เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับสายลมที่กรีดกรายสายพิณ และเปล่งออกมาอย่างนุ่มนวลท่ามกลางสายฝนและคลื่นที่สาดกระเซ็น
ฉู่หลิงเยว่ใจสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าเขารอนางมานานมากจริงๆ
เมื่อไอฝนเย็นยะเยือกลอยผ่านใบหน้าของนาง นางจึงรู้สึกตัวและด้สติกลับคืนมา
“พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
นางซื้อบ้านหลังนี้เป็นการส่วนตัวและแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย เช่นนั้นหรงซิวรู้ได้อย่างไร อีกทั้งยังรอนางอยู่ที่นี่อีกต่างหาก
หรงซิวเลื่อนสายตาเล็กน้อยแล้วมาหยุดที่หยาดฝนบนใบหน้าของนาง
ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวเล็กน้อยและยื่นมือออกมา
“อ๊ะ…”
“อย่าดิ้น”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือปัดป้องโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้ยินน้ำเสียงแหบต่ำแบบนี้นางก็ลดมือลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
มือขาวเรียวยาวของเขามีข้อต่อที่เห็นได้ชัดเจน แต่ปลายนิ้วกลับมีสัมผัสที่นิ่มยามเมื่อปัดเอาหยาดฝนออกจากใยหน้าของนาง
เขาอยู่ใกล้นางมากจนฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นขนตางอนยาวสีดำของเขาสั่นไหวเล็กน้อย
สีหน้าของเขาดูจริงจังราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้กลั้นหายใจตามไปด้วย
ในขณะนี้ดูเหมือนเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรงซิ่วถึงจะหัวเราะออกมาได้
“หายใจได้”
ฉู่หลิวเยว่เผลอตอบ “อ้อ” แล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมา
หรงซิวถึงกับหยุดชะงักไป
“ได้หรือยัง”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
หยาดฝนเพียงหยดเดียวต้องเช็ดออกนานขนาดนั้นเลยหรือ
หรงซิวชักมือกลับเงียบๆ
ฉู่หลิวเยว่ใจสั่นวูบหนึ่งก่อนจะเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด
นางลืมตาขึ้นและเหลือบมองหรงซิวก็เห็นว่าเขาได้เก็บมือกลับไปแล้วจริงๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใดๆ อีกทั้งยังมีสีหน้าสงบนิ่ง
ก็คง…ไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง…
แต่ทว่าทำไมทุกครั้งที่เจอกัน เขาถึงต้องคอยเช็ดหน้าให้นางตลอดเลยนะ
ฉู่หลิวเยว่บ่นในใจแล้วระงับคลื่นอารมณ์ในหัวใจของนาง จากนั้นจึงถามอีกครั้ง
“พระองค์มาที่นี่ได้อย่างไร”
หรงซิวแย้มยิ้ม จากนั้นเขาก็กุมมือฉู่หลิวเยว่แล้วจูงเดินกลับไปแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“กลับบ้านแล้วค่อยคุยกัน”
ฉู่หลิวก้มศีรษะลงและเหลือบมอง ทันใดนั้นมุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย
กลับบ้าน?
นั่นคือบ้านของนาง ไม่ใช่บ้านของเขาสักหน่อย! ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ!
“หลีอ๋อง นี่พระองค์กำลังจะทำอะไร”
แม้แถวนี้จะไร้ซึ้งผู้คน แต่พวกเขาทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง
“ข้าหนาว”
หรงซิวเอ่ยเสียงเรียบ
เขาพูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้ทำเอาฉู่หลิวเยว่ไปต่อไม่เป็น
หรงซิวดึงนางให้ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น
“องค์ชาย พระองค์ทำเช่นนี้ไม่อุ่นขึ้นมาหรอก”
“อืม แต่แบบนี้ก็ไม่ทำให้เจ้าเปียกฝน”
ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง สายตาของนางก็หันไปเห็นว่าเสื้อคลุมบนตัวของเขาเปียกปอนหมดแล้ว
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่หรงซิวกำลังถือร่มให้นางตอนนี้ ร่มก็เอนมาทางนางมากกว่าจริงๆ
เพราะเห็นแก่ร่มคันนี้หรอกนะ ฉู่หลิวเยว่จึงไม่อิดออดอีก
ทั้งสองไม่มีบทสนทนาใดๆ แล้วมาถึงประตูพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่ดิ้นเพื่อให้หรงซิวยอมปล่อยมือนางสักที
ฉู่หลิวเยว่เปิดประตูและเดินเข้าไป
หลังจากเดินไปได้สองก้าว นางก็นึกบางอย่างได้และหันกลับมามอง
หรงซิวยังคงยืนอยู่ด้านนอกประตูและไม่คิดที่จะจากไปไหน
ฉู่หลิวเยว่แอบกัดฟัน
“องค์ชายกำลังหนาว พระองค์ทำใจเข้ามานั่งในบ้านเล็กเท่ารูหนูได้หรือ”
ริมฝีปากบางของหรงซิวยกยิ้มเล็กน้อย
“ในเมื่อเยว่เอ๋อร์มีน้ำใจเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงดูไม่ออกว่าหรงซิวจะเป็นผู้หน้าไม่อายขนาดนี้!
