บทที่ 62: พันธะเลือด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 62: พันธะเลือด

ศพที่ไร้ศีรษะของเชาโยวเต๋ายืนโอนเอนไปมาอยู่ภายในห้อง หลังจากนั้นไม่นาน พลังหยินจำนวนมากก็เริ่มพรั่งพรูออกมาจากลำคอที่ถูกตัดขาดนั้น เปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินที่ส่งเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวน พร้อมกับพัดผ่านไปทั่วทั้งห้องอย่างรุนแรง

“อ๊ากกกกก…” พลังทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนอันทรงพลังที่กว้างประมาณห้าเมตร และโอบล้อมร่างไร้ศีรษะของเชาโยวเต๋าเอาไว้ วินาทีต่อมา พลังทั้งหมดก็เปลี่ยนรูปแบบผีเสื้อสีดำจำนวนมากที่สลายตัวไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน เหล่าวิญญาณหยินทั้งหมดที่กระจัดกระจายไปทั่วเมืองเป่าอันก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างกะทันหัน

ณ เขตที่สองของเมืองเป่าอัน ขบวนรถตำรวจและรถทหารต่างถูกจอดอยู่ริมทางฝั่งหนึ่งของถนน ในขณะที่ทหารหลายร้อยนายต่างยืนตั้งแถวกันอย่างเรียบร้อย เชือกที่มีเหรียญทองแดงถูกล้อมอยู่โดยรอบ ในขณะที่แผ่นยันต์ที่ถูกพันไว้อย่างหลวม ๆ วิญญาณหยินประมาณ 3,000 ตนที่ถือโคมไฟสีแดงได้มารวมตัวกันอยู่ตรงหน้า ค่อย ๆ ลอยมาหาศัตรูของพวกมันอย่างช้า ๆ ราวกับเกลียวคลื่น

“อ๊ากกก….” เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหล่าดวงวิญญาณหยินดังก้องไปทั่วท้องฟ้าในยามราตรีอย่างน่าหวาดผวา พวกมันค่อย ๆ ลอยขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ เตรียมจะปะทะกับเหล่าทหารที่อยู่ด้านหน้า

“เวรเอ้ย…” ทหารที่อยู่ตรงกองหน้าของค่ายกลกัดฟันแน่น กองทหารที่เข้มงวดได้ปลูกฝังให้พวกเขามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และจิตสำนึก

ทว่าความเป็นจริงในตอนนี้ก็คือพวกเขากำลังประจันหน้ากับคลื่นของกลุ่มวิญญาณหยินขนาดใหญ่ ในขณะที่ได้รับการปกป้องโดยเชือกเหรียญทองแดงบาง ๆ เส้นหนึ่ง หากทหารคนไหนบอกว่าตนไม่ได้หวาดกลัวในสถานการณ์เช่นนี้ก็คงจะเป็นการโกหก แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น กลับไม่มีใครยอมถอยเลยสักนิด

แม้ว่าขาของพวกเขาจะสั่นเทา แต่แขนขาของพวกเขายังคงมั่นคงและหลังที่ตั้งตรงแน่วแน่

“ยิง!” เสียงตะโกนดังขึ้น ลูกศรจำนวนมากถูกยิงออกไปในอากาศพร้อมกับยันต์ที่กำลังลุกไหม้ พุ่งตรงเข้าใส่คลื่นดวงวิญญาณหยินตรงหน้าอย่างปราศจากความลังเลใด ๆ

ทว่าน่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากเกินไป

หลังจากที่พวกเขากำจัดคลื่นดวงวิญญาณลูกแรกไป คลื่นลูกที่สองก็พุ่งเข้ามาอย่างไม่สนใจชีวิตของตัวมันเองเลยสักนิด

พรึ่บ พรึ่บ….เส้นป้องกันเหรียญทองแดงสั่นไหวอย่างรุนแรงจากสายลม ขณะที่ดวงวิญญาณทั้งหมดยังคงหลั่งไหลเข้ามา พวกมันก็ก่อตัวขึ้นเป็นภูเขาสูงอยู่ตรงหน้าของเส้นเชือกบาง กำลังจะก้าวข้ามวงล้อมป้องกันเข้ามาด้านใน

