ตอนที่ 48 เจ้าอาวาสลวงครั้งใหญ่

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

ฟางเจิ้งก็ไม่หวังให้เขาเชื่อพุทธ คิดแค่ว่าวันหลังจะให้เขาเปลี่ยนนิสัยเสีย แต่ดันมาถามความรู้เขาเลยลำบากฟางเจิ้งแล้ว แต่ก็ยังดีที่ซ่งเอ้อโก่วไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน! พูดยังไงไปก็ไม่รู้เรื่อง? ดังนั้นเลยพูดตามความคิดไป “ตำรากล่าวว่าฆ่าคนก็ทดแทนด้วยชีวิต สัจธรรมและความถูกต้องไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

ซ่งเอ้อโก่วจะร้องไห้อีกครั้ง

ฟางเจิ้งพูดต่อ “แต่ว่ากฏหมายก็ยังโยงถึงอารมณ์ความรู้สึกคนด้วย ถ้าไม่ได้ตั้งใจฆ่าก็ผ่อนเบาลงได้ เหมือนอย่างโยม อย่างหนักก็ติดคุก”

“อ๊า…ฮือๆๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วเริ่มร้องไห้

ฟางเจิ้งเงียบไปรอเขาร้องไห้

“ฟางเจิ้งแกพูดต่อสิ จะหยุดทำไม? ฮือๆๆ” ซ่งเอ้อโก่วร้องไห้พลางต่อว่าติดๆ ขัดๆ

ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ โยมร้องไห้เสียงดังขนาดนี้ อาตมาเสียงดังไม่เท่าโยมนะ ให้โยมร้องไห้ก่อน ร้องจนพอแล้วเราค่อยคุยกัน แต่หมู่บ้านแจ้งตำรวจแล้ว ตำรวจอาจจะขึ้นเขามา ถ้ายังไม่แก้ปัญญาเรื่องนี้ก่อนพวกเขามา อืม…”

“ฉันไม่ร้องแล้ว! ฉันไม่ร้องแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วหุบปากทันที

ฟางเจิ้ง “ดีมาก อย่างนั้นก็ฟังต่อ สภาพการณ์ของโยมนี้อย่างเบาก็ไม่ต้องตัดสินลงโทษ แค่จ่ายค่าปรับนิดหน่อยก็พอ”

“หา? ขนาดนั้นเลย?” ซ่งเอ้อโก่วเบิกตากลมโต ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้ แต่เขาก็นึกถึงปัญหาที่หนักหนา เขาขี้เกียจมาก ที่บ้านก็จนเหลือหม้อแค่ใบเดียว ชดใช้ด้วยเงินไม่ได้! ดังนั้นเลยถาม “ฉันไม่มีเงินทำยังไงล่ะ?”

ฟางเจิ้งตอบ “ไม่ยาก ไม่มีเงินก็ติดคุก!”

“มะ…ไม่…ไม่ได้ ฟางเจิ้ง อา…อาขอร้องล่ะ แกช่วยคิดหาวิธีอื่นเถอะ คิดดีๆ อาจะเลี้ยงไก่แก! เอ่อ…แกบวชนี่กินไก่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นไข่ไก่ล่ะ?” ซ่งเอ้อโก่วอ้อนวอนทั้งยังติดสินบน

ต่อให้ฟางเจิ้งปราบเจ้านี่ได้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่มองว่านักบวชมีความรู้สูงส่งนัก ในเมื่อไร้ความรู้แบบนี้ เขาก็จะลวงหลอกต่อไป “ยังมีอีกวิธีหนึ่ง นั่นคือทำงานชดใช้ค่าปรับ!”

“ทำงานชดใช้ค่าปรับ? แล้วมันลงโทษยังไง?” ซ่งเอ้อโก่วถามด้วยความแปลกใจ

ฟางเจิ้ง “ง่ายมาก หมู่บ้านต้องออกหน้ารับรองให้โยมว่าจะหาเงินในระยะเวลาแค่ไหน ช่วงเวลานี้โยมต้องทำงานให้หมู่บ้าน หมู่บ้านจ่ายเงินให้โยม ได้รับการอภัย โยมทำได้ดี ก็จะยิ่งได้รับการอภัย กลับกันหากยังขโมย ขี้เกียจ คนในหมู่บ้านไม่ชอบใจ โยมก็คงได้แต่นอนในคุก”

“หา…หา? ทำงานให้หมู่บ้าน? นี่…” ซ่งเอ้อโก่วลังเลเล็กน้อย เพราะเขาขี้เกียจจริงๆ!

