บทที่ 62 คำเดียว ไสหัวไป

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“ไม่ต้องรบกวนผู้อาวุโสและทุกท่าน ที่นี่ข้าจะจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องลำบาก” ใบหน้าจินเฟยเหยาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พยักหน้าค้อมกายและเอ่ยกับคนที่มาทำความสะอาดเวทีด้วยรอยยิ้ม

ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีมองนางอย่างไม่เข้าใจ ทองคำสำหรับผู้บำเพ็ญเซียนแล้วก็เหมือนกับฝุ่นธุลี เก็บไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด เหรียญทองที่กองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ นั้นขนาดอาวุธเวทชั้นล่างก็ยังซื้อไม่ได้เลย

จินเฟยเหยาไม่สนใจมากความ อย่างไรเสียก็ไม่กินพื้นที่เท่าใด เก็บแล้วมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณของเจ้าเยี่ยนหง เหรียญทองเหล่านั้นก็ปราศจากพลังวิญญาณใดๆ เคล็ดวิชาของเจ้าเยี่ยนหงแปลกประหลาดจริงๆ

“พวกเจ้าจะทำอะไร! คนนอกห้ามเข้ารีบออกไป พวกเจ้าคิดจะก่อเรื่องหรือ?”

ทันใดนั้นตรงทางเข้าด้านล่างเวทีก็มีเสียงเอะอะดังมา คนกลุ่มหนึ่งทั้งผลักทั้งดันพุ่งตัวเข้ามา ผลักผู้รับใช้ที่ขัดขวางพวกเขาไว้ให้ถอยไปอย่างหยาบคาย

“มีคนก่อเรื่องในลานประลอง” ในหอชมการประลองมีคนสายตาแหลมคมเห็นฉากนี้ เห็นคนกล้าก่อกวนการประลอง ทุกคนก็ตื่นเต้น วันก่อนประลองปลอมๆ วันนี้ก่อเรื่อง มีคนกล้ามาก่อเรื่องในลานประลองของตำหนักลั่วเซียนและหอฝูหลิง แต่ละวันล้วนมีละครให้ชม

“พวกเจ้าเป็นใคร ไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็นสถานที่ใด ถึงกับกล้าบุกเข้ามาในลานประลอง” ผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงิน เท้าเหยียบสัตว์รูปความคิดเหินกายลงมา ร่อนลงเบื้องหน้าพวกเขาแล้วตวาดเสียงเข้มงวด

“ผู้อาวุโส พวกเราคือคนตระกูลเจ้า ไม่ได้คิดจะก่อเรื่อง เพียงแต่พี่น้องของพวกเราตายอย่างน่าอนาถและไม่เป็นธรรมเกินไป เจ้าหมอนี่ยังเหยียดหยามพวกเราอีก ถ้าปล่อยให้เขาจากไปเช่นนี้ ตระกูลเจ้าจะมีหน้าอยู่ในเมืองลั่วเซียนต่อไปได้อย่างไร” ผู้นำหน้าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดคนที่มาจากตระกูลเจ้าคือเด็กหนุ่มที่กำลังฮึกเหิม มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงปลาย ดูแล้วตำแหน่งในตระกูลคงไม่ต่ำต้อย

“เหลวไหล ได้ประกาศไว้แต่แรกแล้ว ระหว่างการประลองเป็นตายขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิต สองวันนี้ผู้บำเพ็ญเซียนที่สิ้นชีพที่นี่มิได้มีเพียงตระกูลเจ้าของพวกเจ้า หรือว่าทุกคนล้วนต้องมาก่อเรื่องที่นี่ด้วย บอกว่านางเหยียดหยามพวกเจ้า เหตุใดข้าจึงไม่เห็น บอกว่าเจ้าเยี่ยนหงตายอย่างไม่เป็นธรรม ผู้ตัดสินคือข้า ความหมายของพวกเจ้าคือข้าไม่ยุติธรรม ตาบอดจึงมองไม่เห็น?” ผู้บำเพ็ญเซียนสวมหมวกสีเงินจ้องมองผู้เยาว์รุ่นหลังที่ไร้มารยาทเหล่านั้น ด่าทอพวกเขาอย่างสาดเสียเทเสีย