“บ้าเอ้ย…ทำไมถึงไม่หมดสักที!” ทหารนายหนึ่งที่นั่งอยู่ภายในรถที่อยู่กลางขบวนทุบมือลงที่พวงมาลัยอย่างแรงและลุกขึ้นทันควัน

“ต้านไว้!! เราต้องต้านไว้ให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม!! การต่อสู้มาถึงจุดสำคัญแล้ว ที่จุดอื่น ๆ ของเมืองก็เช่นกัน! พวกเราจะปล่อยให้ทุกอย่างพังพินาศวันนี้ไม่ได้!!”

“ผู้การครับ!” เสียงของคนที่อยู่ด้านข้างของเขาเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล “ทหารสามในสิบของเราสู้ไม่ไหวแล้วนะครับ! ท่านจะให้พวกเราต้านมันไว้ได้อย่างไรกัน?!”

ด้านหลังของรถของพวกเขามีทหารจำนวนหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ บนร่างของคนทั้งหมดไม่มีบาดแผลเลยสักนิด ทว่าใบหน้าของพวกเขากลับซีดขาว และร่างทั้งร่างก็เย็นชืดในขณะที่ชีพจรเต้นเป็นจังหวะแผ่วเบา

มันแทบจะเหมือนกับพวกเขาอยู่ในสภาพถูกแช่แข็งไม่มีผิด

พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย หากพวกเขายังคงสู้ต่อทั้ง ๆ ที่เป็นแบบนี้ ทหารส่วนใหญ่จะต้องตายภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่

“นี่เป็นคำสั่ง!” ผู้บัญชาการกัดฟันแน่นและตะคอกออกมาอย่างเด็ดขาด “ต่อให้เราจะต้องใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อปิดกั้นดวงวิญญาณพวกนี้เอาไว้ เราก็จะปล่อยให้พวกมันหลุดลอดเข้ามาไม่ได้เด็ดขาด!!”

แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เสียงระเบิดก็ดังขึ้น และเชือกเหรียญทองแดงก็ขาดสะบั้น เหรียญทองแดงจำนวนมากกระเด็นขึ้นฟ้า ส่งแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน

ในวินาทีแห่งความวิปโยคนี้ เวลากลับคล้ายว่าจะหยุดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ผู้บัญชาการที่ตะลึงหันไปมองทางกองหน้าทันที โดยปราศจากการปกป้องของเชือกเหรียญทองแดง ดวงวิญญาณหยินจำนวนมหาศาลก็จะสามารถบุกเข้ามาด้านในได้ดั่งใจ เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อระงับอารมณ์ทั้งหมดของตัวเองก่อนจะตะโกนสั่งเสียงดัง “ต้าน…”

แต่แล้วเขาก็ต้องชะงักไปก่อนที่จะเอ่ยจนจบ

และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่แน่นิ่งไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เพราะแม้แต่เหล่าทหารที่อยู่แนวหน้าของกองกำลังเองก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กันกับสิ่งที่พวกเขาเห็น

พวกเขายกแขนขึ้นในท่าป้องกัน เตรียมพร้อมสำหรับการยืนหยัดเป็นครั้งสุดท้ายของตนเอง แต่แล้ว คลื่นพลังอันหนาวเหน็บที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น

“นี่…” ทหารหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่แนวหน้าเอ่ยขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อขณะที่จ้องมองไปยังคลื่นดวงวิญญาณหยินตรงหน้าของตนอย่างตกตะลึง เขามองเห็นแม้กระทั่งร่างวิญญาณสีขาวอมเขียวของดวงวิญญาณที่อยู่ใกล้ตัวเองที่สุด จู่ ๆ ร่างของมันก็หยุดนิ่งไป

เสี้ยววินาทีก่อนหน้านี้พวกมันยังเคลื่อนที่เข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถม แต่ตอนนี้กลับหยุดนิ่งราวกับก้อนหิน

และปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดแค่ที่เขตที่สองเท่านั้น วินาทีนี้ คลื่นดวงวิญญาณหยินที่อยู่ที่ จัตุรัสกลาง ถนนซุนเฉิง เขตหลงหม่า…ต่างหยุดการเคลื่อนไหวลงทั้งหมด!