…
ฉู่หลิวเยว่เคยมาดูบ้านหลังนี้เพียงครั้งเดียวตอนที่นางซื้อ ตอนนั้นสถานที่ตรงนี้ก็ยังรกอยู่มา
ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ และดูสง่างามและสะอาดตายิ่งขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เชิญหรงซิวให้นั่งลงก่อน ในขณะที่นางไปต้มชาขิงมาหนึ่งกา
“บ้านหลังเล็กและเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ความบันเทิงแก่องค์ชายหลีอ๋องได้หรอกเพคะ”
เมื่อยื่นส่งชาให้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่มีธุระอะไรอีก นางจึงนั่งลงตรงข้ามหรงซิว
“แค่ชาขิงถ้วยนี้ถ้วยเดียวก็พอแล้ว”
ดูเหมือนหรงซิวไม่สนใจ เขาเทชาสองถ้วยแล้วส่งให้ฉู่หลิวเยว่หนึ่งถ้วยและรินอีกถ้วยให้ตนเอง
ไอร้อนสีขาวลอยฉุย ทำให้ระหว่างคิ้วของเขาผ่อนคลายลง
ทั้งกิริยาและวาจาดูไม่มีคราบความเป็นองค์ชายเลยสักนิด แต่กลับมีท่าทางที่ดูพอใจเป็นอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจทั้งๆ ที่ชาขิงนี้ไม่มีอะไรมาก ออกจะธรรมดาและรสชาติก็ยังฉุนกึกอีกด้วย หากเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางคงร้องยี๊ แต่เขากลับดื่มได้อย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ หรือช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ใช้ชีวิตในเขาหมิวเยว่เทียนล้วนผ่านมาอย่างยากลำบาก
“ดูแล้วพระองค์คงลำบากมากมาก่อน” ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ “พระองค์ชินกับการดื่มชาขิงพวกนี้ด้วยหรือ”
“ไม่ชินหรอก”
หรงซิวหัวเราะเบาๆ
“เพียงแต่ว่านี่เป็นชาที่เจ้าชง ซึ่งมีโอกาสยากยิ่ง ต่อให้ไม่ชินก็ต้องชิน”
ไม่ชินก็ต้องชิน… น้ำเสียงของหรงซิวสงบเช่นเคย แต่ประโยคนี้ดูคลุมเครือเล็กน้อย
ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อเช่นไรดี นางจึงเม้มริมฝีปากแนบสนิท
หากมาจนถึงตอนนี้แล้วนางยังเดาไม่ออกว่าหรงซิ่วคิดอย่างไรกับนาง แสดงว่านางโง่เขลามาก
ช่วยนางครั้งแรกเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วครั้งที่สองที่สามล่ะ
แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือหรงซิวชอบอะไรในตัวนาง
หน้าตาหรือ
ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ใบหน้าของนางก็เหลืองซีดและผอมกะหร่อง และนางก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้นแน่นอน
พรสวรรค์หรือ
แต่นางเพิ่งจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่วันนี้เองนี่นา
หรือจะเป็นสถานะ
อดีตพระคู่หมั่นที่ถูกองค์ชายรัชทายาททิ้ง เจ้าหนูใหญ่ที่ถูกตระกูลฉู่ผลักไสไล่ส่ง คนธรรมดายังนึกรังเกียจ คงไม่ต้องเอ่ยถึงองค์ชายเจ็ดหลีอ๋องผู้มีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพนับถือ
“องค์ชาย เรามาเปิดใจพูดคุยกันตามตรงดีกว่า!”
ฉู่หลิวเยว่หายใจเข้าลึก ๆ ยืดหลังตรงและมองไปที่หรงซิวอย่างจริงจัง
“พระองค์เสด็จมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อันใด หรือพระองค์ต้องการสิ่งใดในตัวข้า แม้วันนี้ข้าจะพลิกชีวิตขึ้นมาได้ แต่ยังคงอ่อนแอไร้อำนาจ ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะช่วยพระองค์ได้ ท่านทำแบบนี้ก็รั้งแต่จะเสียเวลาและเสียแรงเปล่าเท่านั้น”
หรงซิวหมุนถ้วยชาในมือ เขาหลับตาและครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง
ทั้งสองสบตากันแน่นิ่ง
ในสายตาของหรงซิวมีแสงประกายวูบไหว และในที่สุดแก้มของหญิงสาวก็สะท้อนออกมา
“ที่ข้ามาวันนี้เพื่อฉลองวันเกิดให้เจ้า”
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ
จากนั้นหรงซิวก็หยิบกล่องไม้ออกมาและกลิ่นหอมจางๆ ก็กระจายไปทั่ว อันที่จริงมันเป็นกล่องไม้กฤษณาที่วิจิตรงดงามมาก
“นี่คือของขวัญที่มอบให้เจ้า”
ฉู่หลิวเยว่รับมาอย่างลังเล นางค่อยๆ เปิดกล่องออกมาด้วยเรียวนิ้วที่สั่นระริก
มันคือปิ่นดอกท้อที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกล่อง