เล่ม 2 ตอนที่ 72 มอบปิ่นดอกท้อให้ข้า

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับสายลมที่กรีดกรายสายพิณ และเปล่งออกมาอย่างนุ่มนวลท่ามกลางสายฝนและคลื่นที่สาดกระเซ็น

ฉู่หลิงเยว่ใจสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง

ดูเหมือนว่าเขารอนางมานานมากจริงๆ

เมื่อไอฝนเย็นยะเยือกลอยผ่านใบหน้าของนาง นางจึงรู้สึกตัวและด้สติกลับคืนมา

“พระองค์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

นางซื้อบ้านหลังนี้เป็นการส่วนตัวและแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย เช่นนั้นหรงซิวรู้ได้อย่างไร อีกทั้งยังรอนางอยู่ที่นี่อีกต่างหาก

หรงซิวเลื่อนสายตาเล็กน้อยแล้วมาหยุดที่หยาดฝนบนใบหน้าของนาง

ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวเล็กน้อยและยื่นมือออกมา

“อ๊ะ…”

“อย่าดิ้น”

ฉู่หลิวเยว่ยกมือปัดป้องโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้ยินน้ำเสียงแหบต่ำแบบนี้นางก็ลดมือลงโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

มือขาวเรียวยาวของเขามีข้อต่อที่เห็นได้ชัดเจน แต่ปลายนิ้วกลับมีสัมผัสที่นิ่มยามเมื่อปัดเอาหยาดฝนออกจากใยหน้าของนาง

เขาอยู่ใกล้นางมากจนฉู่หลิวเยว่สามารถมองเห็นขนตางอนยาวสีดำของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

สีหน้าของเขาดูจริงจังราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงได้กลั้นหายใจตามไปด้วย

ในขณะนี้ดูเหมือนเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน หรงซิ่วถึงจะหัวเราะออกมาได้

“หายใจได้”

ฉู่หลิวเยว่เผลอตอบ “อ้อ” แล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมา

หรงซิวถึงกับหยุดชะงักไป

“ได้หรือยัง”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม

หยาดฝนเพียงหยดเดียวต้องเช็ดออกนานขนาดนั้นเลยหรือ

หรงซิวชักมือกลับเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่ใจสั่นวูบหนึ่งก่อนจะเกิดความรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด

นางลืมตาขึ้นและเหลือบมองหรงซิวก็เห็นว่าเขาได้เก็บมือกลับไปแล้วจริงๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้มีสิ่งผิดปกติใดๆ อีกทั้งยังมีสีหน้าสงบนิ่ง

ก็คง…ไม่ได้ตั้งใจล่ะมั้ง…

แต่ทว่าทำไมทุกครั้งที่เจอกัน เขาถึงต้องคอยเช็ดหน้าให้นางตลอดเลยนะ

ฉู่หลิวเยว่บ่นในใจแล้วระงับคลื่นอารมณ์ในหัวใจของนาง จากนั้นจึงถามอีกครั้ง

“พระองค์มาที่นี่ได้อย่างไร”

หรงซิวแย้มยิ้ม จากนั้นเขาก็กุมมือฉู่หลิวเยว่แล้วจูงเดินกลับไปแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“กลับบ้านแล้วค่อยคุยกัน”

ฉู่หลิวก้มศีรษะลงและเหลือบมอง ทันใดนั้นมุมปากของนางก็กระตุกเล็กน้อย

กลับบ้าน?

นั่นคือบ้านของนาง ไม่ใช่บ้านของเขาสักหน่อย! ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันนะ!

“หลีอ๋อง นี่พระองค์กำลังจะทำอะไร”

แม้แถวนี้จะไร้ซึ้งผู้คน แต่พวกเขาทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่กระมัง

“ข้าหนาว”

หรงซิวเอ่ยเสียงเรียบ

เขาพูดจาขวานผ่าซากเช่นนี้ทำเอาฉู่หลิวเยว่ไปต่อไม่เป็น

หรงซิวดึงนางให้ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น

“องค์ชาย พระองค์ทำเช่นนี้ไม่อุ่นขึ้นมาหรอก”

“อืม แต่แบบนี้ก็ไม่ทำให้เจ้าเปียกฝน”

ฉู่หลิวเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง สายตาของนางก็หันไปเห็นว่าเสื้อคลุมบนตัวของเขาเปียกปอนหมดแล้ว

ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่หรงซิวกำลังถือร่มให้นางตอนนี้ ร่มก็เอนมาทางนางมากกว่าจริงๆ

เพราะเห็นแก่ร่มคันนี้หรอกนะ ฉู่หลิวเยว่จึงไม่อิดออดอีก

ทั้งสองไม่มีบทสนทนาใดๆ แล้วมาถึงประตูพร้อมกัน

ฉู่หลิวเยว่ดิ้นเพื่อให้หรงซิวยอมปล่อยมือนางสักที

ฉู่หลิวเยว่เปิดประตูและเดินเข้าไป

หลังจากเดินไปได้สองก้าว นางก็นึกบางอย่างได้และหันกลับมามอง

หรงซิวยังคงยืนอยู่ด้านนอกประตูและไม่คิดที่จะจากไปไหน

ฉู่หลิวเยว่แอบกัดฟัน

“องค์ชายกำลังหนาว พระองค์ทำใจเข้ามานั่งในบ้านเล็กเท่ารูหนูได้หรือ”

ริมฝีปากบางของหรงซิวยกยิ้มเล็กน้อย

“ในเมื่อเยว่เอ๋อร์มีน้ำใจเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

ทำไมก่อนหน้านี้นางถึงดูไม่ออกว่าหรงซิวจะเป็นผู้หน้าไม่อายขนาดนี้!

