บทที่ 67 คดีของกู้ซื่อ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

เซียวจิ่นขบฟันแน่น กล่าวว่า “ดูไม่ออกว่าแม่นางน้อยเช่นเจ้าจะหยาบคายเช่นนี้”

ซินหรูถามเสียงอ่อย “ฝ่าบาทจะทรงลงทัณฑ์หม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นกล่าว “ในเมื่อเจ้าเป็นเด็กถือล่วมยาของชิงเวย เจิ้นไม่ลงโทษเจ้า”

หลังจากซินหรูทำงานแล้วเสร็จ ร่างกายของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ซินหรูเช็ดตัวให้เขาหนึ่งรอบแล้วช่วยสวมอาภรณ์และให้เขานอนพักอยู่บนเตียง

กระดูกทั่วทั้งร่างล้วนส่งเสียงไม่ยินดี ทว่าปลอดโปร่งโล่งสบายจริงๆ…นี่เป็นความคิดที่อยู่ในสมองของเซียวจิ่น ความรู้สึกที่ปล่อยให้สมองว่างเปล่า เป็นความอิสระและผ่อนคลายอย่างแท้จริง

“ขอบคุณเจ้า” เซียวจิ่นกล่าว

ซินหรูได้ความปิติเสียจนตื่นตระหนก เซียวจิ่นสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไม่วางท่าของฮ่องเต้ นางอดที่จะรู้สึกดีกับเขาไม่ได้ “ฝ่าบาทไม่ต้องตรัสขอบคุณเพคะ เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำ”

เซียวจิ่นนอนอยู่บนเตียงตลอดช่วงเช้า ไม่มีกะจิตกะใจจะสะสางราชกิจ

ด้านนอกตำหนักบรรทมเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงหลินชิงเวยพูดอยู่ด้านนอก “ขัดพื้นไม้ด้านนี้ให้เรียบลื่นกว่านี้สักหน่อย”

ยามอู่ ถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้ว

โต๊ะเสวยถูกยกเข้าไปในตำหนักบรรทมไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แต่กลางโต๊ะกลมกลับมีไม้กระดานความสูงประมาณหนึ่งฉื่อวางอยู่ตรงกลาง ต่อมามีโต๊ะทรงกลมอีกตัวหนึ่งถูกยกเข้ามาวางลงไปโต๊ะนี้มีขนาดเล็กกว่าหน้าโต๊ะเดิมเล็กน้อย มันถูกวางลงบนไม้กระดานแผ่นนั้น

หลินชิงเวยยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ตลอดเช้า บัดนี้นางยกมือเท้าสะเอวถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งอยู่ข้างโต๊ะ นางมองเซียวจิ่นด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ประหลาดใจหรือไม่เพคะ มีโต๊ะนี้แล้วพระองค์จะเสวยพระกระยาหารทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะได้ตามแต่พระทัยเพคะ” พูดแล้วก็ยื่นมือขาวๆ นั้นออกมากดลงบนผิวโต๊ะชั้นบน แล้วออกแรงหมุนเบาๆ ต่อมาแผ่นไม้บนโต๊ะนั้นเริ่มหมุนขึ้นมา

เซียวจิ่นเห็นแล้วตกตะลึงในคราแรก ต่อมาจึงหัวเราะขึ้นมาด้วยเสียงอันอบอุ่นอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นทำให้ตำหนักบรรทมทั้งตำหนักพลันสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นราวกับวสันตฤดู ซินหรูถึงกับโง่งม ยืนทึ่มทื่อมองอยู่ที่นั่น

หลินชิงเวยยื่นมือไปดีดนิ้วเบื้องหน้าซินหรูครั้งหนึ่ง ซินหรูได้สติกลับมา

ต่อมาอาหารกลางวันถูกลำเลียงขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้อย่างดี หลินชิงเวยเข้ามาอุ้มเซียวจิ่นจากบนเตียงแล้ววางเขาลงบนเก้าอี้รถเข็น เข็นเขามาที่โต๊ะเสวย เขายื่นมือมากดบนผิวโต๊ะตัวนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน โต๊ะตัวนั้นทั้งเบาและเคลื่อนไหวไหลลื่นดียิ่ง

เซียวจิ่นอดที่จะกล่าวทั้งหัวเราะไม่ได้ว่า “ชิงเวย เจ้าคิดถึงสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน?”

หลินชิงเวยกล่าว “ไม่ใช่หม่อมฉันคิดถึงเพคะ ทุกอย่างล้วนเพื่อการกินทั้งสิ้น อย่างไรก็ต้องมีคนคิดเรื่องนี้ออกมาเพคะ”

อย่างไรเซียวจิ่นย่อมไม่ต้องกินแต่อาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้นอีกต่อไป

ก่อนเสวยหลินชิงเวยกล่าวขึ้นอีกว่า “วันนี้เสด็จอาจะมาร่วมเสวยอาหารกลางวันหรือไม่เพคะ? ต้องรอให้เขามากินพร้อมกันหรือไม่เพคะ?”

