เล่ม 1 ตอนที่ 61 ศึกล้างอาย

ราชินีพลิกสวรรค์

งานประลองชิงเจียวดำเนินมาถึงวันที่เจ็ด การคัดเลือกรอบแรกใกล้สิ้นสุดลงแล้ว

 

 

รอบๆ หุบเขาปู้กุยผู้เข้าร่วมการประลองยังคงมุ่งมั่นกับการแข่งขัน ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็จะไม่ยอมแพ้

 

 

เพียงแต่ว่าพวกเขาเจอคู่ต่อสู้ยากขึ้น ไม่รู้ว่ายังเหลืออีกกี่คน

 

 

รายงานเหตุการณ์ทั้งเจ็ดวันถูกส่งเข้าไปที่จวนตระกูลลู่ในเมืองซูหนานอย่างเงียบๆ รายงานลู่เจี้ยเรื่องความเคลื่อนไหวของเจียงหลีในการประลอง เรื่องการปรากฏตัวของไป๋หลี่เฟิ่งและเรื่องการมาเยือนขององค์หญิงอันผิง

 

 

“นายน้อย องค์หญิงอันผิงมาถึงเมืองซูหนาน ไม่มาทักทายนายน้อยเลย แบบนี้มันไร้มารยาท” ผู้ดูแลตระกูลลู่พูดกับลู่เจี้ยอย่างไม่พอใจ

 

 

ถึงอย่างไรองค์หญิงอันผิงมู่หว่านโหรวก็ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นนายน้อยของพวกเขา มาถึงที่แล้วแต่ไม่มาทักทายกัน ช่างไร้มารยาทจริงๆ

 

 

แต่ลู่เจี้ยกลับไม่สนใจแล้วยิ้มอย่างคลุมเครือ “นางเป็นผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ ไม่มาหาข้าผู้ที่เจ็บป่วยก็เป็นเรื่องปกติ ข้ายังไม่โกรธ แล้วเจ้าจะโกรธอะไร”

 

 

ผู้ดูแลพูดอย่างไม่ยินยอม “แต่ว่านายน้อย ถึงอย่างไรองค์หญิงอันผิงก็เป็นคู่หมั้นของท่าน นางทำแบบนี้ เป็นการไม่ไว้หน้าท่าน ไม่ไว้หน้าตระกูลลู่ต่อหน้าเฮ่อเหลียนเฟิง”

 

 

“คู่หมั้นหรือ” ลู่เจี้ยน้ำเสียงเย็นชา เขาพูดกึ่งยิ้ม “เดี๋ยวก็ไม่ใช่แล้ว”

 

 

ผู้ดูแลได้ยินคำพูดนี้ก็ถามด้วยความตกใจว่า “นายน้อย ท่านหมายความว่าอย่างไร”

 

 

รอยยิ้มลู่เจี้ยไม่เปลี่ยน พูดอย่างคลุมเครือว่า “เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะให้หลานสาวผู้มีพรสวรรค์แต่งงานกับคนตระกูลลู่ ผู้ที่เป็นเหมือนหนามยอกอกจริงๆ หรือ แต่มู่หว่านโหรวรีบไปหน่อย ถ้าหากรออีกหน่อย นางจะได้อิสระภาพคืนในรูปแบบที่ดีกว่านี้ เสียดายที่นางไม่มีความอดทน จะมาเมืองซูหนานให้ได้”

 

 

พูดจบ ลู่เจี้ยมองต่ำแล้วอมยิ้ม ในใบหน้าที่มันวาวสะท้อนให้เห็นถึงความเยือกเย็น

 

 

พยักหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ไม่เพียงแต่มา แล้วยังแสดงออกว่าชื่นชอบไป๋หลี่เฟิ่งอย่างไม่เป็นกังวลเลยสักนิด ถ้าเรื่องนี้ออกไป จะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงของนายน้อย”

 

 

ถึงเวลา คนอื่นจะหัวเราะลู่เจี้ยลับหลัง แม้แต่คู่หมั้นของตัวเองก็เอาไม่อยู่ โดนเด็กหนุ่มแย่งคู่หมั้นไป

 

 

แต่ว่าลู่เจี้ยไม่ได้สนใจ กลับแสดงความชื่นชมเสียด้วยซ้ำ “อ้อ ไป๋หลี่เฟิ่งนี่ฝีมือไม่เลวจริงๆ แต่เสียดายนิสัยดื้อรั้น ไม่รู้จักปรับตัว เป็นคนที่เก่ง แต่ไม่เชื่อฟังแล้วจะเป็นผู้ที่ใช้งานได้เยี่ยงไร”

 

 

ผู้ดูแลพูดในใจ นายน้อยของเขา สติปัญญาล้ำเลิศ วางแผนแม่นยำ แค่ฝึกพลังไม่ได้ โดนคนอื่นดูถูก องค์หญิงอันผิงนั่นก็มีตาหามีแววไม่ สมน้ำหน้าที่ไม่มีโชค!

