EP.59 การลอบโจมตีของจิ้งจอกอัคคี

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.58****ตาข่ายไร้รูป

  “ค่ายกลห่านป่า!”

       ในการสู้รบด้วยทหารม้า ค่ายกลห่านป่าเหมาะสำหรับใช้คนมากสู้กับคนน้อยที่สุด หากตกอยู่ในวงล้อมของค่ายกลห่านป่าแล้ว ถึงจะเป็นเทพก็หนีออกไปไม่ได้

      หลินมู่อวี่เดินขึ้นไปข้างหน้า ค้นตรงหน้าอกเสื้อของฮว๋าเทียน เป็นอย่างที่คิดไว้จริงด้วย มีตำราซ่อนอยู่เล่มหนึ่ง เป็นตำราเทพโอสถนั่นเอง หน้าปกมีรอยเลือด ไม่รู้ว่าเป็นเลือดของฮว๋าเทียนหรือของศิษย์ร้านโอสถไป่หลิงคนอื่นๆ หลินมู่อวี่รีบเก็บตำราเทพโอสถเข้าอกเสื้ออย่างรวดเร็ว ถือทวนยาวของฮว๋าเทียนขึ้นมาแล้วถอยหลังไป รวบรวมพลังปราณ ร่างกายโค้งดั่งคันศร

        “ไป!”

       สิ้นเสียงตะโกนดัง ทวนยาวก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู แทงทะลุหน้าอกของนายทหารม้าที่อยู่ด้านหน้าสุด นายทหารตกลงจากหลังม้า กลิ้งลงพื้นจนโคลนสาดกระเซ็น

       ในตอนนี้เอง ทหารม้าที่อยู่ทางปีกทั้งสองด้านเริ่มหุบเข้ามา ทหารม้าสองนายซ้ายขวายกกระบี่ขึ้นและพุ่งเข้าฟันหลินมู่อวี่ ในระหว่างที่รีบเข้ามาโจมตี หลินมู่อวี่เห็นเพียงใบหน้าที่ดุร้ายและสีหน้าที่ต้องการเอาชนะของทหารสองนาย พลังโจมตีอันมหาศาลของทหารม้าบวกกับความเร็วของดาบ เห็นได้ชัดว่าพลังโจมตีครั้งนี้สูงมาก

       ในช่วงที่วิกฤตอันตราย หลินมู่อวี่ยกแขนขึ้นเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา กระดองเต่าทมิฬ! 

      “ปัง!”

       เกิดแรงปะทะมหาศาลขึ้นที่แขนทั้งสองข้าง หลินมู่อวี่กระเด็นไปพร้อมกระบี่ ตกลงไปในโคลน แขนทั้งสองข้างชา ส่วนทหารม้าสองนายนั้นก็ไม่ดีไปกว่ากันสักเท่าไร ถูกกระดองเต๋าทมิฬกระแทกจนกลิ้งตกจากม้า และถูกทหารม้าที่ควบม้าตามมาด้านหลังเหยียบตาย ร้องโหยหวนอย่างเวทนา

      ในระหว่างที่หลินมู่อวี่ลุกขึ้นมานั้น ความปวดแสบปวดร้อนพลันแล่นมาที่หัวไหล่ เป็นเพราะถูกทหารม้านายหนึ่งใช้ทวนยาวแทงเข้าที่แขน

       หลินมู่อวี่ใช้กระบี่ฟันด้ามทวนที่เป็นไม้ออก ฉับเดียวด้ามทวนหักออกเป็นสองส่วน หลินมู่อวี่คำราม วิญญาณยุทธ์ปรากฏออกมาอีกครั้ง “ฟวับ” เถาวัลย์จากน้ำเต้าหลายเส้นพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน พันธนาการทหารม้าให้อยู่กับที่ เขาใช้มือซ้ายโจมตีออกไปอย่างรุนแรง หมัดเสียงปีศาจทำให้อวัยวะภายในของอีกฝ่ายแตกเป็นเสี่ยงๆ

