เกียรติยศในวันวาน โดย ProjectZyphon
ด้วยหวาดกลัวพลังของหลินสวิน ชายหญิงพวกนั้นแม้ในใจจะพร่ำบ่น แต่ปากก็ไม่กล้าว่าออกมา
หลินสวินไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไร แต่เขาคร้านจะอธิบาย คำพูดวันนี้ก็ไม่ได้พูดให้พวกเขาฟัง เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นแค่พวกเจ้าสำราญ เด็กหนุ่มไม่คิดจะประกาศยืนยันตัวเองให้พวกเขารับรู้
ทุกอย่างที่หลินสวินทำไป เพียงต้องการให้พวกเขาเอาเรื่องในภูเขาชำระจิตไปเล่าต่อให้ตระกูลหลินทั้งหลายได้รับรู้ เขาอยากดูว่าถึงตอนนั้นแล้ว จะมีสักกี่คนที่เป็นปรปักษ์กับตน
ไม่นานหลินจงก็กลับมา ครั้นเห็นคนอื่นคุกเข่ากันหมด ชายชราก็มีท่าทีเป็นกังวล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เขามองออกว่าคุณชายผู้นี้ไม่ใช่คนมุทะลุ ที่ทำเช่นนี้ บางทีอาจเพราะกำลังประกาศศักดา บางทีอาจจะเป็นความต้องการอื่น แต่ไม่ใช่ทำไปเพราะอารมณ์แน่นอน
“วันนี้ข้าเพิ่งจะเข้ามาภูเขาชำระจิตครั้งแรก ข้าจะไม่รังแกพวกเจ้า แต่ หลังจากนี้หากพวกเจ้าต้องการขึ้นมาที่ภูเขาชำระจิต ก็ต้องได้รับการยินยอมจากข้าก่อน”
หลินสวินโบกมือหันหลังกลับเข้าตำหนัก
คนเหล่านั้นไม่อยากเชื่อว่าหลินสวินจะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหายเข้าไปในตำหนักชำระจิตพวกเขาถึงแน่ใจว่าเป็นความจริง
“ไป” คนพวกนี้ลุกขึ้น เก็บความแค้นแล้วรีบจากไป
พวกเขาจะนำเรื่องราววันนี้ไปบอกผู้อาวุโสในตระกูล แค่ลูกกระต่ายอายุสิบกว่าปีเท่านั้น อาจหาญบอกว่าจะดูแลภูเขาชำระจิต รนหาที่ตายชัดๆ
จนเมื่อมาถึงชั้นล่างของภูเขาชำระจิต พลันชายคนหนึ่งก็ถามขึ้น “หลินจง เจ้าเด็กนั่นเป็นใคร”
คนอื่นต่างพากันรู้สึกตัว นั่นสิ ถึงตอนนี้แล้วพวกเขายังไม่รู้เลยว่าหลินสวินเป็นใคร
แต่จะโทษพวกเขาไม่ได้ ก่อนหน้านั้นหลินสวินไม่พูดจา เอาแต่ลงมือจนพวกเขางุนงง ไหนเลยจะมีจิตใจคิดเรื่องอื่น
“คุณชายคุณหนูทุกท่าน นั่นคือบุตรชายของหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวิน นายท่านและนายหญิงของข้า หลินสวิน” หลินจงพูดอย่างภูมิใจ
“อะไรนะ”
“บุตรของหลินเหวินจิ้ง เขาไม่ได้ตายตั้งแต่คลอดออกมาแล้วหรือ”
“หลินจง เจ้าไม่ได้เข้าใจผิดหรอกหรือ”
“มิน่าถึงคุ้นตานัก เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
คนกลุ่มนั้นโวยวาย ตกใจ พวกเขาถามไถ่กับหลินจงเพื่อยืนยัน ฝ่ายชายชรายืนยันว่าหลินสวินเป็นบุตรของหลินเหวินจิ้งจริงๆ
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดจะไปฟ้องผู้อาวุโสเพื่อแก้แค้นหลินสวินเท่านั้น แต่ยามนี้พวกเขารู้แล้วว่าเรื่องราวหนักหนาแค่ไหน อย่างไรก็ต้องรายงานไปให้ผู้อาวุโสรับรู้