 

 

ทันใดนั้น เขานึกถึงเจียงหลี เปิดปากถามถึง “นายน้อย เจียงหลีเข้ารอบสิบคนสุดท้าย ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแล้ว รอตอนนางได้ประลองกับเย่ว์หนานซีแห่งตระกูลเย่ว์ ตระกูลเย่ว์ต้องมีคนไปรอก่อนแล้ว พวกเราส่งคนไปไหมขอรับ”

 

 

ลู่เจี้ยกลับหน้านิ่งแล้วหัวเราะอย่างคลุมเครือ “หลีเอ๋อร์จัดการเองได้”

 

 

ผู้ดูแลงุนงง

 

 

เขาอยู่กับลู่เจี้ยมาหลายปี ผู้หญิงคนเดียวที่ลู่เจี้ยเมตตา ในใจของลู่เจี้ยก็ชอบนางอยู่บ้าง แต่ว่าคำตอบของลู่เจี้ยกลับทำเขาไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วสนใจนางหรือว่าไม่สนใจ

 

 

 

 

เต๊ง!

 

 

การประลองชิงเจียวรอบคัดเลือกรอบแรก เสียงฆ้องของการสิ้นสุดดังขึ้ง

 

 

คนที่เหลือสิบคนสุดท้าย เดินออกมาจากหุบเขาปู้กุยอย่างช้าๆ

 

 

คนที่ตกรอบเหล่านั้น และคนที่ดูอยู่รอบๆ เห็นสิบคนสุดท้ายเดินออกมา ส่วนมากไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้

 

 

“ดู นั่นคือไป๋หลี่เฟิ่งแห่งเมืองเฉาซี!”

 

 

“เขาสามารถเข้ารอบสิบคนสุดท้ายได้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย! มีอะไรให้น่าตกใจ”

 

 

“ข้าตกใจที่เขาเข้ารอบสิบคนสุดท้ายที่ไหนกัน ข้าตื่นเต้นที่ได้เห็นไป๋หลี่เฟิ่งตัวเป็นๆ ต่างหาก สมกับที่ข้าคุยโวโอ้อวดไว้”

 

 

“ไป๋หลี่เฟิ่งคนนี้ เริ่มชื่อเสียงเลื่องลือตั้งแต่ปีที่แล้วที่จากศึกครั้งนั้น”

 

 

“แน่นอน บุกจวนเจ้าเมืองคนเดียว ความกล้าหาญเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็จะมี”

 

 

“เอ๊ะ นายน้อยเย่ว์ก็ออกมาแล้ว”

 

 

“ฮาๆ ถึงแม้ว่าก่อนหน้าเย่ว์หนานซีจะถูกข่าวการถูกสาวใช้ถอนหมั้นที่อื้อฉาวกวนใจ แต่ด้วยพรสวรรค์ของเขา ก็แสดงให้เห็นแล้ว ขอเพียงเขาเข้มแข็งอย่างนี้ต่อไป เรื่องอับอายแค่นี้ ต่อไปจะมีใครกล้าพูดต่อหน้าเขาอีก”

 

 

“แต่ว่าข้าได้ยินมาว่าสาวใช้ที่ถอนหมั้นในวันนั้นก็มาเข้าร่วมการประลองด้วย แต่ไม่รู้ว่า…”

 

 

“เจ้าจะสนใจทำไมกัน พวกเรามาดูการประลอง”

 

 

กลุ่มคนที่ดูอยู่รอบๆ พูดคุยกันแต่เรื่องผู้เข้ารอบสิบคนสุดท้าย

 

 

เย่ว์หนานซีเดินออกมาอย่างองอาจ คนของตระกูลเย่ว์ที่รออยู่หน้าทางออกก่อนแล้ว ผู้คนมากมายต่างเบียดเสียดเข้าพร้อมกัน พูดชมเชยด้วยความเต็มใจ ทำให้แววตาที่ทะนงตัวอยู่แล้วยิ่งอวดดีเข้าไปอีก ยิ่งเชิดหน้าสูงขึ้นอีก

