บทที่ 47 ยั่วโมโหอาสะใภ้รายวัน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

เป็นเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงได้มาหนึ่งตำลึงเงินกับสี่อีแปะ บวกกับเงินที่มีอยู่เดิมสามอีแปะและที่เก็บมาได้อีกหนึ่งอีแปะ จึงมีทั้งหมดสองตำลึงเงิน

แต่ปิ่นระย้าทองที่สวี่ชีอันถูกใจมีราคาสิบตำลึงเงิน

เขาช่วยแม่นางน้อยอีกสามคนแก้ปริศนาคำตามสูตรเดิม ในที่สุดก็ทำเงินได้ห้าตำลึงเงิน

“น่าจะพอซื้อปิ่นระย้าทองหนึ่งชิ้นแล้ว แต่ข้ายังต้องซื้อให้อาสะใภ้อีกหนึ่งชิ้น…”

“คุณชายขอรับ” เถ้าแก่ร้านเรียกขัดจังหวะความคิดของสวี่ชีอันด้วยใบหน้าซีดขาว

สวี่ชีอันมองเขาเงียบๆ

“คุณชายโปรดเมตตาได้หรือไม่ขอรับ”

“เถ้าแก่หมายความว่าอย่างไรหรือ ท่านเป็นคนตั้งกฎเองนี่หนา”

“คุณชายต้องการอะไรโปรดพูดตามตรงเถิด”

“ข้าอยากซื้อปิ่นระย้าสองชิ้น แต่มีเงินพอซื้อแค่ชิ้นเดียว…อืม แบบครึ่งราคา”

“ข้า ข้าส่งให้คุณชายเลยแล้วกัน” เถ้าแก่ร้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“เช่นนั้นก็เกรงใจแล้ว”

“…ต่อไปท่านอย่าได้มาอีกเลย ชายชราผู้นี้จะซาบซึ้งใจอย่างมาก”

จ่ายไม่ไหวสินะ… สวี่ชีอันจากไปพร้อมกับปิ่นระย้าทองสองชิ้น

เขาไม่ได้คิดจะกินฟรีจริงๆ ข้าแซ่สวี่ไม่ใช่คนอย่างนั้น เถ้าแก่ร้านผู้อับจนก็เกรงใจเกินไปแล้ว

ส่วนความรู้สึกของเถ้าแก่ร้านนั้น เขาไม่สนใจ สามารถเปิดร้านค้าเช่นนั้นได้ แม้ว่าของราคายี่สิบสามสิบตำลึงเงินจะเจ็บเข้าเนื้อแน่ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าสูญเสียมากนัก

อีกอย่าง ในเมื่อเล่นแบบนี้และได้รับประโยชน์จากเส้นทางนี้ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมใจพบยอดฝีมือให้ดี

ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เจ้าสามารถเอาเงินคนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่อาจถอนขนแกะ[1]ของเจ้าได้

ออกจากร้านมาได้ไม่นาน จู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบด้านหลังจนขนลุกซู่ รูขุมขนคล้ายมีเข็มเล็กๆ แทงลงไป

นี่ทำให้หัวใจของเขาเต้นถี่รัวแล้วหลั่งอะดรีนาลีนออกมา

มีคนสะกดรอยตามข้า… กำลังสังเกตดูข้าอยู่… แล้วซ่อนเก็บความไม่เป็นมิตรเอาไว้… สวี่ชีอันรับรู้ได้รางๆ

สวี่ชีอันระงับอารมณ์ แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจกำลังครุ่นคิด

‘ใครสะกดรอยข้า… ร้านเป่าชี่ซวนหรือ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ ถึงแม้เถ้าแก่จะดูเหมือนอยากทุบตีข้ามากๆ แต่ยอดฝีมือที่ทำให้ข้าขนลุกขนพองได้จะต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ แต่ร้านเป่าชี่ซวนเล็กๆ ไม่มียอดฝีมือเช่นนี้อยู่

สำนักศึกษาอวิ๋นลู่หรือ ก็ไม่ถูกสิ พวกปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่สู้กันเพื่อรับข้าไปเป็นศิษย์ แล้วจะมาแอบแฝงความคิดร้ายต่อข้าได้อย่างไร’

‘เป็นบ้านสกุลโจว!’

