตอบอยู่ตรงนี้นี่เอง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายที่ตัวเองชอบ ผู้หญิงก็แทบอยากจะขุดสามฟุตเอาข้อมูลทั้งหมดของอีกฝ่ายมากุมไว้ในมือ ลั่วเฉาน้อยที่ขี้อายก็ไม่แพ้เด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ในเรื่องนี้

ในใจลั่วล่างรู้สึกปวดร้าว น้องสาวที่เติบโตมาด้วยกันถูกคนแย่งชิงไปแบบนี้เหรอ ไม่ได้นะ ถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับหลิงหลาน แต่เขาก็ไม่มีทางมอบน้องสาวที่เขารักให้อย่างว่าง่ายเพราะเหตุนี้หรอกนะ…ในใจลั่วล่างลอบตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแยกลูกพี่หลานกับน้องสาวของเขา จะให้คนอื่นมาแย่งชิงน้องสาวที่รักของเขาไม่ได้เป็นอันขาด ต่อให้เป็นลูกพี่หลานก็ไม่ได้เหมือนกัน

หานจี้จวินไม่สนใจความสับสนในใจของลั่วล่าง เขามองหุ่นรบสีเทาเข้มร่อนลงพื้นมาอย่างมั่นคง จากนั้นก็เปิดสวิตช์อุปกรณ์สื่อสารตรงข้อมือ

“ไอ้หยา นายท่าน ในที่สุดคุณก็นึกถึงฉันแล้ว ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ฉันช่วยคะ” เสียงที่ฟังดูอ่อนโยนน่ารักอย่างมากและแฝงไปด้วยความขี้อ้อนดังออกมาจากในอุปกรณ์สื่อสาร

นี่ทำให้พี่น้องลั่วล่างหันมามองด้วยสีหน้าใคร่รู้ เนื่องจากอุปกรณ์สื่อสารของหานจี้จวินไม่เหมือนกับพวกเขา มันมีระบบปัญญาประดิษฐ์ ส่วนพวกเขาเป็นปุ่มตัวเลือกไม่กี่ปุ่มที่ดูจืดชืดมาก ไม่ได้ตรงกับความต้องการขนาดนั้น

ฉีหลงกับหานซู่หย่าชินแล้ว สีหน้าของพวกเขาต่างเฉยชา หานจี้จวินชอบทำของเล็กๆ พวกนี้มาก ทำให้หลายปีมานี้เขาทำอุปกรณ์เล็กๆ แบบนี้ออกมา

……………………………………………

[1] ปลาหลีกระโดดผ่านประตูมังกร อุปมาว่า มีความพยายามและจะประสบความสำเร็จ