       เท้าย่ำลงในแอ่งโคลน แขนของหลินมู่อวี่แดงก่ำ น้ำฝนไหลเข้าบาดแผลทำให้รู้สึกแสบ เขายกกระบี่ขึ้นมาแล้วรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว ใช้ท่าก้าวดาราย่างกรายเพิ่มความเร็ว ต้องรีบหนีให้พ้น ไม่เช่นนั้นแล้วเขาที่บาดเจ็บอยู่ต้องตายอยู่ในค่ายกลของทหารม้าอย่างแน่นอน

       อย่าว่าแต่ตนเองที่เพิ่งผ่านระดับสามสิบเป็นบรรพชนสงครามเลย ถึงจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตปราชญ์ระดับเก้าสิบก็ใช่ว่าจะเผชิญหน้ากับทหารม้าหลายร้อยนายซึ่งๆ หน้าได้ ถึงอย่างไรพละกำลังมนุษย์ก็มีจำกัด แต่ความร้ายกาจของค่ายกลทหารม้านั้นกลับต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

       โชคดีที่ฝีเท้าดาวตกนั้นเร็วมาก พุ่งตัวออกไปไม่กี่ครั้งก็หนีออกจากวงล้อมค่ายกลได้แล้ว

       “อย่าให้มันหนีไปได้ ไล่ตามไป ต้องฆ่ามันให้ได้ แก้แค้นให้ท่านเจ้าเมืองและท่านเจ้าเมืองน้อย!” ทหารม้านายหนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด

       หลินมู่อวี่วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง ตามบาดแผลมีเลือดไหลออกมา ทำให้เขาอ่อนแรงลง เขาอยากจะนำร่างของเซียงเซียงกลับมาด้วย ไม่อยากให้ร่างของเซียงเซียงต้องถูกกระทำย่ำยีอันใดอีก แต่ก็ไม่มีทางแล้ว หากเขากลับไป สิ่งที่รอต้อนรับเขาอยู่ก็คือความตายอย่างแน่นอน

      “ฉึก!”

       ทันใดนั้นหลังของเขาก็กระตุกขึ้นมา ความเจ็บปวดแล่นเข้ามา ทหารม้ายิงธนูทะลุเกราะศิลาเขียวของเขา คงจะเข้าเนื้อไปหลายเซนติเมตร ถึงแม้จะไม่ร้ายแรง แต่ก็ทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

       “หยุดไม่ได้ ต้องวิ่งต่อไป พี่ฉู่เหยารอข้าอยู่…”

       สายฝนทำให้วิสัยทัศน์พร่ามัว แต่เขายังคงไม่หยุดวิ่ง กระโดดเข้าไปในพุ่มไม้ หนามแทงเข้าตามเนื้อตัวรู้สึกเจ็บอย่างน่าประหลาด แต่พอนึกถึงเซียงเซียงที่ตายอย่างอนาจแล้วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีลูกธนูนับหมื่นดอกแทงทะลุหัวใจ นับประสาอะไรกับความเจ็บปวดแค่นี้

       “ข้าทำให้นางต้องตาย”

      เขาตำหนิตัวเองอยู่ในใจ เขาไม่ควรไปพูดกับเซียงเซียงเรื่อง “ศักดิ์ศรีต้องใช้ชีวิตช่วงชิงมา” นอกจากช่วยนางไม่ได้แล้ว ยังเป็นการทำร้ายนางอีกด้วย เขาทำอะไรลงไป

       พละกำลังค่อยๆ ไหลออกจากร่างกายไม่หยุด การโทษตัวเองอยู่ในใจยิ่งทำให้เขาใกล้ถึงขีดจำกัดเข้าไปอีก แต่ทุกครั้งที่เขาใกล้จะล้ม ในสมองของเขากลับนึกถึงฉู่เหยา หากเขาตายไป ฉู่เหยาจะทำยังไง นางคนเดียวจะเผชิญหน้ากับเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาจะล้มไม่ได้

       บางทีอาจเป็นความยึดมั่นนี้ที่ช่วยเขาไว้ได้

      หลินมู่อวี่วิ่งอย่างบ้าคลั่งเกือบยี่สิบนาที บาดแผลเต็มตัว พอหันกลับไปมองด้านหลังพบว่าไม่มีคนไล่ตามมาแล้ว นี่เป็นเส้นทางบนภูเขาที่ยาวอย่างน้อยหลายกิโลเมตร ไม่เหมาะกับการขี่ม้าไล่ตาม หากทหารม้าของเมืองหยินซานลงจากม้าไล่ตามละก็ ชัดเจนว่าความเร็วในการเดินเท้าของพวกเขาห่างไกลกับฝีเท้าดาวตกของหลินมู่อวี่อยู่มาก

       “อาอวี่!”

