บทที่ 50 เถ้าแก่ซ่งผู้ปราดเปรื่อง

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 50 เถ้าแก่ซ่งผู้ปราดเปรื่อง
สมบัติวิเศษระดับสูงสุด!

ไม่อยากเชื่อว่าจะเปิดได้สมบัติวิเศษระดับสูงสุดอีกชิ้นแล้ว!

ทุกคนที่มุงดูอยู่ในร้านวิญญาณสวรรค์พากันตกตะลึง!

“ประเสริฐนัก ค้อนนี่เหมือนจะแข็งแกร่งมาก!”

“ค้อนเปล่งแสงสายฟ้าสีม่วงทอง พลานุภาพโดดเด่นชวนให้คนอดตัวสั่นมิได้”

“ในมุมมองข้า ค้อนม่วงทองนี่เกรงว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าปิ่นขนหงส์เสียอีก”

……

ผู้มีวาสนาทั้งหมดต่างมองด้วยแววตาชื่นชมอิจฉา

ถึงแม้หินแร่วิญญาณที่ท่านเซียนเลือกแทนพวกเขาจะได้ของดีมาเช่นกัน แต่เมื่อเทียบมูลค่ากับค้อนฟ้าลั่นม่วงทองนี่แล้ว กลับเทียบกันไม่ได้เลย

เถ้าแก่ซ่งฝ่าฟันสร้างกิจการใหญ่ในสวนหมื่นวิญญาณได้ ย่อมมีความสามารถอยู่แล้ว

ถ้ารู้แต่แรกว่าแขวนคำกลอนคู่ไว้หน้าร้าน เดิมตามท่านเซียนซ้ายขวา จะทำให้ท่านเซียนช่วยค้นวิญญาณประเมินแร่ออกมาเป็นของวิเศษสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ละก็

พวกเขาก็คงจ้างขบวนตีฆ้องตีกลองคุยโวโอ้อวดให้ท่านเซียนเหมือนกัน!

เฮ้อ จะโทษก็ต้องโทษที่ตนเหนียมอายเกินไป ไม่ได้ใจกว้างอย่างเถ้าแก่ซ่ง ไม่อย่างนั้นตอนนี้คนที่ได้ค้อนฟ้าลั่นม่วงทองนี่ต้องเป็นตนไม่ใช่หรือ

พอนึกถึงตรงนี้ เหล่าผู้มีวาสนารอบกายต่างตีอกชกหัวกันใหญ่ สาบานในใจเงียบๆ ว่าครั้งหน้าจะต้องพยายามให้มากกว่านี้!

พยายามประจบท่านเซียนทุกวิถีทางให้ถึงระดับพึงพอใจที่สุด!

……………

พอเห็นเถ้าแก่ซ่งจ้องค้อนม่วงทองด้วยความตกตะลึงและหลงใหลแล้ว ผู้มีวาสนาคนที่สองกลอกตาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะอ้อมไปอยู่ข้างเถ้าแก่ซ่ง

“เถ้าแก่ซ่ง เถ้าแก่คิดจะรับสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไว้เองหรือ”

เถ้าแก่ซ่งได้สติกลับมา พูดเหมือนมีความคิดบางอย่าง “ขอบคุณสหายที่เตือน ข้าเข้าใจแล้ว

ตาแก่อย่างข้าจะไปหาสหาย แล้วดำเนินเรื่องเข้าร่วมลัทธิปรมาจารย์เซียน ส่วนมูลค่าของค้อนม่วงทองนี่ แน่นอนว่าต้องมีส่วนของท่านเซียนเอ้าเทียนด้วยครึ่งหนึ่ง”

ผู้มีวาสนาคนที่สองทำสีหน้าเลื่อมใส สมกับเป็นเถ้าแก่ซ่งจริงๆ!