ฉับพลันพวกเขาก็รีบจากไป
…
ในตำหนัก พื้นห้องเละเทะ กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
หลินสวินนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สายตาเหม่อลอย ท่าทางสับสน คล้ายมีเรื่องราวค้างคาเต็มไปหมด
นับแต่รับรู้สถานะตัวเอง เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่ความจริงกลับทำให้เขาดีใจไม่ออก เรื่องราวในปีนั้นซับซ้อนเกินไป
เหตุการณ์นองเลือดนั้นทำให้ผู้เป็นบิดา หลินเหวินจิ้งถูกฆ่า ผู้เป็นมารดา ลั่วชิงสวินหายตัวไป แม้กระทั่งบรรดาญาติสายเลือดตรงทั้งหมดก็ไม่มีใครมีชีวิตรอด
คนร้ายมีนามว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ รู้เพียงว่าเขามาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งดินแดนลี้ลับ นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีข้อมูลอื่นใดอีก
หากเรื่องราวง่ายดายเพียงเท่านี้ก็ช่างเถิด แต่ความเป็นจริงมักโหดร้ายกว่านั้นมาก เพราะเหตุการณ์นองเลือดทำให้ตระกูลหลินเป็นมังกรไร้หัวตกอยู่ในความระส่ำระส่าย ท้ายที่สุดก็ถูกกลุ่มอำนาจเข้ายึดครองแบ่งสรรอำนาจและทรัพย์สิน จนตกต่ำลงในที่สุด
เดิมทีทุกอย่างล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน แต่เมื่อเหยียบเข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว เขารู้เพียงตนเป็นบุตรชายของหลินเหวินจิ้ง และต้องแบกรับหน้าที่อะไรบางอย่าง
พูดง่ายกว่ากระทำจริงเสมอ หลินสวินพบว่าลำบากนัก ทุกอย่างประดังปะเดเข้ามาจนไม่รู้จะเริ่มจัดการจากตรงไหน
เขาไม่เคยเจอเรื่องราวเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่ออกมาจากคุกเหมืองใต้ดินกลายมาเป็นลูกหลานของตระกูลหลินแห่งนครต้องห้าม จากนั้นก็มีสิทธิ์ในการดูแลหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจ ภูเขาชำระจิต
สถานะที่เปลี่ยนไป ทำให้หลินสวินปรับตัวได้ค่อนข้างลำบาก
คล้ายขอทานตามมุมถนนได้กลายเป็นราชบุตรขององค์จักรพรรดิ ความแตกต่างที่ชัดเจนจนยากจะปรับตัวให้เคยชินได้ง่ายๆ
แน่นอน เรื่องราวของหลินสวินเปรียบดั่งจุดเปลี่ยนที่สวยงามสำหรับชาวบ้านตาดำๆ ไม่ต้องดิ้นรนก็กลายเป็นบุตรตระกูลผู้มีอำนาจ แถมยังเป็นทายาทสายเลือดตรง จะไม่ให้อิจฉาได้อย่างไร
แม้ตระกูลหลินจะตกต่ำ แต่อูฐที่แก่ตายอย่างไรก็ตัวใหญ่กว่าม้า แค่เพียงสถานะของตระกูลผู้มีอำนาจก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะมีได้