“เขาทำสำเร็จแล้ว….” กลับมาที่ศาลากลาง ดวงตาของจางเชิงไห่เป็นประกายขึ้นขณะที่เขาจองมองดูหน้าจอมอนิเตอร์ตรงหน้า

“นี่มันหมายความว่าตัวการใหญ่พ่ายแพ้อย่างราบคาบ และดวงวิญญาณหยินทั้งหมดก็สูญเสียเจ้านายของพวกมัน…”

ตู้ม!!

เสี้ยววินาทีต่อมา กลุ่มก้อนดวงวิญญาณหยินที่อยู่ในบริเวณต่าง ๆ ของเมืองเป่าอันพลันกระจัดกระจายตัวไปในทุกทิศทางทันที ต่อหน้าต่อตาของทหารนับ 2,000 นายที่ถูกสั่งให้มาประจำการ

เมื่อสูญเสียผู้นำ วิญญาณทั้งหมดต่างก็พากันกระจัดกระจายเพื่อหลบหนี

ฟึ่บ…เหล่าผู้ฝึกตนที่มีความสามารถในการสัมผัสได้ถึงตัวตนของดวงวิญญาณเองก็พบว่าโคมไฟสีแดงจำนวนมากที่กลาดเกลื่อนไปทั่วได้ถูกดับลงอย่างเงียบ ๆ

คลื่นพลังหยินอันหนาแน่นเริ่มจะสลายหายไปในความมืดที่พวกมันจากมา ปล่อยให้แสงในแดนมนุษย์สว่างจ้าราวกับสัญญาณไฟในยามราตรี

มันแทบจะเหมือนกับด้วยจันทร์ที่สูญเสียประกายแสงของตัวเอง และดวงดาวที่อยู่รอบ ๆต่างก็หยุดกะพริบอย่างสดใส ภายในระยะเวลาสิบนาที โคมไฟสีแดงเข้มบนถนนก็ถูกดับลงโดยอัตโนมัติ และพวกมันก็ถูกเผาไหม้ไปพร้อมกับโคมไฟสีแดงที่มีอักษรว่า ‘เชา’ จนไม่เหลือซาก

จางเชิงไห่ ผู้เฒ่าเม่ย และคุณแม่ซุยเยวียยืนอยู่บนหอโทรทัศน์ จ้องมองไปยังกระแสพลังหยินที่ค่อย ๆ ลดลงทั่วทั้งเมือง พวกเขาสามารถมองเห็นประกายแสงแห่งชีวิตแผ่ออกมาจากใจกลางเมืองอีกครั้ง ทั้งสามพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

“มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ตอนนี้…” จางเชิงไห่เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ภายในเช้ามืดของวันนี้ ทหารทุกนายจะต้องชูธงชาติของเราไว้บนโคมไฟถนนให้ครบทุกซอกทุกมุมของเมือง!!”

“นี่เป็นการประกาศให้ภูตผีทุกตนที่กล้าย่างกรายเข้ามาในแดนมนุษย์….ว่าพวกเราคือผู้ที่ยืนหยัดอยู่บนดินแดนแห่งนี้!!”

ทันทีที่เอ่ยจบ ชายในชุดเครื่องแบบคนหนึ่งก็วิ่งมาหยุดอยู่ด้านข้างและกระซิบข้างหูว่า “ท่านครับ คำสั่งจากเบื้องบนมาแล้วครับ”

“มันเกี่ยวข้องกับ…อนาคตของเมืองเป่าอันครับ ตราประทับสีแดงและมีความสำคัญสูงสุด ท่านนายกเทศมนตรีและเลขานุการกำลังรอท่านอยู่ครับ”

……………………………..