ช่วงนี้ถ้าหากจะมีใครเกลียดชังและแอบเฝ้าสังเกตการณ์เขาได้ ก็ต้องเป็นบ้านสกุลโจว

สวี่ชีอันเคร่งเครียดในใจ ประสบการณ์จากชาติก่อนบอกเขาว่าทันทีที่เจ้าถูกคนสะกดรอยตามเฝ้าสังเกต นั่นก็แปลว่าอีกฝ่ายจะลงมือในเร็วๆ นี้ ถึงขั้นที่อาจเป็นคืนนี้เลยก็ได้

‘แผนเยี่ยมเยียนสำนักศึกษาอวิ๋นลู่นั้นจัดการได้ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ฝีมือของข้ากับอารองจะไม่อ่อนด้อย แต่ผู้หญิงในบ้านก็ยังเป็นภาระ…’

สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งเครียด แผนจัดการสกุลโจวจะล่าช้าไม่ได้แล้ว

เมื่อกลับไปที่จวนสกุลสวี่ สวี่ชีอันก็หยิบเอาหน้าไม้ในตู้ที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม (ของฟรี) กับซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์มาห้อยไว้ที่เอว และนำเกราะคันฉ่องมาผูกไว้ที่หน้าอก

เช่นนี้จึงจะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก

เมื่อข้ามกำแพงไปยังบ้านใหญ่ เขาก็เห็นสวี่หลิงอินกำลังวิ่งไล่ฝูงห่านอยู่ที่ลานด้านหลัง นางเท้าเอวแล้วกระทืบเท้าแรงๆ จนทำให้ห่านน้อยตกใจขวัญหนีดีฝ่อ ส่งเสียงแผดร้องวุ่นวายไปทั่ว

“พี่ใหญ่ๆ ท่านเห็นความน่าเกรงขามของข้าหรือไม่” เมื่อสวี่หลิงอินเห็นพี่ใหญ่กลับมาก็ยิ่งรู้สึกได้ใจมากขึ้น

“ห่านมาจากไหนน่ะ” สวี่ชีอันตะลึงงัน เช้านี้ตอนที่ออกจากบ้านเห็นชัดๆ ว่ายังไม่มีเลย

“ท่านแม่ให้คนไปหาซื้อมา บอกว่าเลี้ยงที่บ้านตัวเอง…” สวี่หลิงอินเอียงคอแล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้าลืมท่อนหลังไปแล้ว”

น่าจะเป็นเลี้ยงที่บ้านตัวเองถูกกว่าซื้อข้างนอกสินะ… สวี่ชีอันร้อง “อ้อ” คำหนึ่ง แล้วกล่าว “เจ้าระวังหน่อย อย่าเหยียบห่านจนตายล่ะ แล้วไม่มีห่านตัวใหญ่หรือ”

“ห่านตัวใหญ่อยู่ทางนั้น ข้าจะไปไล่มันมา” สวี่หลิงอินเสนอตัวย่างก้าวเข้าไปในสวนดอกไม้ด้วยขาสั้นเล็กๆ ของนาง

ไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กน้อยก็ร้องเสียงดังลั่นปานฆ่าหมู

พุ่มไม้สั่นไหวรุนแรง สวี่หลิงอินร้องไห้โฮวิ่งออกมา เท้าลากห่านตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังงับขาน้อยๆ ของนางไว้แน่น

สีหน้าของนางเหมือนกำลังจะตายอยู่แล้ว “พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย…”

สวี่ชีอันยืนดูอยู่ข้างๆ พร้อมหัวเราะเป็นเสียงหมูออกมา

ย่ำค่ำ อารองสวี่กลับมาบ้าน สวมเครื่องแบบทหาร ที่เอวแขวนดาบยาวและหน้าไม้ทหาร แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่า บุคลิกแตกต่างจากยามสวมเสื้อผ้าปกติโดยสิ้นเชิง

คุณชายทั้งสามมาถึงห้องหนังสือ หลังจากลวี่เอ๋อยกชาร้อนเข้ามาแล้วก็ถอยออกไปอย่างรู้งาน