เซียวจิ่นยิ้มบางๆ “ไม่ต้องรอแล้ว ในสองวันนี้เสด็จอาล้วนไม่มาที่นี่”

ต่อมาหลินชิงเวยไม่ได้ถามอะไรอีก เซียวจิ่นดูเหมือนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของใครบางคนเข้า จึงเงยหน้าขึ้นมองซินหรูที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้าก็เข้ามานั่งเถิด”

คนทั้งสามกินอาหารอย่างเงียบๆ เซียวจิ่นหมุนโต๊ะตัวนั้นเป็นพักๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาต้องการกินอาหารที่อยู่ด้านนั้นจริงๆ หรือเพียงแค่รู้สึกว่าการหมุนโต๊ะตัวนี้เป็นเรื่องแปลกใหม่ ราวกับเขาต้องการหาใครสักคนมาพูดคุยด้วย จึงกล่าวขึ้นเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาว่า “คดีของหลายวันก่อนได้ข้อสรุปแล้ว เสนบดีกรมกลาโหมกู้ซื่อซ่องสุมกำลังทหาร รวบรวมทหารนับหมื่นในอวิ๋นหนานและยังไม่รู้ว่าไปที่ใด”

หลินชิงเวยตื่นตะลึง “ฝ่าบาทหมายความว่า เขากำลังรวบรวมกำลังทหารแทนผู้อื่นหรือเพคะ?”

นาทีนั้นบนใบหน้าวัยเยาว์ของเซียวจิ่นพลันปรากฏความขุ่นมัวจางๆ ชนิดหนึ่งออกมา แต่สีหน้าท่าทางนั้นปรากฏบนใบหน้าของเขาเพียงชั่วครู่ก็ถูกเขาปิดบังอำพรางอย่างดี เขากล่าวว่า “น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง กู้ซื่อยอมตายก็ไม่ยอมพูดชื่อคนที่อยู่เบื้องหลังออกมา บอกเพียงว่าเขาถูกปรักปรำ แต่หลักฐานมัดตัวแน่นหนาต่อให้เขาบอกว่าเขาถูกใส่ความ เสด็จอาได้ตัดสินโทษของเขาไปแล้ว”

หลินชิงเวยกล่าว “ตัดสินโทษสถานใดเพคะ?”

“กู้ซื่อคิดคดทรยศ ย่อมต้องตัดสินด้วยโทษประหารชีวิตเก้าชั่วโคตร” เซียวจิ่นพูดอย่างสงบ เขามองหลินชิงเวย “ประหารพรุ่งนี้ยามอู่สามเค่อ”

ยามบ่ายน้ำสมุนไพรได้ต้มเรียบร้อยแล้ว ถังอาบน้ำขนาดใหญ่ใบหนึ่งถูกขนย้ายเข้ามาในตำหนักบรรทมเทน้ำสมุนไพรสีเขียวลงไปกลิ่นของสมุนไพรลอยเข้ามาปะทะจมูกทันที

เซียวจิ่นถูกโยนลงไปในถังอาบน้ำ แช่น้ำสมุนไพรสองชั่วยาม กระทั่งเวลาใกล้พลบค่ำจึงออกมาจากถังอาบน้ำ ไอน้ำร้อนทำให้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อเล็กน้อย สีหน้าท่าทางดูผ่องใสขึ้นมาก

หลินชิงเวยถาม “ฝ่าบาททรงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ?”

เซียวจิ่นหายใจเข้าลึกๆ ครั้งหนึ่ง “ผ่อนคลายกว่าเมื่อก่อนมาก”

ต่อมาเซียวเยี่ยนมาถึงตำหนักซวี่ยางในเวลากลางคืน มีเซียวเยี่ยนอยู่ งานที่เหลือจึงไม่จำเป็นต้องให้หลินชิงเวยและซินหรูต้องกังวล ดังนั้นคนทั้งสองจึงออกมาจากที่นั่น

ประตูตำหนักหนักอึ้งนั้นปิดลงกลายเป็นความมืดมิด

หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนได้พบกันระหว่างประตูตำหนัก คนทั้งสองต่างไม่ได้พูดจาราวกับเป็นคนแปลกหน้าสองคน

เซียวเยี่ยนงานยุ่งมาหลายวัน ความเหนื่อยล้าอิดโรยปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเขา สีหน้าท่าทางเย็นชาคล้ายราตรียามรัตติกาลนี้ ทางเส้นนี้ทั้งสองข้างทางมีดอกไห่ถังที่ยื่นออกมา กิ่งของมันโน้มลงมาด้วยน้ำหนักของมัน ท่ามกลางแสงสว่างภายใต้โคมไฟภายในวังหลวง เป็นทัศนียภาพงดงามที่มิอาจมองผ่าน เซียวเยี่ยนเดินผ่านใต้ต้นไม้เหล่านั้น สีแดงของดอกไห่ถังทำให้ร่างอันเยือกเย็นของเขาเพิ่มความชวนมองขึ้นอีก

