ตอนที่ 141 ไม่มีข้าวแล้ว / ตอนที่ 142 ข้าวขึ้นราคาแล้ว

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 141 ไม่มีข้าวแล้ว

จ้าวหลานไม่อยากปลุกนางอีก แต่ใครจะรู้ว่าที่นางพูดออกมา แท้จริงแล้วผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามจริงๆ

หูเฟิงมาอีกแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้เคาะประตู เพียงยืนเรียกอยู่ข้างนอก “จื่อยาโถว ตกลงไว้แล้วว่าจะทำเกี๊ยว เจ้าคงไม่คิดจะบิดพลิ้วหรอกกระมัง”

ดวงตาของไป๋จื่อพลันเบิกโพลง จ้าวหลานที่นั่งอยู่ข้างเตียงมองนาง นางจึงรีบถามว่า “ตอนนี้กี่ยามแล้วเจ้าคะ”

จ้าวหลานมองแสงอาทิตย์ข้างนอกหน้าต่างบานเล็ก ดวงตะวันไม่ได้ร้อนแรงเหมือนตอนเที่ยงวันเช่นนั้นแล้ว “ยามเซินสามเค่อกระมัง เจ้าตกลงกับหูเฟิงไว้ว่าจะทำเกี๊ยวจริงๆ หรือ”

ไป๋จื่อลุกขึ้นนั่ง “ใช่เจ้าค่ะ วันนี้เขาช่วยชีวิตข้าไว้อีกครั้ง เพื่อตอบแทนเขา ข้ารับปากว่าเย็นนี้จะทำเกี๊ยวให้เขามื้อหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะหลับจนถึงเย็นขนาดนี้”

“ในเมื่อรับปากเขาไว้แล้วก็รีบลุกขึ้นมาเถิด ทำเกี๊ยวเสียเวลานัก ต้องไปเตรียมพร้อมเร็วหน่อย” จ้าวหลานกล่าว

บัดนี้เสียงของหูเฟิงดังมาจากข้างนอก เรื่องน่าอายที่ลืมไปแล้วผุดขึ้นมาตรงหน้าอีกครั้ง…นางถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะลงจากเตียงอย่างจนใจ แล้วเดินไปเปิดประตูออก กล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างนอกว่า “ไม่ต้องเรียกแล้ว ข้าตื่นแล้ว เอ่อ…เจ้ากลับไปก่อน ข้าล้างหน้าแล้วจะตามไป”

นางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ดูแล้วเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าหูเฟิงยังคงพบความขวยเขินเล็กน้อยในแววตาของนาง

ริมฝีปากของเขายกโค้งเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอะไร เพียงหมุนกายเดินไปเท่านั้น

ไป๋จื่อรับผ้าชุบน้ำที่จ้าวหลานส่งมาให้ นางเช็ดหน้าอย่างลวกๆ พลางถอนใจกล่าวว่า “หากเก็บน้ำที่สาดออกไปแล้วกลับมาได้ก็คงดี”

จ้าวหลานไม่เข้าใจ “พูดเพ้อเจ้ออะไรกัน น้ำที่สาดออกไปแล้ว จะเก็บกลับมาได้อย่างไร”

เด็กสาวคืนผ้าชุบน้ำให้มารดา แล้วถอนใจอีกครั้ง “นั่นน่ะสิเจ้าคะ เมื่อเก็บกลับไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงว่า…ไม่ได้สาดออกไป!”

ครั้นเห็นเงาหลังของไป๋จื่อจากไป จ้าวหลานอดไม่ได้ที่จะพึมพำว่า “วันนี้เด็กคนนี้เป็นอะไรไปนะ เหตุใดพูดจาแปลกๆ”

เมื่อมาถึงเรือนใหญ่ของสกุลหูที่อยู่ด้านหน้า หูเฟิงนำแป้งหมี่ใส่ลงในกะละมังแล้ว ปริมาณน่าจะเยอะกว่าคราวก่อนเล็กน้อย

นางเดินไปข้างหน้าเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะรับกะละมังแป้งมาจากในมือของหูเฟิง แล้วชี้นิ้วไปยังกุยช่ายและมันฝรั่งที่อยู่ตรงมุม “เจ้าล้างผัก ข้าผสมแป้งเอง”

หูเฟิงชี้กุยช่ายที่วางไว้บนเตา “ล้างเสร็จแล้ว นั่นคือที่เหลือ” วันนี้เขาตั้งใจซื้อเพิ่มมากำมือหนึ่ง ที่เหลือจะได้กินพรุ่งนี้ได้