“เป็นถึงตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน คนในตระกูลตายอย่างสง่าผ่าเผย ก็ร่ำไห้อาละวาด พวกเจ้ายังมีความละอายใจอยู่หรือไม่ เห็นที่นี่เป็นสถานที่ทำการกุศล เป็นสถานที่ให้พวกเจ้ามาเล่นสนุกได้ตามใจชอบหรือ? รีบไสหัวออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นวันนี้ตระกูลเจ้าจะไม่ได้เก็บแค่ศพเดียว”

เผชิญหน้ากับการคุกคามอย่างเปิดเผยของผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงินคนนี้ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงกว่าพวกเขาหนึ่งขั้นใหญ่ ทว่าบรรดาคุณชายเลือดร้อนเหล่านี้กลับไม่เกรงกลัว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่ไร้ชื่อเสียงและอำนาจนับเป็นตัวอะไร ถ้าเขากล้าลงมือ ก็ย่อมต้องมีผู้อาวุโสในตระกูลสกัดขัดขวาง ผู้ใดเกรงกลัวเล่า

“ผู้อาวุโส เหตุใดเจ้าต้องเข้าข้างเขา เจ้าอย่าลืมสิ ตระกูลของเราไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ ถ้าเจ้าไม่ให้พวกเราเข้าไป วันหน้าอยู่ในเมืองลั่วเซียนต้องระวังตัวหน่อย” คนตระกูลเจ้าไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ ข่มขู่กลับไป

ที่จริงพวกเขาเพิ่งบุกเข้ามาก็ถูกผู้บำเพ็ญเซียนหมวกสีเงินสกัดเอาไว้ ก็รู้สึกเสียใจนิดๆ อย่างไรเสียก็เป็นกิจการของตำหนักลั่วเซียนและหอฝูหลิง สามารถหาโอกาสถอยได้ชัดๆ เพราะมีคนกำลังจุดเพลิงโทสะพวกเขาไม่หยุด จึงทำให้คุณชายกลุ่มนี้สงบจิตใจไม่ไหว

คนที่จุดเพลิงโทสะของพวกเขาอยู่ตลอดเวลาคือจินเฟยเหยา ตั้งแต่คนตระกูลเจ้าบุกเข้ามาในลานประลองจนโต้เถียงกันอยู่นาน จินเฟยเหยาแค่เงยหน้าขึ้นมองแวบเดียว จากนั้นก็ก้มศีรษะจัดการกับเหรียญทองบนเวทีตลอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพุ่งเป้ามายังนาง นางกลับทำเหมือนไม่มีเรื่องราวใดทำให้บุตรหลานตระกูลเจ้ากลุ่มนี้มีโทสะแทบตาย

จินเฟยเหยาไม่สนใจคนเหล่านี้ กำลังเก็บกวาดบนเวทีอย่างยินดีปรีดา ทองคำ ต่อให้ไม่มีค่าในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียน ทว่าในโลกมนุษย์ล้วนเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ถ้าต่อไปสร้างฐานไม่ได้ ทองคำเหล่านี้ก็เพียงพอให้ตนเองร่ำรวยนั่งกินนอนกินในโลกมนุษย์ไปชั่วชีวิต คนโง่งมจึงไม่ต้องการ

พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณเป็นแค่เศษสวะที่นี่ ถ้าสร้างฐานไม่ได้ หญิงชราคนหนึ่งใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่นี่ น่าสงสารอย่างถึงที่สุด คนเหล่านี้ต่อให้ร่ำร้องอาละวาด อย่างไรก็มีคนของลานประลองเป็นตายต้านรับไว้ ต่อให้ตายนางยังไม่เชื่อว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณเหล่านี้จะสามารถฆ่าผู้ชนะตายคาเวทีที่นี่ได้

ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่าด้านหลังมีเจตจำนงเย็นชาอันคุ้นเคย ดูเหมือนในอดีตเคยพบมา บุตรหลานตระกูลเจ้าที่ยังเอะอะเอ็ดตะโรเหล่านั้นเป็นใบ้ทันที รอบด้านเงียบกริบ

พอจินเฟยเหยาหันหน้าไปมอง ก็ตกใจจนหัวใจแทบจะเด้งออกมาจากคอหอย ชุดยาวแบบจีนสีขาวปักลวดลายใบไผ่สีเข้ม เบื้องหลังเคร่งขรึม เส้นผมยาวสง่างาม ใต้ฝ่าเท้าเป็นไผ่หยกสีเขียวขจีท่อนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของหอชิงซวี

เห็นทุกคนหุบปาก บุตรหลานตระกูลเจ้ามีสีหน้าแตกตื่น จินเฟยเหยาลังเลเล็กน้อยจึงหันกายมา เดินย่องเบาๆ เข้ามาในเวที คิดจะอยู่ห่างๆ จากคนของสำนักชิงซวีหน่อย

“ไป๋…ไป๋เจี่ยนจู๋” บุตรหลานตระกูลเจ้าเบียดเสียดอยู่รวมกันอย่างขลาดกลัว แต่ละคนต่างหลบอยู่ด้านหลังคนที่นำมา

“ทำอะไรน่ะ อย่าผลักข้าสิ” คนที่เป็นหัวหน้าก็พยายามถอยไปด้านหลัง ทว่าบรรดาพี่น้องที่อยู่ด้านหลังล้วนผลักเขาไปข้างหน้าอย่างสุดแรง

“ไสหัวไป” ไปเจี่ยนจู๋เอ่ยออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา เสียงไม่ดังนัก กลับทำให้คนรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง หนาวเหน็บจนถึงทรวงใน

คนโง่งมยังรับรู้ได้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี บุตรหลานตระกูลเจ้าหมุนตัววิ่งหนีอย่างว่องไว ระหว่างที่วิ่งหนียังหันหน้ามาตะโกนใส่จินเฟยเหยา “เจ้าหนู วันนี้พวกเราเห็นแก่ผู้อาวุโสไป๋ จะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง อย่านึกว่าเรื่องนี้จะจบแค่นี้นะ ตระกูลเจ้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

“บ้าหรือเปล่า ข้ามาเข้าร่วมการประลองชิงยาสร้างฐานนะ ไม่ใช่ต่อสู้ส่วนตัวสักหน่อย ตระกูลเจ้าของพวกเจ้าจะไม่ไว้หน้าตำหนักลั่วเซียนและแต่ละสำนักใหญ่เกินไปแล้ว ในสายตาของพวกเจ้า การประลองครั้งนี้เป็นละครตลกฉากหนึ่ง พวกเจ้าคิดจะอาละวาดอย่างไรก็ได้สินะ?” จินเฟยเหยาตะโกน เสียงดังฟังชัด ทำให้คนที่อยู่ในลานประลองได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนบนหอชมการประลองก็มีคนได้ยินจำนวนไม่น้อย

คนตระกูลเจ้าหน้าเสีย คิดจะวิ่งกลับมายันกันกับจินเฟยเหยา ทว่าเห็นไป๋เจี่ยนจู๋ที่ตีหน้าขรึมจนเหมือนน้ำแข็งจึงได้แต่รีบจากไปอย่างซึมเซา

“ฮึ ขู่ใครกัน ข้าไม่ออกนอกเมืองลั่วเซียน หรือเจ้าสามารถมาฆ่าข้าที่สำนักเฉวียนเซียนได้” จินเฟยเหยาเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจสักนิด อย่างไรเสียตนเองได้ยาสร้างฐานก็ต้องปิดด่านกักตนทะลวงขั้นฝึกปราณช่วงปลายอย่างสมบูรณ์เป็นเวลานาน ถึงตอนนั้นไม่ออกไปข้างนอก ดูสิว่าพวกเจ้าจะมาแก้แค้นข้าได้อย่างไร รอข้าสร้างฐานสำเร็จ ข้ายังต้องเกรงกลัวบุตรหลานตระกูลร่ำรวยอย่างพวกเจ้าหรือ

