ตอนที่ 701 ยังไงก็ต้องมีจุดบกพร่อง

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

หลงเจี่ยยักไหล่ทั้งสองข้าง เธอเองก็ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของวงการใหม่นี้เช่นกัน

 

 

เพื่อที่จะเร่งกระบวนการตามหาความจริง โม่ถิงสั่งให้ลู่เช่อติดต่อเจ้าของเว็บนิยายนั้นแล้วขอให้พวกเขาส่งหลักฐานมาให้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่อาณาจักรขนาดยักษ์อย่างไห่รุ่ย แต่ก็ยังมีเอกสารที่มีผลตามกฎหมายและรีบดึงไฟล์จากเมื่อสามปีก่อนออกมาอย่างรวดเร็ว สัญญาที่ประทับตราอย่างเป็นทางการของนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นั้นพิสูจน์ว่าเมื่อสามปีก่อนนิยายเรื่องนี้มีอยู่จริง นี่เป็นหลักฐานที่แน่นหนามาก

 

 

“ท่านประธานครับ ทุกอย่างบ่งชี้ไปที่การคัดลอกผลงานอย่างเห็นได้ชัดและอีกฝ่ายก็ส่งหลักฐานมาให้เราแล้ว บทของผู้อาวุโสอู๋นั้นเป็นผลงานที่คัดลอกมาอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ”

 

 

โม่ถิงมองไปยังกระดาษสัญญาที่มีสีเหลืองจางๆ แล้วอ่านเนื้อหาของมันอย่างละเอียดก่อนจะโยนมันไว้ข้างๆ

 

 

“สืบต่อไป”

 

 

“คุณยังอยากสืบสวนต่อเหรอครับ” ลู่เช่อเอ่ยถาม เมื่อโม่ถิงเงยหน้าขึ้นมา ลู่เช่อก็จับศีรษะของเขาอย่างประหม่า “ที่ผมจะสื่อก็คือ เราควรคิดหาทางเยียวยาสถานการณ์แทนไหมครับ”

 

 

“ถ้าฉันพยายามเยียวยาสถานการณ์ก่อนที่จะรู้ความจริง ฉันอาจเจอปัญหาอื่นๆ ได้ ไห่รุ่ยจะมีแต่ต้องตบหน้าตัวเอง”

 

 

โม่ถิงเป็นผู้นำของไห่รุ่ย ทว่าเขาไม่เคยปล่อยให้ใครใช้ลูกเล่นสกปรกเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพวกเขา แม้หลายๆ ครั้งคนดีกับคนเลวจะได้พบกันในวงการบันเทิงบ้างก็ตาม

 

 

“แล้วถ้าผลการสืบสวนของเรายังเป็นเหมือนเดิมล่ะครับ”

 

 

“ยังไงก็ต้องมีจุดบกพร่องบ้างนั่นล่ะ”

 

 

ทำไมเขาถึงมั่นใจมากอย่างนั้นหรือ เพราะชายหนุ่มหยิบบทนี้ขึ้นมาจากกองบทเรื่องอื่นๆ ตอนที่เขานำบทฉบับนั้นไปให้ถังหนิง เขาได้ทำการค้นคว้ามาแล้ว ไห่รุ่ยไม่มีวันปล่อยให้เกิดการคัดลอกผลงาน ดังนั้นนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ นี้มาจากที่ไหนและมีสัญญาเป็นหลักฐานได้อย่างไร โม่ถิงพบว่ามันแปลกมากเหลือเกิน

 

 

ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจ

 

 

อย่างไรก็ตาม เวลาดูจะไม่ปรานีความคืบหน้าอันแสนเชื่องช้า หลังจากที่ข่าวฉาวเรื่องการคัดลอกผลงานบานปลายออกไป นักเขียนนิยายออนไลน์คนนั้นก็ออกมาพูดในที่สุด เขาจ้างทนายความมาหนึ่งคนและพร้อมที่จะร้องเรียนลิขสิทธิ์

 

 

เขาถึงกับบรรยายว่าไห่รุ่ยเป็นดั่งฉลามยักษ์ที่สามารถกลืนกินปลาเล็กๆ อย่างเขาได้ทั้งเป็น ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องชี้แจงสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะสามารถทำให้ไห่รุ่ยถูกจับตามองและถูกตรวจสอบได้

 

 

เขาเรียกไห่รุ่ยว่าเป็นฉลามยักษ์!