เขาไม่มีอารมณ์จะหยุดเดินแล้วหันมาทักทายหรือสาดวาจาเย็นชาสักประโยคสองประโยคกับนาง

ส่วนหลิงชิงเวยนั้นงดงามประดุจดอกไห่ถังและยากที่จะเข้าใกล้

นางพาซินหรูเดินสวนทางกับร่างของเซียวเยี่ยนไปเงียบๆ ฝีเท้าของเซียวเยี่ยนไม่หยุด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นหลินชิงเวยเป็นอากาศธาตุ เขาตวัดหางตามองนางเรียบๆ แวบหนึ่ง

เดินออกมาไกลสักหน่อยแล้ว ซินหรูจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เมื่อสักครู่เป็นเซ่อเจิ้งอ๋องนี่นา เหตุใดพี่สาวจึงไม่กล่าวทักทายเขาล่ะเจ้าคะ?”

หลินชิงเวย “เจ้าช่างสังเกตเหมือนกันนี่ เมื่อกลางวันไม่ได้ยินฝ่าบาทบอกหรือไรว่าเซ่อเจิ้งอ๋องยุ่งเรื่องคดี เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นผู้ตัดสินโทษประหารเก้าชั่วโคตร บนร่างของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร จะมีเวลามาพูดจากับพวกเราหรือไร?”

“อ้อ…” ซินหรูคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ

คิดไม่ถึงว่าเมื่อหลินชิงเวยไปถึงตำหนักซวี่หยางในวันรุ่งขึ้น มีคนจำนวนไม่น้อยคุกเข่าอยู่หน้าประตูตำหนัก เมื่อพิศดูเครื่องแต่งกายของพวกเขาแล้วล้วนสวมชุดขุนนางของราชสำนัก เป็นขุนนางในราชสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย หลินชิงเวยเดินผ่านไปได้ยินพวกเขากล่าวเสียงดังว่า “ใต้เท้าเซี่ยเป็นขุนนางซื่อสัตย์จงรักภักดี เขาถูกใส่ร้ายป้ายสี พวกกระหม่อมขอฝ่าบาทละเว้นโทษตายให้กับเขา ตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน คืนความยุติธรรมให้กับใต้เท้าเซี่ยพะยะค่ะ!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินชิงเวยได้พบกับขุนนางของราชสำนักฝ่ายหน้า ล้วนเป็นผู้ที่มีอายุอาวุโสแล้วทั้งสิ้น อายุราวๆ สามสี่สิบปี นี่ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอันใด ขึ้นมาเป็นผู้นำของแผ่นดินได้ย่อมต้องมีความรู้และประสบการณ์จึงจะใช้ได้

ทว่าดูท่าทีแล้ว เสนาบดีกรมกลาโหมผู้แซ่เซี่ยผู้นั้น มีคนในราชสำนักสนับสนุนอยู่ไม่น้อย ถึงกับมีคนมากมายเช่นนี้มาขอความเมตตาแทนเขา ขณะหลินชิงเวยเดินผ่านได้หยุดฝีเท้าครู่หนึ่งเพื่อหันไปมองสีหน้าท่าทางบนใบหน้าของขุนนางเหล่านั้น ความวิตกกังวล ร้อนใจ แววตาล้วนเป็นความจริง ไม่เหมือนโกหกหลอกลวง เห็นได้ว่าเสนาบดีกรมกลาโหมสกุลเซี่ยผู้นี้มีชื่อเสียงในทางดียิ่งยวด

เห็นได้จากจุดนี้ เมื่อวานขณะที่เซียวจิ่นเอ่ยถึงเรื่องนี้ เหตุใดใบหน้าของเขาจึงปรากฏสีหน้าท่าทางเช่นนั้น อาจเป็นเพราะผิดหวัง เขาคิดว่าเขาเชื่อคนผิด

เพียงแต่เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวของฝ่ายหน้า นางเป็นคนของตำหนักในคนหนึ่งไม่มีสิทธิ์ที่จะก้าวก่าย ดังนั้นนางจึงรีบเดินผ่านพวกเขาเข้าประตูตำหนักไป

สีหน้าของเซียวจิ่นไม่ดีนัก เมื่อหลินชิงเวยเข้าไปถึงดูเหมือนเขากำลังมีโทสะ บนพื้นเต็มไปด้วยหนังสือและถ้วยชา ฝาน้ำชาที่กระจัดกระจาย

เขาหันกลับมาเห็นหลินชิงเวย จึงไม่อาจไม่พยายามควบคุมสีหน้าโกรธเกรี้ยวนั้นแล้วหันมาคลี่ยิ้มบางๆ “ชิงเวย เจ้ามาแล้ว”