 

 

“หนานซี ข้าไปตรวจสอบมาแล้ว เจ้าอยู่กลุ่มประลองเดียวกับนังเด็กนั้น” ในแววตาของเย่ว์ชิงหลิวเต็มไปด้วยความปลื้มใจ

 

 

แววตาของเย่ว์หนานซีแสดงให้เห็นถึงความหยิ่งยโส “เดิมข้าก็ไม่ควรประลองกับนางในรอบสุดท้าย ถึงอย่างไรก็มีเรื่องที่เหยียดหยามข้า แต่ว่าความอับอายที่นางทำไว้กับข้า ก็ต้องชำระด้วยมือของข้าเอง” เจียงหลีสามารถเข้ารอบสิบคนได้? เขาไม่เชื่อ แต่ว่าในเมื่อท่านพ่อพูดเช่นนี้ คงเป็นเพราะว่าพวกเขาตระกูลเย่ว์แอบทำอะไรสักอย่าง ถึงอย่างไรความอับอายที่เจียงหลีทำไว้กับตระกูลเย่ว์ ต้องชำระให้หมดต่อหน้าคนอื่นๆ ถ้าหากว่านางไม่เข้ารอบ แล้วจะชำระแค้นได้อย่างไร

 

 

“อืม เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี” เย่ว์ชิงหลิวพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วก็พูดเตือนขึ้นมา “เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก การประลองชิงเจียวครั้งนี้ ไป๋หลี่เฟิ่งก็เข้าร่วม เกรงว่าผู้ที่เก่งกาจที่สุดอย่างไรก็ต้องเป็นเขา ถ้าหากเจ้าประลองกับเจียงหลี สามารถทำให้ผู้มีอิทธิพลของเมืองซั่งตูเห็นถึงพรสวรรค์ของเจ้า ก็เป็นผลดีกับเจ้า”

 

 

ไป๋หลี่เฟิ่ง!

 

 

ความกังวลปรากฏขึ้นในแววตาของเย่ว์หนานซี

 

 

ความเคียดแค้นในใจของเขา เขาเคยได้ยินมาว่าไป๋หลี่เฟิ่งเคยปฏิเสธโอกาสที่จะได้อยู่ที่เมืองซั่งตู ก็คิดว่าเขาคงไม่เข้าร่วมการประลอง แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเข้าร่วม แค่เขาปรากฏตัวก็ดึงความสนใจไปหมด

 

 

“ท่านพี่หนานซี…” ทันใดนั้น น้ำเสียงที่อ่อนหวานก็แทรกเข้ามา

 

 

เย่ว์หนานซีเงยหน้าขึ้น มองไปยังผู้ที่เหมือนกับดอกไม้ที่พลิ้วไหวท่ามกลางสายลม เจียงอวี๋ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนตระกูลเย่ว์ด้านนอก พูดด้วยแววตาเยือกเย็น “เจ้ามาทำไม”

 

 

เจียงอวี๋เม้มปาก แววตาแสดงให้เห็นถึงความกล้ำกลืน นางก็ไม่อยากมาในเวลานี้ แต่ทนคำพูดโน้มน้าวของท่านแม่ไม่ไหว ใครใช้ให้ลั่วเทียนเจียวจะไร้ประโยชน์เช่นนี้ แม้แต่การประลองรอบแรกก็ไม่ผ่าน ยังบาดเจ็บกลับมาอีก แต่เย่ว์หนานซีกลับผ่านเข้ารอบสิบคนสุดท้าย

 

 

“ท่านพี่หนานซี อวี๋เอ๋อร์…อวี๋เอ๋อร์มีเรื่องจะคุยด้วย อยากคุยกับท่านพี่เพียงลำพัง…” สายตาเจียงอวี๋แสดงให้เห็นถึงการขอร้อง ทำให้คนปฏิเสธไม่ลง

 

 

เย่ว์ชิงหลิวมองนาง แล้วมองลูกชายตัวเอง ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เขาเชื่อว่าลูกชายของตัวเองสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้

 

 

เดิมเย่ว์หนานซีอยากจะปฏิเสธ แต่พอเห็นท่าทางของเจียงอวี๋ ทำให้เกิดความสงสาร ยิ่งไปกว่านั้นตัวเขาเองก็มีความรู้สึกต่อเจียงอวี๋

 

 

“เจ้ามากับข้า” ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เย่ว์หนานซีกล่าวกับเจียงอวี๋