 

 

นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้ไห่รุ่ยประพฤติตนให้เหมาะสมและหยุดปกป้องนักเขียนบทคนนั้นเสียที เขาไม่เพียงแต่เรียกร้องค่าชดเชยและคำขอโทษแต่ยังบอกให้ไห่รุ่ยระงับการฉาย ‘คนรักที่สาบสูญ’ ในโรงภาพยนตร์ทุกแห่งโดยอ้างว่านี่คือหนทางเดียวที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว

 

 

ในฐานะที่เป็นเหยื่อ ทุกคำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผล

 

 

แล้วจู่ๆ เขาก็ดูเหมือนจะพูดแทนนักเขียนทุกคนในประเทศ นักเขียนทุกคนรวมตัวกันคว่ำบาตร ‘คนรักที่สาบสูญ’ อย่างรวดเร็วและเรียกร้องให้ผู้อาวุโสอู๋ออกมาขอโทษต่อหน้าสาธารณชน

 

 

ในตอนนั้นหลักฐานทุกชิ้นบ่งชี้ว่าผู้อาวุโสอู๋เป็นพวกลอกเลียนผลงานคนอื่น มันรู้สึกเหมือนกับไม่มีใครสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้

 

 

ผู้อาวุโสอู๋ทั้งโกรธทั้งรู้สึกแย่ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสาธารณชนที่ไร้ความสามารถในการแยกแยะถูกผิด เขาก็ถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ

 

 

[รีบออกมาขอโทษได้แล้ว! หยุดขี้ขลาดเสียที!]

 

 

[เมื่อก่อนนักเขียนบทคนนี้เขียนบทดีๆ เอาไว้มากมาย ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องผิดพลาดอย่างนี้ หรือบางทีพรสวรรค์ของเขาจะหมดลงแล้ว]

 

 

[ไม่ว่ายังไงฉันก็คิดว่าพวกนักลอกผลงานควรจะตายๆ ไปให้หมดซะ]

 

 

 

 

เมื่อเห็นความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ ครอบครัวของผู้อาวุโสอู๋ก็ไม่กล้าบอกเขาเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือพากันนั่งถอนหายใจ

 

 

ขณะเดียวกัน ถังหนิงรุดไปเยี่ยมชายชราหลังจากที่รู้ว่าเขาล้มป่วย

 

 

“คุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เลยค่ะคุณถัง มันไม่ใช่ความผิดของคุณ อีกอย่างคุณเองก็ใกล้จะคลอดแล้ว นี่มันอันตรายมากเลยนะคะ” ภรรยาของผู้อาวุโสอู๋อุทาน “ตาแก่ของฉันเป็นคนซื่อสัตย์มาตลอดทั้งชีวิต ฉันไม่เชื่อว่าจะมีคนตัดสินใจมาใส่ร้ายเขาและจะไม่มีวันเชื่อว่าเขาลอกงานของใคร ในทางกลับกัน”

 

 

“หลานชายของฉันกลับเรียกคุณปู่ของเขาว่าคนไร้ยางอายระหว่างที่ทานอาหารเย็นเมื่อวานนี้! ถ้าเป็นคนอื่นฉันคงไม่ใส่ใจอะไรนัก แต่บอกฉันสิคะว่าตาแก่ของฉันจะรับมือกับทั้งหมดนี่ยังไงด้วยอายุปูนนี้”

 

 

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็พยายามปลอบใจหญิงชรา “ฉันเชื่อในตัวผู้อาวุโสอู๋ค่ะ ดังนั้นฉันจึงยังไม่ยอมแพ้เรื่องล้างมลทินให้เขา ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงบทของเขาค่ะ”

 

 

“ขอบคุณมากค่ะคุณถัง”

 

 

ถังหนิงส่ายหน้า ในความเป็นจริงแล้ว หญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เพราะเธอสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเพ่งเป้ามาที่เธอและผู้อาวุโสอู๋ก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง

 

 

ถังหนิงไม่สงสัยเลยว่าใครคือผู้ร้ายที่อยู่เบื้องหลังความยุ่งเหยิงนี้ นอกเหนือจากซ่งซินแล้วจะมีใครอีกล่ะ

 

 

อันดับแรก ซ่งซินเป็นเพียงคนเดียวที่มีความแค้นกับเธอ และอย่างที่สอง ซ่งซินเป็นนักเขียน เธอย่อมเข้าใจว่าเว็บอ่านนิยายออนไลน์นั้นทำงานอย่างไร

 

 

อย่างไรก็ตาม ถังหนิงยังคงต้องการหลักฐานที่แน่นหนา

 

 