หลายวันมานี้ เขาพูดจาโน้มหน้าโน้มหลังให้ผู้มีวาสนาแบ่งผลประโยชน์ให้ท่านเซียนห้าส่วน แต่ก็ต้องเสียเวลาพูดกับผู้มีวาสนาทุกคน หลังจากสาธยายถึงส่วนได้ส่วนเสียอย่างถี่ถ้วนแล้วถึงได้ยอมให้

มีเพียงเถ้าแก่ซ่งที่เขาแค่จี้จุดเพียงเล็กน้อย ก็เข้าใจทุกอย่างโดยพลัน

มิน่าเขาถึงได้เป็นเถ้าแก่ ระดับความฉลาดทางอารมณ์สังหารได้หลายคนในพริบตาเดียว!

…….

ผู้มีวาสนาคนที่สองเห็นเถ้าแก่ซ่งเดินไปหาเสิ่นเทียน ในนัยน์ตาไร้ซึ่งความโดดเดี่ยว

เถ้าแก่ซ่งหยิบค้อนม่วงทองบนพื้นขึ้นมา พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

ไม่เลวเลย เป็นของดีระดับสูงสุดที่พบเห็นได้ยากในท้องตลาดจริงๆ

ในค้อนม่วงทองยังสลักจารึกตราเวทสายฟ้าที่ลี้ลับเอาไว้ด้วย แค่ส่งพลังวิญญาณเข้าไป ก็จะกระตุ้นให้ตราเวทปล่อยสายฟ้าทรงพลังออกมาได้

หากเถ้าแก่ซ่งมองไม่ผิด ค้อนม่วงทองนี่น่าจะเคยเป็นสมบัติวิญญาณมาก่อน เพียงแต่ผนึกอยู่ในหินแร่วิญญาณนานเกินไปจึงสูญเสียแก่นราก ระดับชั้นตกลงมา

ถ้ามีผู้บำเพ็ญธาตุสายฟ้าเก่งๆ ใช้พลังวิญญาณธาตุสายฟ้าบริสุทธิ์บำรุงรักษามัน ให้เวลามันอีกสักหน่อย ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสยกระดับเป็นสมบัติวิญญาณได้เลย

หากให้เถ้าแก่ซ่งประเมินราคาค้อนม่วงทอง อย่างน้อยก็ต้องมีสามแสนก้อนศิลาวิญญาณ!

เสิ่นเทียนยิ้มเล็กน้อย “เถ้าแก่ซ่งเป็นอย่างไรบ้าง มันไม่ทำให้เจ้าผิดหวังละสิ!”

เถ้าแก่ซ่งขยับดวงตาเล็กน้อย พูดยิ้มๆ ว่า “ที่ไหนกันๆ ท่านเซียนสุดยอดจริงๆ ค้อนม่วงทองนี่ค่อนข้างไม่ธรรมดา ตาแก่อย่างข้ามองว่าน่าจะอย่างน้อยหนึ่งหมื่นก้อนศิลาวิญญาณ”

คำพูดของเถ้าแก่ซ่งทำให้คนที่มีความรู้เรื่องสมบัติรอบๆ พากันขมวดคิ้ว

เจ้าว่าสมบัติวิเศษระดับสูงสุดที่เปล่งแสงสายฟ้าม่วงทองทุกส่วนนี่ มีค่าเพียงหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณหรือ

เถ้าแก่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเถ้าแก่คนก่อนที่กดราคาต่อหน้าท่านเซียนมีจุดจบเป็นอย่างไร

ผู้มีวาสนาคนที่สองกับผู้มีวาสนาคนแรกมองเถ้าแก่ซ่งพลางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้

เดิมทีก็คิดว่าเถ้าแก่ซ่งเป็นคนฉลาด ตอนนี้ดูๆ แล้ว…

เฮ้อ จริงๆ เลย เถ้าแก่ซ่งก็ยังต้านความเย้ายวนไม่ไหว!