ฉินเย่ไม่ได้สนใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเมืองเป่าอันอีกต่อไป

ทันทีที่เขาจัดการเชาโยวเต๋าเสร็จ หลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตของเขาก็ลอยออกมาจากอกอีกครั้ง และตัวอักษรสีแดงก็ปรากฏขึ้น “ปัดเป่าวิญญาณอาฆาตขั้นนักล่าวิญญาณหนึ่งตน: แต้มกุศล +200”

“แต้มสะสมปัจจุบัน: 200 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยมทูตขาวดำ: 1800 แต้มกุศล”

ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไรนัก

แล้วมันต่างกันยังไง? เขาไม่ได้มีความคิดที่จะไปไกลกว่านี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นต่อให้มันจะใช้อีก 1,800 แต้มแล้วอย่างไร? ต่อให้มันใช้ 18,000 แต้ม มันก็ยังไม่ส่งผลอะไรกับเขาอยู่ดี

จากนั้นเด็กหนึ่งจึงหันไปมองยังร่างลักษณะคล้ายมนุษย์ที่มีความสูงหนึ่งนิ้วและเอ่ยถามอย่างสงสัย “มันคืออะไร?”

“มันคือการปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีดของเจ้า” อาร์ทิสตอบ “วัตถุหยินทุกชนิดที่ถูกใช้โดยยมทูต ล้วนเป็นสมบัติที่ถูกอาบด้วยจิตวิญญาณของราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ทันทีที่เจ้าเลื่อนเป็นขั้นนักล่าวิญญาณและมีชื่ออยู่ในบันทึกนรก เจ้าก็จะสามารถอัญเชิญจิตวิญญาณของราชันย์วิญญาณทั้ง 6 มาได้โดยการหยดเลือดลงไปบนใบมีดของกระบี่ของเจ้า”

“พันธะเลือด?”

“จะเรียกแบบนั้นก็ได้…” อาร์ทิสเอ่ยต่อ

“ยิ่งใช้เลือดมาก จิตวิญญาณราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ที่ถูกอัญเชิญมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมาก…แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกรีดฝ่ามือไปแค่หนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น! เจ้านี่มันขี้ขลาดจริง ๆ”

“เจ้าไม่คิดถึงความเป็นไปได้ที่จิตวิญญาณของราชันย์วิญญาณทั้ง 6 ที่ถูกอัญเชิญมาจะไม่สามารถสังหารเชาโยวเต๋าบ้างหรือไร? หากเป็นเช่นนั้นแล้วเจ้าจะเป็นอย่างไร?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก “ท่านจะไปรู้อะไร! ข้าจะไม่มีทางทำสิ่งที่ไม่จำเป็น และนี่ก็เป็นผลจากการคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน! ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่าง ผลลัพธ์ที่ออกมาในตอนจบมันเป็นอย่างไร?”

อาร์ทิสยังคงเงียบ

สิ่งที่น่ารำคาญมากที่สุดก็คือความจริงที่ว่า เชาโยวเต๋านั้นอ่อนแอเกินไป! จนนางผิดหวังที่ทำให้ฉินเน่ต้องสูญเสียโอกาสการเรียนรู้จากสนามรบจริงไปได้เช่นนี้!

และตอนนี้ นางก็ไม่สามารถแม้แต่จะเถียงฉินเย่ได้เลย!

“ครั้งนี้เจ้าก็แค่โชคดี…” อาร์ทิสเอ่ยลอดไรฟัน

“เจ้าควรรีบไปเอาบันทึกนรกมาเสีย หากข้าเดาไม่ผิด หลุมตรงหน้านี้น่าจะพาเราไปสู่นรก อันที่จริง มันอาจจะเคยเป็นหนึ่งในทางผ่านระหว่างนรกและแดนมนุษย์ก็ได้ และบันทึกนรกก็น่าจะบังเอิญหลุดมาที่นี่ในระหว่างที่เกิดการล่มสลายครั้งใหญ่ ซึ่งมันก็คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เชาโยวเต๋าสามารถรอดชีวิตมาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้”

ฉินเย่ยืนอยู่ข้างหลุม เขากำลังยื่นคอออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และมองลงไปในหลุมอย่างระมัดระวัง พอเห็นท่าทางขี้ขลาดนี้ มันทำให้อาร์ทิสรู้สึกอยากจะทุบหัวอีกฝ่ายให้ตกลงไปในหลุมเสียเดี๋ยวนี้เลย

“ทางผ่าน?”