       ท่ามกลางวิสัยทัศน์ที่พร่ามัว เขาได้ยินเสียงของฉู่เหยา

      เข่าทั้งสองของหลินมู่อวี่อ่อนแรงทรุดลงไปอยู่ที่พื้น ล้มเข้าใส่อ้อมกอดของฉู่เหยา ซบอยู่ที่ไหล่ของนาง จมูกได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคย เขาโทษตัวเองไม่หยุด “ข้าขอโทษ…พี่ฉู่เหยา ข้าทำร้ายทุกคน ตำราเทพโอสถเล่มนี้ทำให้ท่านปู่ต้องตายอย่างอนาจ เป็นความผิดของข้า!”

       “เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ต้องพูดแล้ว!”

       ฉู่เหยามองบาดแผลบนแขนของเขาที่ถูกทวนแทง ตลอดจนลูกธนูที่อยู่บนหลัง น้ำตาไหลออกมาพร้อมสายฝน 

      กลางดึก เสียงฟืนที่เผาไหม้ดังเปรี้ยะเปรี้ยะอยู่ในถ้ำขนาดเล็ก นี่เป็นรังของหมีป่า แต่เจ้าของรังในตอนนี้นอนจมกองเลือดอยู่อีกด้าน เพื่อที่จะฆ่าหมีป่าตัวนี้ แขนของฉู่เหยาก็ได้แผลใหม่เพิ่มขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ถึงกับสาหัสเท่าคนที่นอนอยู่บนกองฟางแห้ง

      หลินมู่อวี่ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาคือใบหน้าด้านข้างของฉู่เหยา เขามองบาดแผลที่แขนที่ถูกพันไว้อย่างดีแล้ว แผ่นหลังยังคงเจ็บอยู่ แต่ไม่ได้เจ็บมากเหมือนก่อนหน้าแล้ว

       “ฟื้นแล้วเหรอ”

       ฉู่เหยาหันไปมองเขา พร้อมรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น จากนั้นก็คน “หม้อ” ที่อยู่บนกองไฟ ถึงจะพูดว่าหม้อ สู้เรียกว่าเป็นหินที่ถูกสกัดจนเป็นหลุมใหญ่จะดีกว่า เพื่อที่จะทำหม้อนี้ ฉู่เหยาใช้มีดสั้นคู่สกัดหินออกมาเป็นกองกว่าจะสำเร็จ ในหม้อเคี่ยวน้ำแกงไว้ วัตถุดิบก็คือเนื้อของหมีป่านั่นเอง และเพื่อที่จะช่วยให้หลินมู่อวี่ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ฉู่เหยาจึงควักหัวใจหมีออกมาเคี่ยวน้ำแกงด้วย

       “หิวแล้วละสิ รออีกเดี๋ยว น้ำแกงเนื้อใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ” ฉู่เหยาพูดเสียงนุ่มนวลคล้ายกับพี่สาวที่เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี

      แต่หลินมู่อวี่ก็เห็นบาดแผลที่แขนของฉู่เหยา “ข้าขอโทษ…”

       “เด็กโง่ ขอโทษอะไรกัน”

       “ไม่มีอะไร ขอบคุณท่านมาก”

      “กับศิษย์พี่ยังต้องเกรงใจอะไรอีกเล่า” ฉู่เหยายิ้ม แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป เม้มปากพูด “ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่เอาไหน ช่วยเจ้าไม่ได้เลยสักนิด แถมกลับกลายมาเป็นภาระเจ้าอีก ท่านปู่และศิษย์พี่ศิษย์น้องตายกันหมด แม้แต่เซียงเซียงก็ตายแล้ว พวกเรา…”