เหมือนลั่วชิงสวินที่แม้จะโดดเด่นได้ลำดับหนึ่งจากการทดสอบระดับอาณาจักร แต่เมื่อปลงใจกับหลินเหวินจิ้งแล้ว นางกลับถูกตระกูลหลินคัดค้าน
เพราะอะไร
ง่ายนัก เพราะว่าลั่วชิงสวินฐานะยากจน แค่สถานะนี้ก็ถูกมองว่าไม่คู่ควรกับหลินเหวินจิ้งแล้ว
มีเพียงหลินสวินที่เห็นชัดเจนว่าตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลินนั้นยุ่งยากและลำบากเพียงใด ทั้งยังมีอันตรายซุกซ่อนอยู่เต็มไปหมด
หากเป็นไปได้ เขายอมที่จะไม่เป็นคนของตระกูลหลินจะดีกว่า
ฐานะสูงส่ง แต่มีหลายคนที่คอยจับผิดเขาในที่ลับ
ตำแหน่งก้าวกระโดด ตลกเป็นบ้า
เกรงว่าคงไม่มีคนในตระกูลหลินคนใดยอมให้เขาขึ้นปกครองภูเขาชำระจิตได้ง่ายๆ แล้วจะบอกว่าก้าวกระโดดได้อย่างไร
หากหลินสวินตัวคนเดียวอยากจะแบกทุกอย่างไว้บนบ่าแล้ว ทุกอันตรายและความลำบากที่จะประสบย่อมมากกว่าที่คิด หากพลาดก็อาจจะตายอย่างที่ไม่เหลือกระดูก
ตำหนักว่างเปล่าเงียบสงัด ทั่วพื้นเละเทะ เด็กหนุ่มที่อายุสิบห้าในปีนี้ นั่งอยู่บนเก้าอี้เหม่อลอย คิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย
“เข้ามาในนครต้องห้าม เจ้าสามารถก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจ” ในหัวปรากฏจดหมายประทับตราดอกจื่อเย่าและคำในจดหมาย จากนั้นก็คิดถึงท่านผู้นั้นในวัง
อยู่ๆ นัยน์ตาสีดำของหลินสวินก็ทอประกายขึ้นมา “ตอนนี้มีหลายคนในนครต้องห้ามเข้าใจว่าข้ากับตำหนังแสงทมิฬมีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน”
ไม่นาน หลินสวินก็นึกถึงคำพูดของชายชราที่มาจากตำหนักแสงทมิฬ ริมฝีปากไม่วายยกยิ้ม
“เหตุใดต้องสนอันตรายที่อยู่ตรงหน้า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินให้พวกเจ้าดู” หลินสวินพึมพำในใจ เดิมทีใจที่อึมครึมอับจนหนทางก็มีความมุ่งมาดมาแทนที่
…
ไม่นานหลินจงก็กลับมา หลินสวินเชิญอีกฝ่ายนั่ง “ลุงจง เล่าเรื่องราวของตระกูลหลินให้ข้าฟังที”
หลินจงเตรียมตัวมาแล้วจึงไม่ได้ประหลาดใจ ใคร่ครวญสักพักจึงเริ่มเล่าออกมา
หลินสวินเพิ่งจะรู้ว่าที่แท้เมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกุลหลินเป็นถึงตระกูลอำนาจระดับสูงในจักรวรรดิจื่อเย่า เทียบได้กับเจ็ดตระกูลใหญ่ของทุกวันนี้
การวัดระดับของตระกูลนั้นง่ายดาย มีเพียงข้อเดียว คือในตระกูลมีราชาระดับสังสารวัฏอยู่หรือไม่
ในตอนนั้น บรรพบุรุษตระกูลหลินที่มีนามว่าหลินเต้าเฉิน เป็นราชาระดับสังสารวัฏเลื่องชื่อลือนามของจักรวรรดิ เพียงแต่จากนั้น หลินเต้าเฉินโชคร้ายพ่ายแพ้ให้กับราชาคนหนึ่งของจักรวรรดิมืด หลังจากนั้นตระกูลหลินก็เสียหายอย่างหนัก จากตระกูลอำนาจระดับสูงตกมาอยู่ตระกูลอำนาจระดับกลาง น่าอับอายไปกว่านั้นหลายร้อยปีมานี้กลับไม่มีราชาระดับสังสารวัฏถือกำเนิดขึ้นมาเลย