อาร์ทิสตอบ “ใช่ มันมีทางผ่านพวกนี้กระจายตัวอยู่ทั่วทั้งประเทศจีน ส่วนมากจะอยู่ในที่ที่มนุษย์ไม่สามารถหาพบ เจ้าคิดว่าพวกเจ้าหน้าที่ในนรกมาทำงานบนแดนมนุษย์ได้อย่างไร? แค่ ‘ฟึ่บ’ แล้วก็โผล่ขึ้นที่โลกมนุษย์เลยอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้า

จากนั้น ขณะที่แววตาของอาร์ทิสลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งโทสะ ฉินเย่ก็เริ่มหยิบซากปรักหักพังที่อยู่โดยรอบและโยนมันลงไปในหลุม!

“นั่นเจ้ากำลังทำบ้าอะไร?!!” อาร์ทิสรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังเข้าสู่วัยทอง ยิ่งนางได้รู้จักฉินเย่มากขึ้น นางก็พบว่าตัวเองยิ่งถูกกระตุ้นโทสะ จากการกระทำของอีกฝ่ายมากเท่านั้น และนางอยากจะกรีดร้องใส่หน้าของเด็กหนุ่มจริง ๆ ที่ทำให้นางรู้สึกอย่างนั้น

“แม้ว่าบันทึกนรกจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสมบัติพื้นฐานทั้งสามชิ้น แต่มันก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่ในการถือครองของพระยมในพระตำหนักที่สาม ส่องตี้หวาง! พลังของขุมนรกเชือกดำ! มันอยู่ห่างจากการเป็นหนึ่งในสมบัติพื้นฐานเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น! หากปราศจากมัน เจ้าก็จะสามารถทำได้เพียงเลื่อนขั้นของตัวเองเท่านั้น แต่จะไม่สามารถเลื่อนขั้นให้ผู้อื่นได้!! เจ้าจะไม่สามารถมีคนเป็นของตัวเองได้!”

ฉินเย่มองอาร์ทิสอย่างสับสน “แล้วเหตุใดที่ข้าจะต้องส่งเสริมให้กับคนอื่น ๆ ด้วย?”

“ฟังนะ สมมุติว่าตอนนี้ข้ามีมันอยู่ในมือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เป็นภัยต่อการมีชีวิตอยู่ของข้าก็จะถูกกำจัดออกไปจากโลกใบนี้ทันที หรือหากพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือตราบใดที่ข้ายังมีเศษตราชิ้นนี้ ข้าก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขไปตลอดกาล!”

ทันใดนั้น อาร์ทิสก็เงียบไป

“เสี่ยวอา?” หลังจากที่เงียบไปหลายนาที ฉินเย่ก็เริ่มเป็นกังวลว่าสิ่งที่เขาทำลงไปจะทำให้อาร์ทิสเสียชีวิตจากอาการก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

“ฮ่า ๆ ๆ…นั่นคือสิ่งที่เจ้าคิดมาตลอดสินะ…” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง อาร์ทิสก็หัวเราะออกมาเสียงเย็น

“ทำไมเจ้าไม่ลองย้อนกลับไปคิดทบทวนอย่างรอบคอบอีกครั้งล่ะ? ด้วยสถานะบุคคลสำคัญในนรกของยายเมิ่ง ทำไมนางถึงไปอยู่ที่แดนมนุษย์นานขนาดนั้น? นางพยายามจะทำสิ่งใดกันแน่?”

และก่อนที่ฉินเย่จะได้ตอบอะไรออกไป นางก็เอ่ยต่อเสียงต่ำว่า “หากเพื่อเศษตราจ้าวนรกเพียงชิ้นเดียว เจ้าคิดว่าข้าจะพยายามอย่างหนักในการแย่งดวงวิญญาณของหวังเจ๋อหมินอย่างนั้นหรือ?”