เสิ่นเทียนกลับไม่ได้ใส่ใจราคาที่เถ้าแก่ซ่งประเมิน ถึงอย่างไรเขาก็ช่วยคนค้นวิญญาณประเมินแร่ ไม่ได้คิดจะตักตวงผลประโยชน์อะไรมากอยู่แล้ว

ขอแค่ไอดำมืดเหนือศีรษะน้อยลงเรื่อยๆ ก็พอ

ก็ได้!

ความจริงสาเหตุหลักๆ คือเสิ่นเทียนไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มีค่าเท่าไร ถึงอย่างไรเขาก็เป็นตัวซวยที่โชคร้ายมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เขายากจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว

ไม่เคยมีเครื่องประดับระดับสูงอะไรมาแต่ไหนแต่ไร จะประเมินราคาอย่างแม่นยำได้อย่างไร

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เถ้าแก่ซ่งขาดทุน!”

เถ้าแก่ซ่งรีบตอบ “ท่านเซียนพูดอะไรอย่างนั้น หินแร่นั่นขายห้าร้อยศิลาวิญญาณ เปิดมาได้หมื่นศิลาวิญญาณก็เพิ่มเป็นยี่สิบเท่าแล้ว จะไปขาดทุนได้อย่างไร!”

เถ้าแก่ซ่งมีสีหน้าเขินอายทันที

เขามองเสิ่นเทียนพลางบอก “ตอนแรกข้าควรจะแบ่งให้ท่านเซียนห้าพันก้อนศิลาวิญญาณ แต่ช่วงนี้ร้านมีสินค้าเยอะมาก จึงหมุนเงินทุนไม่ทันจริงๆ”

คำพูดของเถ้าแก่ซ่งทำให้ผู้มีวาสนาทั้งหมดโดยรอบต่างมีสีหน้าโมโห

ทำแบบนี้ได้อย่างไร!

ท่านเซียนพูดแล้วว่าไม่ขอรับเงินจากผู้มีวาสนาแม้แต่แดงเดียว

เจ้าไม่อยากให้จริงๆ ก็ไม่ต้องให้สิ! ไม่ได้มีใครบังคับให้เจ้าให้สักหน่อย!

จะมาหาเหตุผลอะไร!

ช่วงนี้ร้านมีสินค้าเยอะมาก ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนจริงๆ แต่เจ้าเปิดร้านวิญญาณสวรรค์ใหญ่โต ร้านใหญ่ถึงเพียงนี้กลับบอกข้าว่าเจ้าเอาศิลาวิญญาณแค่ห้าพันก้อนออกมาไม่ได้หรือ

หนำซ้ำแม้แต่คนโง่ก็ยังมองออกว่าค้อนม่วงทองนี่มีมูลค่าไม่เบาเลย

ถ้าขายให้ผู้บำเพ็ญธาตุสายฟ้าจริงๆ คงได้สองสามแสนก้อนศิลาวิญญาณสบายๆ

แต่เจ้าประเมินราคาออกมาหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ คิดจะตบตากันรึ

เป็นโสเภณีแล้วยังจะสร้างซุ้มประตูพรหมจารีอีก ไร้ยางอายยิ่งนัก!

ชั่วขณะที่ทุกคนกำลังลับดาบ เตรียมจะออกหน้าแทนท่านเซียนนั้น

เถ้าแก่ซ่งเอ่ยอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าขายค้อนม่วงทองให้ท่านเซียนหนึ่งหมื่น หักค่าเหนื่อยที่ท่านเซียนค้นวิญญาณประเมินแร่ให้ข้าอีกห้าส่วน ก็เหลือห้าพันศิลาวิญญาณ หรือก็คือท่านเซียนให้ข้ามาห้าพันศิลาวิญญาณ ค้อนม่วงทองนี่ก็จะเป็นของท่านแล้ว

ศิลาวิญญาณในร้านมีตุนไว้ไม่พอ ข้าจึงได้แต่ใช้แผนหักส่วนต่างเช่นนี้ ถ้าในตัวท่านเซียนมีศิลาวิญญาณไม่พอ จะติดเอาไว้ก็ไม่เป็นไร ท่านว่าข้อเสนอของข้ามีตรงไหนไม่เหมาะสมหรือไม่”

เฮือก!