แต่กระนั้นอำนาจที่ตระกูลหลินมีก็ไม่ใช่อำนาจที่ตระกูลระดับกลางจะเปรียบได้ บอกได้ว่าเป็นรองเพียงเจ็ดตระกูลใหญ่เท่านั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ยาวนานมาหลายร้อยปี แม้ตระกูลหลินจะไม่ได้กลับเข้าไปเป็นตระกูลอำนาจระดับสูงแต่ก็ไม่ได้ตกต่ำ
จนเมื่อสิบห้าปีก่อน ตระกูลหลินเกิดเหตุการณ์นองเลือด ทำให้อำนาจที่ตระกูลหลินเคยมีเปลี่ยนแปลงไป
เจ้าตระกูลหลินเฟยถิง และทายาทสายเลือดตรงทั้งหมดถูกสังหาร มังกรไร้หัวทำให้ตระกูลหลินถูกกลุ่มอำนาจให้แบ่งแยกออกไปจนตกต่ำ
จนทุกวันนี้ อำนาจที่ตระกูลหลินมี เพียงฝืนพูดได้ว่าเป็นตระกูลระดับล่าง แม้แต่ตระกูลอำนาจระดับกลางก็ไม่ใช่
หลินสวินได้ยินเช่นนั้นก็เศร้าใจ ห้าร้อยปีก่อน ตระกูลหลินยังเป็นถึงตระกูลระดับสูง อำนาจคับฟ้า มีผู้ฝึกปราณระดับสังสารวัฏประจำในตระกูล
ห้าร้อยปีให้หลัง กลับตกต่ำถึงขั้นต้องฝืนเรียกว่าตระกูลอำนาจระดับล่าง ไม่เหลือเกียรติใดๆ เทียบกับตระกูลระดับสูงทั้งเจ็ดแล้ว ตระกูลหลินตกต่ำลงรวดเร็วมาก
ไม่นานหลินสวินก็สงบสติอารมณ์ แล้วเอ่ยถาม “ลุงจง เหตุการณ์ในตระกูลหลินตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หลินจงเล่าเสียงเบา ย้อนรำลึกพร้อมท่าทางเจ็บปวด “หลังจากเหตุการณ์นองเลือดครานั้น สายเลือดของท่านเจ้าตระกูลถูกสังหารหมดสิ้น เหลือเพียงญาติสายรอง…”
ที่แท้ ตระกูลหลินมีสายเลือดทั้งสิ้นห้าสาย หนึ่งในนั้นมีสายเลือดของหลินเฟยถิง ท่านปู่ของหลินสวินเป็นทายาทสายตรง ควบคุมอำนาจในตระกูล
นอกจากนี้ยังมีตระกูลสายรองสี่สาย ล้วนเป็นทายาทของน้องชายหลินเฟยถิ งและเครือญาติจากการแต่งงานที่ไกลออกไป
นี่คือตระกูลใหญ่ ญาติเยอะ สายตรง สายรอง เครือญาติจากการแต่งงาน ญาติห่างๆ ที่นับไม่ถ้วน
หลังจากเกิดเหตุการณ์นองเลือด ทายาทสายรองของตระกูลหลินพากันย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ไปตั้งรกรากตามที่ต่างๆ ในนครต้องห้าม พวกเขายังคงใช้ชื่อเสียงของตระกูลหลิน แต่ความจริงกลับแตกแยกออกเป็นสี่อำนาจ ปกครองตนเอง
ได้ยินเช่นนี้หลินสวินก็มุ่นคิ้ว จับประเด็นปัญหาสำคัญได้ “ตอนนั้นเพื่อแย่งชิงอำนาจ ตระกูลรองสี่สายร่วมมือกับศัตรู ขโมยทรัพย์สมบัติของตระกูลหลินออกไป แล้วย้ายออกไปจากภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ”
ภูเขาชำระจิตเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ แสดงถึงเกียรติยศและตำแหน่ง ใครจะยอมปล่อยวางสมบัติเช่นนี้ แล้วไปตั้งรกรากที่อื่น
ย่อมต้องมีเหตุบางประการแน่