“เจ้าหนู…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไม่ยอมพิจารณาสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นจริงเป็นจังหรือว่าเจ้าแค่ปฏิเสธยอมรับมัน แต่ความจริงของเรื่องนี้ก็คือสิ่งที่เจ้าไม่สามารถหนีได้….”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเคร่งเครียดอย่างไม่สามารถหาที่เปรียบได้ “เศษตราจ้าวนรก…คือสมบัติชิ้นแรกในบรรดาสมบัติพื้นฐานทั้งสามของนรก น้ำพุเหลือง ซึ่งเป็นรากฐานของนรกนั้นถูกซ่อนอยู่ภายในตราจ้าวนรก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การรวบรวมเศษตราจ้าวนรกนั้นเท่ากับการฟื้นฟูนรก!”

“ประตูนรกจะเปิดออกอีกครั้ง ระเบียบจะกลับคืนสู่นรก ทุกอย่างในนรกจะฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์เหมือนอย่างก่อนหน้านี้! นี่…ไม่ต่างจากการถือกำเนิดของนรก!”

“พอได้แล้ว!” ฉินเย่ตะคอกเสียงเย็น “ข้าไม่อยากฟัง”

อาร์ทิสหัวเราะ “หนี….เจ้าคิดจะหนีอีกแล้ว? แต่ข้าก็จะไม่ตำหนิเจ้าในเรื่องนี้ หน้าที่ของผู้ที่ครอบครองตราจ้าวนรกนั้นใหญ่หลวงนัก ใครก็ตามที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเจ้าต่างก็ต้องอยากปัดความรับผิดชอบทั้งนั้น แต่ยายเมิ่งก็ไม่ได้มอบโอกาสที่จะทำเช่นนั้นให้กับเจ้า!”

“เจ้าคิดว่าการที่นางยอมเลื่อนเวลาเวลาการจากไปของตัวเอง เพียงเพื่อที่นางจะได้มั่นใจว่าเจ้าจะยอมเล่นเกมรวบรวมของพวกนี้น่ะหรือ?”

“ผิดแล้ว! นางกำลังมองหาจ้าวนรกคนต่อไป! ผู้ที่สามารถรวบรวมเศษตราจ้าวนรกได้ครบจะสามารถทำให้น้ำพุเหลืองเริ่มไหลและสร้างนรกขึ้นมาอีกครั้ง! เขาผู้นั้นจะมีอำนาจในการแต่งตั้งพระยม ฝู่จวิน ตุลาการนรก และยมทูตขาวดำ! เขาจะทำให้นรกหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตและคืนความสงบสุขสู่แดนมนุษย์อีกครั้ง!! มันคือความรุ่งโรจน์อันสูงสุด!!”

“และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมวันนั้น…ข้าถึงพยายามอย่างหนักที่จะขโมยดวงวิญญาณของหวังเจ๋อหมินไปจากเจ้า! นี่คือเหตุผลว่าทำไมยายเมิ่งจึงตามหาตัวเจ้า! มันเป็นเพราะว่าเจ้าได้กินเห็ดเทียนสุ่ยเข้าไป และเจ้าก็เป็นอมตะ! เจ้ามีเวลาเหลือมากเพียงพอที่จะสามารถทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ให้สำเร็จ! นอกจากนี้ เจ้าเองก็อยู่ตัวคนเดียว เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานนี้!”

“หุบปาก!!” ฉินเย่คว้าลูกบอลผนึกและปามันใส่ผนังห้องอย่างแรง

ในขณะที่ลูกบอลผนึกร่วงลงกับพื้นพร้อมกับเสียงฮึดฮัด อาร์ทิสเหลือบมองไปทางฉินเย่ที่กำลังหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วงและหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน

“อย่างที่ข้าคิด…เจ้าเองก็พอจะเดาเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว…ข้ารู้ดีว่าเจ้านั้นฉลาดกว่าพวกสัตว์หน้าขนพวกนี้ หลังจากถูกขัดเกลาสั่งสมประสบการณ์มานานหลายปี เจ้าจะไม่พิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร? เจ้าคงเดาเรื่องทั้งหมดได้ตั้งแต่ตอนที่ข้าบอกว่าน้ำพุเหลืองนั้นถูกซ่อนอยู่ภายในตราจ้าวนรกแล้วใช่หรือไม่?”