       หลินมู่อวี่ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมานั่ง พยุงตัวกับไหล่หอมของนาง ยิ้มพูด “พี่ฉู่เหยา อย่าตำหนิตัวเองเลย ข้าล้างแค้นให้พวกเขาหมดแล้ว”

       “เอ๋?” ฉู่เหยาตกตะลึง

       หลินมู่อวี่มองเปลวไฟที่สะบัดพลิ้วไหว ยิ้มบางๆ แล้วว่า “ฮว๋าหวันถูกข้าฆ่าตายแล้ว ฮว๋าเทียนก็ถูกข้าฆ่าตายเช่นกัน พวกมันเป็นตัวการ ข้าล้างแค้นให้ท่านปู่และศิษย์คนอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว”

      ฉู่เหยามองเขาด้วยสายตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “อาอวี่ เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่ไหม แต่ฮว๋าเทียน…เขาเป็นยอดฝีมือขั้นปราชญ์สงครามเลยนะ แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหยินซาน เจ้าฆ่าเขาสำเร็จได้ยังไงกัน”

       “ก็เพราะพวกมันนี่ไง…” หลินมู่อวี่ค่อยๆ หยิบมีดบินสี่เล่มที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา “มีดเสียงปีศาจ ทักษะยุทธ์ที่ผู้อาวุโสชวีฉู่สอนให้ หากไม่มีพวกมัน เกรงว่าข้าอาจจะตายด้วยหอกของฮว๋าเทียนไปแล้ว”

       ฉู่เหยาถอนหายใจเบาๆ “อืม แก้แค้นได้แล้วย่อมดี เพียงแต่…เกรงว่าต่อจากนี้พวกเราคงต้องพเนจรร่อนเร่แล้วล่ะ ฮว๋าเทียนเป็นเจ้าเมืองหยินซาน ถึงแม้เมืองหยินซานจะไม่ใหญ่ แต่ฮว๋าเทียนก็เป็นขุนนางสำคัญของจักรวรรดิ การตายของฮว๋าเทียน ทางจักรวรรดิต้องส่งทหารจำนวนมากมาไล่สังหารพวกเราเป็นแน่…”

       “ไม่เป็นไร ข้าจะปกป้องท่านเอง” หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างเข้มแข็ง แต่กลับไปกระเทือนบาดแผล จนต้องร้องออกมา

      ฉู่เหยาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เจ้านี่นะ ดื้อรั้นเกินไป นอนลงแล้วพักผ่อนดีๆ ก่อนที่แผลทั้งหมดของเจ้าจะหายดีข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”

       “อือ”

        หลังจากหลินมู่อวี่นอนลง เขาโคจรปราณให้ไหลผ่านชีพจรที่อุดตันเพราะบาดแผลอยู่เงียบๆ มิเช่นนั้นอาจจะพิการได้ เรื่องนี้ทำให้เปลืองเวลาไปนิดหน่อย ผ่านไปไม่นาน ฉู่เหยายก “ชามหิน” ที่มีน้ำแกงเนื้อร้อนๆไปวางตรงหน้าเขา ถึงแม้จะไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เขาไม่ได้กินอาหารมาพักใหญ่แล้ว จึงรู้สึกหิวมาก  เขารีบซดน้ำแกงเข้าไปอึกใหญ่ทันที ทำเอาฉู่เหยาหัวเราะคิกคัก “ช้าๆ หน่อย เดี๋ยวก็ลวกปากเอาหรอก…”

      หลังจากกินอาหารเรียบร้อย ก็โคจรพลังปราณเพื่อรักษาบาดแผลต่อ หลินมู่อวี่รู้ดีว่าอันตรายนับไม่ถ้วนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ตนเองต้องรีบฟื้นพลังต่อสู้ให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นแล้วแค่พลังของฉู่เหยาคนเดียวไม่มีทางรับมือได้แน่นอน

       “พี่ฉู่เหยา ต่อจากนี้ท่านมีแผนอะไร”