น่ากลัวยิ่งนัก!

เมื่อเถ้าแก่ซ่งเอ่ยจบ

ผู้มีวาสนาคนแรกคุกเข่าลง ผู้มีวาสนาคนที่สองคุกเข่าลง

บ้าจริง!

เถ้าแก่ซ่ง ท่านสมกับเป็นเถ้าแก่ซ่งจริงๆ!

ท่านกำลังรอปิดฉากอยู่ตรงนี้นี่เอง!

เห็นๆ อยู่ว่าเป็นสมบัติวิเศษระดับสูงสุดที่มีมูลค่าสามแสน ตามหลักห้าส่วนต่อห้าส่วน ก็ต้องแบ่งอย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาวิญญาณ!

แต่ตอนนี้ท่านประเมินราคาไว้หนึ่งหมื่น ลดลงครึ่งหนึ่งอีกห้าพันก็ขายไปเลย!

การให้สินบนของท่านในครั้งนี้ทำได้ไหลลื่นเป็นธรรมชาติจริงๆ!

จบอุบายต่อเนื่องชุดนี้แล้ว ยังต้องกังวลว่าจากนี้ไปจะสิ้นวาสนากับท่านเซียนในเร็ววันอีกหรือ!

ต้องพูดว่าในตอนนี้ แม้แต่ผู้มีวาสนาคนที่สองยังอดกราบไหว้ไม่ได้

เดิมทีคิดว่าเขาอยู่ขั้นสาม ผู้มีวาสนาคนอื่นๆ อยู่ขั้นสอง ส่วนเถ้าแก่ซ่งที่หลงผิดมัวเมาในความละโมบยังอยู่ขั้นหนึ่ง

ตอนนี้มาดูแล้ว อีกฝ่ายไปถึงขั้นเก้าตั้งนานแล้วต่างหาก!

บุคคลต้นแบบ เถ้าแก่ซ่งท่านคือบุคคลต้นแบบของข้าจริงๆ!

การดำเนินแผนช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก!

……..

ทางด้านเสิ่นเทียนก็อึ้งไปเช่นกัน

ขอสารภาพตามตรง เขาไม่ค่อยเข้าใจเลยว่าค้อนนี่มีค่าเท่าไร

แต่มองจากภายนอกแล้วไม่ค่อยแย่นัก!

เสิ่นเทียนรับค้อนม่วงทองมา กำมือขวาช้าๆ

อื้อหือ! น้ำหนักมากพอสมควรเลย!

กำไว้ในมือรู้สึกเหมาะมือมาก มุทะลุมาก!

ถ้าใช้น้ำมวลหนักปฐมกาลเสริมเข้าไปอีก น่าจะเหมาะกับเป็นอาวุธที่ใช้ทุบวอลนัทได้พอดี!

พอนึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนก็มองไปทางเถ้าแก่ซ่ง

“ตกลง ข้าค่อนข้างชอบค้อนม่วงทองนี่เลย ในเมื่อเถ้าแก่ซ่งมีเงินทุนหมุนไม่พอ อยากขายเป็นศิลาวิญญาณละก็ ข้าจะรับซื้อไว้แล้วกัน! แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไว้ว่าจะไม่รับเงินจากผู้มีวาสนาแม้แต่แดงเดียว ดังนั้นห้าพันก้อนศิลาวิญญาณนี่ช่างมันเถอะ

หนึ่งหมื่นแล้วกัน ข้าจะขอซื้อค้อนม่วงทองนี้ไว้ในราคาหนึ่งหมื่นก้อนศิลาวิญญาณ แบบนี้เถ้าแก่ก็จะไม่ขาดทุนแล้ว เถ้าแก่คิดเห็นอย่างไรบ้าง”

…………………………