บุตรหลานตระกูลเจ้าไม่ได้ยินคำพูดของนา ก็หนีไปอย่างตื่นตระหนกเพราะกลัวไป๋เจี่ยนจู๋ จินเฟยเหยารีบเก็บทองคำทั้งหมดบนเวทีแล้วลงจากอีกด้านหนึ่งของเวที เดินชิดมุมกำแพงอ้อมเป็นวงใหญ่มาถึงทางออก

การกระทำของนางทำให้คนสงสัย ไป๋เจี่ยนจู๋มองนางอ้อมเป็นวงเพื่อหลีกเลี่ยงการเดินผ่านข้างกายตนเองอย่างเย็นชา ในใจเขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ตนเองไม่ใช่สัตว์ประหลาดกินคนสักหน่อย เป็นบุรุษตัวใหญ่โต จำเป็นต้องกลัวเขาแบบนี้ด้วย?

“เดี๋ยว” เขาตะโกนเรียกให้จินเฟยเหยาหยุดราวกับภูติผีดลใจ

ไม่จริงน่า ไม่น่าจะจำข้าได้นะ ตอนนี้ในสายตาของคนอื่นข้าน่าจะเป็นบุรุษ จินเฟยเหยาขนลุก หมุนตัวกลับมาอย่างไม่สบายใจ เอ่ยด้วยใบหน้าประจบสอพลอ “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกข้าด้วยเรื่องใด?”

“เจ้ากลัวข้า?”

“กลัว ต้องกลัวแน่นอน ผู้อาวุโสสง่าผ่าเผย ไม่มีโทสะยังแผ่อานุภาพ ดุจเทพแห่งสงครามลงมาสู่โลกหล้า ทำให้ข้าน้อยกล้ามองแค่ไกลๆ ไม่กล้ามองดูใกล้ๆ กลัวว่าจะล่วงเกินอานุภาพแห่งเทพ ทำให้ผู้อาวุโสไม่พอใจ” จินเฟยเหยาก้มหน้าพออ้าปาก ก็เอ่ยคำพูดประจบสอพลอออกมาอย่างลื่นไหล หวังเพียงสามารถไปจากที่นี่ได้เร็วหน่อย

การประจบครั้งนี้ประจบไม่ถูกจุด ไป๋เจี่ยนจู๋รู้สึกหงุดหงิด เอ่ยด่าทอนางว่า “พูดบ้าบออะไร ไสหัวไป”

“ขอรับ ข้าจะไสหัวไปเดี๋ยวนี้” จินเฟยเหยาก้มหน้าถอยหลังสองก้าว จากนั้นก็หมุนตัววิ่งเข้าทางออก ความเร็วยังเหนือกว่าบุตรหลานตระกูลเจ้าเมื่อครู่หลายเท่า

ไป๋เจี่ยนจู่จัดการภารกิจที่เบื้องบนสั่งการมาแล้วก็พกพาความว้าวุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกบินออกจากลานประลอง ส่วนผู้บำเพ็ญเซียนสวมหมวดสีเงินที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงกลางกลับมีท่าทางนอบน้อม ส่งไป๋เจี่ยนจู๋ที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสร้างฐานช่วงต้นจากไปอย่างมีมารยาท

จินเฟยเหยากำลังซ่อนอยู่ในความมืดตรงทางเข้า แอบลอบมองไปข้างนอกตลอดเวลา เห็นไป๋เจี่ยนจู๋ขี่ของวิเศษจากไป จึงโล่งอกในที่สุด เมื่อครู่นางแค่มองตามปกติหลายรอบ รู้สึกเหมือนคุ้นหน้าคนผู้นี้นิดๆ ไม่มั่นใจว่าใช่ศพที่พบในวันนั้นหรือไม่ ความประทับใจอันล้ำลึกเพียงอย่างเดียวคือก้นของอีกฝ่ายเกลี้ยงเกลา ทว่านางเดินเข้าไปตะโกนเสียงดังให้อีกฝ่ายถอดกางเกงเปิดก้นให้นางดูไม่ได้