ไป๋จื่อตักน้ำมาถ้วยหนึ่งและเริ่มผสมแป้ง พลางกล่าวโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง “เช่นนั้นก็หั่นด้วย หั่นให้เหมือนกับที่ข้าทำคราวก่อน”

ชายหนุ่มส่ายหน้า “หั่นไม่ได้ ข้าทำไม่เป็น” เขาฆ่าไก่ หักกระดูกได้ แต่กลับหั่นกุยช่ายไม่เป็น…

นางหันกลับไปกวาดสายตามองเขาครั้งหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยการดูถูก “แล้วยังหวังให้เจ้าทำอะไรได้เนี่ย แม้แต่หั่นกุยช่ายก็ทำไม่เป็น”

หูเฟิงยักไหล่ “ก็ไม่มีใครกำหนดไว้ว่าจะต้องหั่นกุยช่ายให้เป็นกระมัง”

ไป๋จื่อชี้ไปที่ตู้เล็กๆ ในห้องครัว “เช่นนั้นตอกไข่ไก่เถอะ น่าจะทำเป็นนะ”

เขาหยิบไข่ไก่ออกมาจากในตู้นั้นสองฟอง แล้วถามว่า “สองฟองหรือ”

“ไม่พอหรอก ยังไม่พอให้เจ้ากินเลยด้วยซ้ำ นำมาห้าฟองเลย” นางกำชับอย่างรวดเร็ว ไม่ได้อึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ

ทว่าบนใบหน้าของหูเฟิงกลับยังคงมีรอยยิ้มอยู่เสมอ แม้จะจางนัก มองผ่านๆ อาจจะไม่เห็น แต่กลับมีรอยยิ้มอยู่จริงๆ

น่าเสียดายนัก ไป๋จื่อที่ตั้งใจผสมแป้งมองไม่เห็นรอยยิ้มนั้นเลย

สกุลไป๋

จางซื่อมองถังข้าวสารที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า จิตใจร้อนรนจนแทบจะระเบิด นางจึงยกถังข้าวไปวางไว้ตรงหน้าของหญิงชราและหลิวซื่อ กล่าวว่า “ท่านแม่ พวกเราไม่มีข้าวแล้ว เย็นนี้จะกินอะไรเล่า”

……….

ตอนที่ 142 ข้าวขึ้นราคาแล้ว

หญิงชรายื่นหน้าไปมอง เป็นอย่างที่จางซื่อกล่าวจริง ถังข้าวนี้สะอาดยิ่งกว่าหน้าของนางเสียอีก ไม่มีข้าวแม้สักเม็ด

สีหน้าของนางก็ไม่ดีเช่นกัน วันนี้พบอุปสรรคจากจ้าวหลาน ทำให้นางโมโหอยู่ตลอดทั้งวัน ตอนนี้เสบียงอาหารในบ้านก็ขาดอีก ยิ่งซ้ำเติมความเจ็บช้ำให้กับนาง

นางถลึงตามองจางซื่ออย่างเย็นชา “ไม่มีข้าวแล้วก็กินผักป่า เรื่องนี้ยังต้องถามข้าอีกหรือ”

จางซื่อสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ผักป่า? ผักป่าอยู่ที่ใด”

ผักป่าที่พวกเขาสกุลไป๋กินก่อนหน้านี้เป็นฝีมือไป๋จื่อขุดมา ตั้งแต่ไป๋จื่อและจ้าวหลานแยกบ้านไป พวกเขาก็ไม่ได้เห็นผักป่าอีก ข้าวในถังที่ยืมมาก็ร่อยหรอลงทุกวัน แต่กลับไม่มีใครเป็นกังวล แต่ละคนมีแต่ท่าทางนั่งกินนอนกินรอความตาย ทั้งๆ ที่ทรัพย์สมบัติในสกุลไป๋ของพวกเขาก็ไม่ได้มีให้ถลุงเล่นมากสักเท่าไร

หลิวซื่อมุ่นคิ้วกล่าว “น้องสะใภ้ เกิดอะไรขึ้น ในบ้านไม่มีผักป่า แล้วเหตุใดเจ้าไม่ให้เจินจูไปขุดมาสักหน่อย นี่มันยามใดเข้าแล้ว กล้ามาพูดในยามนี้ได้อย่างไรว่าไม่มีข้าว ไม่มีผัก เจ้าจงใจใช่หรือไม่”

เดิมทีไฟโทสะในใจของจางซื่อกำลังก่อตัวอยู่ คราวนี้หลิวซื่อกระทุ้งปลายหอกเข้ามาอีก นางจึงไม่อดกลั้นอีกต่อไป พูดเสียงดังในทันที “ข้าว่านะสะใภ้ใหญ่ ไหนๆ เจ้าก็พูดเช่นนี้ออกมาแล้ว ให้เจินจูไปขุดผักป่าอย่างนั้นรึ เหตุใดเจ้าไม่ให้ลูกรักของเจ้าไปบ้างเล่า”