ฉู่หลิวเยว่เคยมาดูบ้านหลังนี้เพียงครั้งเดียวตอนที่นางซื้อ ตอนนั้นสถานที่ตรงนี้ก็ยังรกอยู่มา

ตอนนี้ได้รับการปรับปรุงใหม่ และดูสง่างามและสะอาดตายิ่งขึ้น

ฉู่หลิวเยว่เชิญหรงซิวให้นั่งลงก่อน ในขณะที่นางไปต้มชาขิงมาหนึ่งกา

“บ้านหลังเล็กและเรียบง่าย ไม่มีอะไรให้ความบันเทิงแก่องค์ชายหลีอ๋องได้หรอกเพคะ”

เมื่อยื่นส่งชาให้แล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่มีธุระอะไรอีก นางจึงนั่งลงตรงข้ามหรงซิว

“แค่ชาขิงถ้วยนี้ถ้วยเดียวก็พอแล้ว”

ดูเหมือนหรงซิวไม่สนใจ เขาเทชาสองถ้วยแล้วส่งให้ฉู่หลิวเยว่หนึ่งถ้วยและรินอีกถ้วยให้ตนเอง

ไอร้อนสีขาวลอยฉุย ทำให้ระหว่างคิ้วของเขาผ่อนคลายลง

ทั้งกิริยาและวาจาดูไม่มีคราบความเป็นองค์ชายเลยสักนิด แต่กลับมีท่าทางที่ดูพอใจเป็นอย่างยิ่ง

ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจทั้งๆ ที่ชาขิงนี้ไม่มีอะไรมาก ออกจะธรรมดาและรสชาติก็ยังฉุนกึกอีกด้วย หากเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางคงร้องยี๊ แต่เขากลับดื่มได้อย่างสบายๆ เป็นธรรมชาติ หรือช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่ใช้ชีวิตในเขาหมิวเยว่เทียนล้วนผ่านมาอย่างยากลำบาก

“ดูแล้วพระองค์คงลำบากมากมาก่อน” ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจเอ่ยถึงเรื่องนี้ “พระองค์ชินกับการดื่มชาขิงพวกนี้ด้วยหรือ”

“ไม่ชินหรอก”

หรงซิวหัวเราะเบาๆ

“เพียงแต่ว่านี่เป็นชาที่เจ้าชง ซึ่งมีโอกาสยากยิ่ง ต่อให้ไม่ชินก็ต้องชิน”

ไม่ชินก็ต้องชิน… น้ำเสียงของหรงซิวสงบเช่นเคย แต่ประโยคนี้ดูคลุมเครือเล็กน้อย

ทันใดนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ไม่รู้ว่าจะไปต่อเช่นไรดี นางจึงเม้มริมฝีปากแนบสนิท

หากมาจนถึงตอนนี้แล้วนางยังเดาไม่ออกว่าหรงซิ่วคิดอย่างไรกับนาง แสดงว่านางโง่เขลามาก

ช่วยนางครั้งแรกเป็นเรื่องบังเอิญ แล้วครั้งที่สองที่สามล่ะ

แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือหรงซิวชอบอะไรในตัวนาง

หน้าตาหรือ

ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ใบหน้าของนางก็เหลืองซีดและผอมกะหร่อง และนางก็ไม่ได้สวยอะไรขนาดนั้นแน่นอน

พรสวรรค์หรือ

แต่นางเพิ่งจะสอบเข้าสำนักเทียนลู่วันนี้เองนี่นา

หรือจะเป็นสถานะ

อดีตพระคู่หมั่นที่ถูกองค์ชายรัชทายาททิ้ง เจ้าหนูใหญ่ที่ถูกตระกูลฉู่ผลักไสไล่ส่ง คนธรรมดายังนึกรังเกียจ คงไม่ต้องเอ่ยถึงองค์ชายเจ็ดหลีอ๋องผู้มีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพนับถือ

“องค์ชาย เรามาเปิดใจพูดคุยกันตามตรงดีกว่า!”

ฉู่หลิวเยว่หายใจเข้าลึก ๆ ยืดหลังตรงและมองไปที่หรงซิวอย่างจริงจัง

“พระองค์เสด็จมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อันใด หรือพระองค์ต้องการสิ่งใดในตัวข้า แม้วันนี้ข้าจะพลิกชีวิตขึ้นมาได้ แต่ยังคงอ่อนแอไร้อำนาจ ไม่มีสิ่งไหนที่พอจะช่วยพระองค์ได้ ท่านทำแบบนี้ก็รั้งแต่จะเสียเวลาและเสียแรงเปล่าเท่านั้น”

หรงซิวหมุนถ้วยชาในมือ เขาหลับตาและครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองนาง

ทั้งสองสบตากันแน่นิ่ง

ในสายตาของหรงซิวมีแสงประกายวูบไหว และในที่สุดแก้มของหญิงสาวก็สะท้อนออกมา

“ที่ข้ามาวันนี้เพื่อฉลองวันเกิดให้เจ้า”

ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะ

จากนั้นหรงซิวก็หยิบกล่องไม้ออกมาและกลิ่นหอมจางๆ ก็กระจายไปทั่ว อันที่จริงมันเป็นกล่องไม้กฤษณาที่วิจิตรงดงามมาก

“นี่คือของขวัญที่มอบให้เจ้า”

ฉู่หลิวเยว่รับมาอย่างลังเล นางค่อยๆ เปิดกล่องออกมาด้วยเรียวนิ้วที่สั่นระริก

มันคือปิ่นดอกท้อที่นอนแน่นิ่งอยู่ในกล่อง