ดังนั้นหลังจากไปเยี่ยมผู้อาวุโสอู๋เสร็จ ถังหนิงจึงกลับไปที่บ้านแล้วขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานเพื่ออ่านนิยายทั้งห้าแสนสี่หมื่นตัวอักษรนั้นตั้งแต่ต้น…

 

 

ทว่า…ถังหนิงไม่ได้คาดว่าปัญหานี้จะร้ายแรง ใต้ความกดดันอันรุนแรงของโลกอินเทอร์เน็ตรวมถึงความเข้าใจผิดและความแคลงใจจากครอบครัว ผู้อาวุโสอู๋เขียนพินัยกรรมและกินยาเกินขนาดเพื่อที่จะฆ่าตัวตายในวันที่สามหลังจากที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แม้ครอบครัวจะพบตัวเขาได้ทันเวลา ปริมาณยาจำนวนมากนั้นก็ได้ส่งผลกระทบทำให้สมองเสียหายและทำให้เขายังไม่ฟื้นจากอาการโคม่า ขณะเดียวกัน เหล่าคุณหมอก็เตือนว่าถึงชายชราจะฟื้น ความเสียหายนั้นก็ยังร้ายแรงและอาจส่งผลให้เป็นโรคสมองเสื่อม

 

 

ทว่าจนกระทั่งตอนนี้ โลกอินเทอร์เน็ตก็ยังคงอ้างว่าสมควรกับเขาแล้ว และการที่เขาฆ่าตัวตายเพราะความรู้สึกผิดนั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง พวกเขาถึงกับสงสัยว่าทำไมชายชราถึงไม่ตายและจบทุกอย่างให้เรียบร้อยไปเสีย

 

 

“ไร้สาระสิ้นดี! เดี๋ยวนี้โลกอินเทอร์เน็ตน่ากลัวจริงๆ ชายชราคนนั้นโดนผลักมาจนถึงจุดนี้แล้วแต่พวกเขาก็ยังพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ ฉันรู้สึกแย่แทนผู้อาวุโสอู๋จังค่ะ…”

 

 

หลังจากได้ยินความคิดเห็นของหลงเจี่ย ถังหนิงก็ตบโต๊ะเสียงดังลั่น หลงเจี่ยยกมือขึ้นมาทาบอกด้วยความหวาดกลัว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นถังหนิงบันดาลโทสะ อารมณ์ของหญิงสาวนั้นไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเธอมาก่อน

 

 

“คุณถังหนิงคะ…”

 

 

“ขอฉันอยู่เงียบๆ หน่อยนะ…”

 

 

หลงเจี่ยเข้าใจว่าถังหนิงอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าแล้วถอยออกจากห้องทำงานอย่างเงียบเชียบ ขณะที่กำลังจะหมุนตัวจากไป เธอก็พบว่าร่างสูงๆ ของโม่ถิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตู

 

 

ผู้กอบกู้มาถึงแล้ว!

 

 

“นายใหญ่คะ…คุณถังหนิงกำลังโกรธค่ะ”

 

 

“ฉันได้ยินแล้วล่ะ” โม่ถิงตอบนิ่งๆ “เธอไปได้แล้ว ฉันจะดูแลถังหนิงเอง”

 

 

“ค่ะ” หลงเจี่ยวางใจขึ้นเยอะเมื่อมีโม่ถิงอยู่ ไม่มีใครอยากเห็นผลลัพธ์ในตอนที่อะไรๆ เลยเถิดมาจนถึงจุดนี้

 

 

ครู่ต่อมา โม่ถิงผลักประตูเข้าไปในห้องทำงาน ทันทีที่เห็นถังหนิงนั่งสิ้นท่าอยู่บนโต๊ะคอมพิวเทอร์ ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปดึงตัวหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขน “คุณจะเป็นแม่คนแล้วนะ ไม่รู้วิธีวิเคราะห์สถานการณ์และตอบโต้อย่างเหมาะสมเหรอครับ”

 

 

“ถิงคะ…ดูเหมือนฉันจะหาคำตอบของปัญหาในครั้งนี้ไม่ได้เลย ฉันหามันไม่เจอจริงๆ …”

 

 

“คุณแค่รู้สึกสับสนครับ ใช่ว่าจะหาคำตอบไม่ได้สักหน่อย” โม่ถิงปลอบพลางกอดเธอเอาไว้ “นี่คือสภาพที่ศัตรูอยากจะเห็นคุณครับ ยิ่งคุณโทษตัวเองมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งมีความสุข”

 

 

“แต่ว่า…”