ต่อให้หลังจากพูดแบบนี้ แล้วอีกฝ่ายถอดกางเกงจริง แต่ถึงจะมอบความกล้าให้นาง ตอนนี้นางก็ไม่กล้าไปดู

“พลังการบำเพ็ญเพียรแค่ขั้นสร้างฐานช่วงต้น เหตุใดคนมากมายต่างเกรงกลัวเขา แม้แต่ผู้ตัดสินที่มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นสร้างฐานช่วงกลางยังมีมารยาทต่อเขาขนาดนี้ หรือว่าอิทธิพลของหอชิงซวีมีมากถึงเพียงนี้ ขอเพียงเป็นคนของหอชิงซวี ล้วนทำให้ผู้บำเซียนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่าก้มศีรษะได้?” จินเฟยเหยาไม่ค่อยเข้าใจ คนที่กลัวหอชิงซวีอย่างนาง เป็นเพราะนางเป็นวัวสันหลังหวะ คนเหล่านั้นก็มีท่าทางไม่ต่างกัน เป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งหมดจะเคยล่วงเกินหอชิงซวี

นางครุ่นคิด แล้วเหลียวซ้ายแลขวามองหาอยู่ครู่หนึ่ง จึงจับตัวผู้รับใช้ในลานประลองเป็นตายมาได้ ลากเข้ามุมแล้วสอบถามเรื่องของบุรุษหน้าตาเย็นชาแห่งหอชิงซวีที่ปรากฏกายขึ้นเมื่อครู่

ผู้รับใช้สาวสวยคนนี้ พอได้ยินว่าสอบถามถึงบุรุษหน้าตาเย็นชาที่มาเมื่อครู่ สองตาก็เปล่งประกายในพริบตา พูดจนน้ำลายกระเซ็นอย่างตื่นเต้นไม่หยุด

“เขาชื่อไป๋เจี่ยนจู๋ เป็นบุรุษที่คุณสมบัติสูงที่สุดและอายุเยาว์ที่สุดในหอชิงซวี มีพลังวิญญาณผันแปรด้วยนะ ถึงแม้พลังการบำเพ็ญเพียรจะเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงต้น ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงกลางก็เอาชนะเขาไม่ได้ ทั้งยังเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไม่รู้ว่ามารปิศาจนอกรีตมากน้อยเพียงใดตายใต้เงื้อมมือเขา หน้าตาทั้งหล่อเหลาทั้งอ่อนโยนเอาใจใส่ นิสัยเที่ยงธรรม เป็นบุรุษดีๆ ที่หาได้ยากในโลกหนานซานจริงๆ” ผู้รับใช้มองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าหลงใหล ราวกับไป๋เจี่ยนจู่ยืนยิ้มให้นางอยู่ด้านตรงข้าม

“อ่อนโยนเอาใจใส่?” จินเฟยเหยาอยากจะถามนางว่าตาบอดหรือไม่ ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งตีหน้าขรึมเหมือนก้อนหินก็เรียกว่าอ่อนโยนเอาใจใส่

“อืม” ผู้รับใช้พยักหน้า “ข้าเคยเห็นเขาไกลๆ หลายครั้ง สามารถรับรู้ถึงความอ่อนโยนจากเงาหลังของเขาได้”

ฟังถึงตรงนี้ จินเฟยเหยาก็ปรบมือเอ่ยว่า “แย่แล้ว ข้าเกือบลืมไป วันนี้ยังมีธุระที่ไม่ได้ทำ สหายเซียนท่านนี้ ขออภัยด้วย ข้ามีธุระ ต้องขอตัวก่อน”

ไม่รอให้ผู้รับใช้ได้สติคืนมา จินเฟยเหยาก็รีบวิ่งไปที่ประตู ราวกับมีเรื่องด่วนอะไร ครู่หนึ่งก็หนีออกจากเวทีประลองเป็นตาย