       “เอาชีวิตให้รอดก่อนค่อยว่ากันเถอะ” ฉู่เหยาเสียงแผ่ว “ข้าเคยเห็นแผนที่รอบเมืองหยินซาน พวกเราเดินชิดตามแนวป่าสัตตะดารา เลี่ยงเส้นทางไล่ล่าของนักฆ่า ขึ้นไปทางเหนือ เดินเท้าครึ่งเดือนก็ถึงอาณาเขตของเมืองหลันเยี่ยนแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อก็แล้วกัน พี่ชายของข้าฉู่ฮว๋ายหมิ่นออกจากบ้านมาฝึกวิชาหลายปีแล้ว ได้ยินว่าเขาเคยปรากฏตัวที่เมืองหลันเยี่ยน แต่ยังไงเอาชีวิตรอดก่อนค่อยว่ากันอีกที…”

       “อือ”

      ตอนที่ฉู่เหยาพูดชื่อเมืองหลันเยี่ยนขึ้นมา หลินมู่อวี่ก็อดคิดถึงเงาร่างงดงามร่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ถังเสี่ยวซีน่าจะอยู่ที่เมืองหลันเยี่ยนสินะ หรือควรจะไปหานาง?

      ไม่ได้ ดูเหมือนจะไม่เหมาะสม ตนเองฆ่าขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิ ถ้าถังเสี่ยวซีปกป้องตนจะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นเป็นแน่ อีกอย่างความสัมพันธ์ของนางกับตนเองนั้น…ก็ไม่แน่ว่านางจะต้องมาช่วยตนเอง

      ค่ำคืนนี้ หลินมู่อวี่โคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้หยุด ขณะเดียวกันก็ใช้โอสถสมานแผลเกรดหนึ่งมาช่วยรักษาบาดแผล แผลจากลูกธนูที่หลังก็มีความรู้สึกตึงๆ เริ่มตกสะเก็ดแล้ว ส่วนแผลที่แขนค่อนข้างสาหัส ยังต้องใช้เวลารักษาอีกหน่อยถึงจะฟื้นสภาพได้สมบูรณ์ แต่นี่ไม่ส่งผลต่อการเลื่อนระดับและพัฒนาพลังของเขา

       ยามรุ่งสาง

       เมืองอู๋กู่ จวนผู้ว่าการมณฑลชางหนาน  

      ผู้ว่าการหูเถี่ยหนิงนั่งหน้าซีดอยู่ใต้ตะเกียงค่อยๆ เปิดหนังสือรายงานอ่าน อดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวเสียงเรียบ “เจ้าเมืองหยินซานฮว๋าเทียนถูกเด็กไร้ชื่อเสียงนามหลินมู่อวี่สังหาร? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้”

       นายทหารที่อยู่ด้านข้างประสานมือคำนับแล้วเอ่ย “ใต้เท้า เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”

       นัยน์ตาหูเถี่ยหนิงมีแววสังหาร “เมืองหยินซานอยู่ใต้การปกครองของมณฑลชางหนาน ข้าเป็นผู้ว่าการมากว่าสิบปี ไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงขนาดนี้เกิดขึ้นมาก่อน เรื่องนี้ต้องจัดการโดยเร็วที่สุด การสังหารขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิเป็นโทษที่อภัยไม่ได้ เจ้ารีบไปถ่ายทอดคำสั่ง ให้ท่านนายพลหวังนำทหารม้าจำนวนสามพันนายไปเมืองหยินซาน ต้องจับกุมหลินมู่อวี่ให้ได้ เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!”

       “ขอรับใต้เท้า!”

       ทหารผู้นั้นหรี่ตาลงพร้อมกล่าว “ตามรายงาน หลินมู่อวี่หนีเข้าไปในป่าสัตตะดารา กองทหารของพวกเราไม่แน่ว่าจะตามไปทันเวลา ต้องส่งหนังสือไปเมืองหยินซานหรือไม่ขอรับ ตั้งรางวัลนำจับให้ทหารรับจ้างช่วยจับหลินมู่อวี่และฉู่เหยานักโทษอุกฉกรรจ์ทั้งสองคน”

       หูเถี่ยหนิงกล่าวเบาๆ “ตกลง รางวัลนำจับหลินมู่อวี่หนึ่งแสนเหรียญทอง”

       “ขอรับ!”