ฟางเจิ้งหน้ามืดครึ้มลง “ทำงานหรือนอนคุก โยมเลือกเอาเอง ถ้าจะทำงานอาตมาจะช่วยโยมขอกับผู้ใหญ่บ้านและเลขาให้ ให้พวกเขาออกหน้า ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยบุญกุศลในอดีตของโยมแล้ว เดาว่าพวกเขาคงอยากให้โยมเข้าไปในนั้นเร็วๆ”

“ฉะ…ฉันไม่เคยทำเรื่องไม่ดีมาก่อนเลยนะ…” ซ่งเอ้อโก่วพูดขึ้นด้วยใจฝ่อ

ฟางเจิ้งหัวเราะ “มีปีไหนบ้างที่โยมไม่สร้างความเสียหายกับพวกไก่ในหมู่บ้าน?”

ซ่งเอ้อโก่วเก้อเขิน…

ฟางเจิ้งพลันจริงจังขึ้นมา ตะคอกถาม “ตกลงจะทำหรือไม่ทำ? ไม่ทำก็รอติดคุก ถ้าจะทำก็ลงเขาตอนนี้!”

“ทำ…ไม่ทำ…โถ่…ถ้าอย่างนั้นแกต้องรับปากนะว่าฉันจะไม่เป็นอะไร ถ้าลงเขาไปแล้วยังติดคุก ฉันไม่ลงหรอก!” ซ่งเอ้อโก่วร้อง

ฟางเจิ้ง “อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ถึงโยมจะลงเขาไป หากโยมติดคุก อาตมาจะติดคุกเป็นเพื่อน ว่ายังไง?”

“พูดจริงเหรอ?” ซ่งเอ้อโก่วเชื่อคำพูดฟางเจิ้ง เพราะไต้ซือหนึ่งนิ้วพูดน่าเชื่อถือ ตั้งแต่ฟางเจิ้งยังเด็กจนเติบใหญ่ ถึงจะซุกซนแต่ก็พูดจริงทำจริงมาตลอด แม้ในใจยังหวาดกลัว แต่ตอนนี้มาถึงทางตันแล้ว ภูเขาเอกดรรชนีมีทางเดียว ที่อื่นเป็นหน้าผา หากในหมู่บ้านแจ้งตำรวจ ตอนนี้ตำรวจจะต้องปิดล้อมภูเขาไว้แล้วแน่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ฟางเจิ้ง “จริง!”

“ได้ ฉันเชื่อแก!” ซ่งเอ้อโก่วกัดฟัน

ฟางเจิ้งจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับส่งให้ซ่งเอ้อโก่วทันที “โยมห้ามอ่านจดหมายนี้ เอาไปให้ผู้ใหญ่บ้านกับเลขา พวกเขาอ่านแล้วจะช่วยโยม”

ซ่งเอ้อโก่วรับจดหมายด้วยความสงสัย ก่อนพยักหน้าแล้วลงเขาไป

ฟางเจิ้งเห็นซ่งเอ้อโก่วไปแล้วก็รีบหยิบมือถือออกมา โทรไปหาผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยกับเลขาถานจวี่กั๋ว บอกแผนการของเขา

หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะซ้ำด่าทอ “เจ้าเด็กนี่ลูกเล่นเยอะจริงๆ ได้ ฉันอยากเล่นไอ้ซ่งเอ้อโก่วมานานแล้ว ถ้าครั้งนี้เปลี่ยนให้เขาซื่อสัตย์ได้ ฉันจะจดจำความดีของแกครั้งนี้ไว้! วางใจ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”

ในหมู่บ้านเกิดเรื่องใหญ่ หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วย่อมอยู่ หวังโอ้วกุ้ยคุยกับถานจวี่กั๋ว สองคนต่างหัวเราะ กระทั่งยังดึงตำรวจมาร่วมมือด้วย

ส่วนซ่งเอ้อโก่วออกจากวัดแล้วจะฟังฟางเจิ้งได้หรือ?