หลิวซื่อผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เท้าสะเอวต่อว่าอีกฝ่ายโดยพลัน “ข้าให้เจินจูไปแล้วอย่างไร นางเป็นสตรี เรื่องพรรค์นี้นางต่างหากควรไปทำ ก่อนหน้านี้ไป๋จื่อก็เป็นคนทำงานขุดผักป่าไม่ใช่หรือ ตอนเจินจูกลับมาก็บอกไปแล้ว สิ่งที่ไป๋จื่อทำได้ นางก็ต้องทำได้เช่นกัน ทำไม เวลาเพียงสองวันก็ลืมแล้ว”

จางซื่อยิ้มเย็น “พูดจาสวยหรูจริงนะ สะใภ้ใหญ่ หากทำตามที่เจ้าพูด งานในนาน้ำและที่ดินที่จ้าวหลานเป็นคนทำทั้งหมดก่อนหน้านี้ จ้าวหลานก็เป็นสตรีเช่นกัน พูดเช่นนี้แล้ว ต่อไปงานเหล่านี้เจ้าก็คิดจะรับช่วงต่อด้วยสินะ”

“นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งกระมัง อีกอย่าง ข้าเป็นสตรี แล้วเจ้าไม่ใช่หรือ? หากข้ารับช่วงต่อ จะขาดเจ้าได้อย่างไร” หลิวซื่อกล่าวเสียงแข็ง

“สะใภ้ใหญ่ ข้าว่าเจ้ากล้าพูด ก็ต้องกล้าลงที่ดินและที่นาด้วย ข้าจางซูเหมยไม่มีอะไรไม่กล้าอยู่แล้ว แต่หากเจ้าไม่ทำงาน ก็อย่าฝากความหวังไว้ที่ข้า ข้าไม่ใช่จ้าวหลาน เจินจูของข้าก็ไม่ใช่ไป๋จื่อ เจ้าอย่าได้คิดใช้ลูกไม้เดิมจัดการพวกข้า ข้าไม่มีทางติดกับของเจ้าแน่” จางซื่อกล่าว

คราวนี้เจ้าใหญ่เข้ามาจากด้านนอก แขนยังห้อยอยู่ แม้จะไม่เจ็บเท่าไรแล้ว แต่ก็ไม่กล้าขยับตามใจชอบ ด้วยกลัวว่าจะเกิดผลกระทบอะไรที่ส่งผลต่ออนาคต

“เอะอะอะไรกัน ข้าได้ยินเสียงของพวกเจ้าสองคนแต่ไกลเชียว”

ครั้นหลิวซื่อเห็นสามี นางก็ทำสายตาออดอ้อนในทันที พลางชี้ไปทางจางซื่อ “น้องสะใภ้นั่นแหละ ในบ้านไม่มีข้าว ไม่มีผักก็ไม่บอกกล่าวให้เร็ว เพิ่งจะมาพูดเอาป่านนี้ นี่มันกี่ยามกันแล้ว นางจงใจชัดๆ ข้าต่อว่านางสองคำ นางตอกกลับใส่ข้าสิบคำ เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่เล่า”

แน่นอนว่าน่าโมโห!!

กระนั้นถึงอย่างไรเจ้าใหญ่ก็เป็นบุรุษ เขาไม่อาจข้องเกี่ยวระหว่างกันโต้เถียงของสตรีได้ จึงยื่นหน้าไปกวาดสายตามองก้นถังที่ว่างเปล่า ก่อนจะขมวดคิ้ว “เพิ่งจะมากินหมดเอาป่านนี้ บังเอิญกินหมดเวลานี้หรือนี่”

หญิงชราไม่เข้าใจ “เจ้าใหญ่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร อะไรเรียกว่าเพิ่งจะมากินหมดเอาป่านนี้ กินหมดวันนี้แล้วอย่างไร”

เจ้าใหญ่พลันกล่าว “ท่านแม่ ท่านไม่รู้หรือ เมื่อครู่ข้าคุยกับคนด้านนอก รู้มาว่าราคาข้าวในเมืองของพวกเราสูงขึ้นเป็นเท่าตัว เพิ่งจะขึ้นราคาวันนี้เอง ท่านว่าหากพวกเรากินข้าวหมดเร็วกว่านี้สักสองวัน ไปซื้อข้าวในเมืองคงจะไม่เจอเรื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่”