เขาหาที่ที่ไม่มีคนหยิบจดหมายออกมาดู เขากลัวจริงๆ ว่าฟางเจิ้งจะวางกับดักขายเขา!

เนื้อหาข้างในเหมือนกับที่ฟางเจิ้งพูดกับเขาทุกประการ รับรองเขาจริงๆ เห็นฟางเจิ้งสาบานอย่างหนักแน่นว่าหากซ่งเอ้อโก่วเข้าคุก เขาจะเข้าไปด้วย ซ่งเอ้อโก่วซาบซึ้งจนแทบจะร้องไห้ พูดพึมพำ “ฟางเจิ้ง แกเป็นเด็กดีจริงๆ! ก่อนหน้านี้อาขอโทษนะ พูดจาถึงแกไม่ดีทั้งนั้น จากนี้ไปจะดีกับแกแล้ว!” ซ่งเอ้อโก่วพูดจบก็เก็บจดหมายอย่างระวัง ก่อนก้าวเท้ายาววิ่งลงเขาไป

“ระบบ แบบนี้ถือว่าไม่ผิดศีลใช่ไหม?” ฟางเจิ้งกังวลจริงๆ ถึงยังไงครั้งนี้เขาก็โกหกไปไม่น้อย

“ติ๊ง! อมิตพุทธ พระพุทธองค์ไม่สนับสนุนการโกหก การหลอกถือเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ถ้าหยั่งลงไปถึงแก่นก็ยังทำเพื่อเหนี่ยวนำคนสู่ความดี การกระทำของนายเหนี่ยวนำคนไปสู่ความดี ในเนื้อแท้แล้วถือว่าเป็นเรื่องดี คำโกหกเจตนาดีไม่ถือว่าผิดศีล ถ้าไม่อย่างนั้นนายคงถูกฟ้าผ่าไปนานแล้ว” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ขณะเดียวกันก็เข้าใจเล็กน้อยแล้วว่าระบบโพธิสัตว์ต่างกับหลวงจีนหัวโบราณ เขาแสวงหาความดีจากเนื้อแท้มากกว่า ไม่ใช่การต่อสู้ภายนอก เขาเลยวางใจ…

ซ่งเอ้อโก่วไปแล้ว ฟางเจิ้งกำลังจัดเก็บอุโบสถ ทำความสะอาดถึงกลับเข้าวัด ดูน้ำในโอ่งพุทธแล้วก็อาบน้ำ ทำอาหาร ดื่มน้ำ ใช้น้ำหมดไปมากกว่าครึ่ง จึงแบกถังน้ำลงเขาไปตักน้ำ ส่วนหมาป่าเดียวดายไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน เขาก็ขี้เกียจจะสนใจ

วิ่งไปวิ่งกลับหลายรอบในที่สุดก็เติมน้ำเต็มโอ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ ลอยขึ้นพอดี

“เวียนหัว แรงสมองไม่พอแล้ว ลืมกินข้าวกลางวันซะได้!” ฟางเจิ้งลูบท้อง ตอนนี้หิวมากจริงๆ!

เขารีบไปที่ห้องครัว ล้างหม้อ ใส่ข้าว ใส่น้ำ จุดไฟ! ข้าวผลึกสะอาดมากเลยไม่ต้องซาวข้าว จึงสะดวกมากๆ

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จฟางเจิ้งหยิบมือถือออกมา นั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กในลาน เข้าอินเทอร์เน็ตอย่างสบายใจ

ฟางอวิ๋นจิ้งยังไม่ออนไลน์ แต่จ้าวต้าถงฝากข้อความไว้ให้เขา “ไต้ซือ เร็วๆ นี้ผมมักรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอ ไม่มีสมาธิ ไม่ตื่นตอนเช้า แบบนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?”

……………………….