สวี่ฉือจิ้วเอ่ย “ข้ากับพี่ใหญ่จัดการทุกอย่างแล้ว วันพรุ่งสามารถส่งท่านแม่กับน้องสาวไปยังสำนักศึกษาได้ หลิงอินก็กำลังจะเข้าระดับก่อปัญญาพอดี ระดับความสามารถของอาจารย์ที่ท่านพ่อเชิญมาจึงไม่พอ สอนนางไม่ได้ หากใช้อาจารย์ของสำนักศึกษาก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

หลิงอินได้ยินข่าวนี้จะต้องดีใจจนร้องไห้ออกมาแน่… สวี่ชีอันนึกถึงเรื่องตลกขำขันที่ไปมอบชุดรวมแบบฝึกหัดหนึ่งลังให้เด็กๆ ด้วยความมีน้ำใจในชาติก่อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

อารองสวี่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง นี่สามารถแก้ไขความหนักใจของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย ผู้หญิงในบ้านสามารถอยู่ในที่ทางที่เหมาะสม เขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใดๆ แล้ว

“ฉือจิ้ว ลำบากเจ้าแล้ว พ่อรู้ว่าการให้เจ้าเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตนี้”

สวี่ฉือจิ้วรู้สึกอับอายเล็กน้อย “ท่านพ่อ นี่เป็นผลงานของพี่ใหญ่ ไม่เกี่ยวกับข้า”

“หนิงเยี่ยนหรือ” อารองสวี่มองไปยังหลานชายอย่างคาดไม่ถึง

เมื่อได้ยินลูกชายอธิบาย อารองสวี่ก็เอ่ยอย่างเสียดาย “หนิงเยี่ยนเอ๋ย เรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่อารองทำก็คือส่งเจ้าไปฝึกยุทธ์”

ตอนนี้อารองสวี่เชื่อแล้วว่าหลานชายของเขาเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา

ข้าแค่ใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เคยเรียนในชาติก่อนอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น… สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากบอกอารอง ตอนที่ข้ากลับมาก็มีคนสะกดรอยตามด้วย ฉือจิ้ว เจ้าล่ะ”

ท่าทางของสองพ่อลูกเปลี่ยนไป

สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว “ถึงจะถูกคนสะกดรอยตาม แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”

เขาเป็นแค่ปัญญาชนระดับเปิดปัญญาคนหนึ่งเท่านั้น

อารองสวี่ยืนขึ้นแล้วเดินไปมาอย่างวิตกกังวลพร้อมเอ่ยเสียงเบา “หนิงเยี่ยน คืนนี้เจ้าค้างในจวนเถอะ พวกเราอาหลานอยู่ใกล้กันสักหน่อย จะได้ดูแลกันง่าย อีกอย่าง เดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกสักรอบ ไปบอกกองดาบให้พวกเขาเพิ่มกำลังลาดตระเวนบริเวณใกล้เคียงตอนกลางคืน”

สวี่ซินเหนียนและสวี่ชีอันมองสบตากัน ในใจเคร่งเครียด

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สวี่ชีอันก็เหลือบมองดูสวี่หลิงเยวี่ย น้องสาวกินอาหารอย่างสง่างาม เขาส่งเสียงกระแอมไอขึ้นมา ดึงดูดสายตาของทุกคนในบ้าน

เขาหยิบกล่องไม้แดงเล็กๆ สลักอักษร ‘เป่าชี่ซวน’ ออกมาจากอกเสื้อ แล้วเปิดกล่องออกช้าๆ มันคือปิ่นทองระย้าที่ทำขึ้นอย่างประณีต หัวปิ่นเป็นดอกไม้ประดับมุกที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจง มีพู่สีทองเรียวเล็กหลายเส้นห้อยลงมา

อย่าว่าแต่รูปแบบ แค่ปริมาณของทองคำอย่างเดียวก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนแล้ว

สวี่หลิงเยวี่ยและอาสะใภ้ตะลึงงันทันที ดวงตาโตจดจ้องอยู่ที่ปิ่นทองระย้า

ปิ่นทองระย้าเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่ง เพราะต้องใช้ฝีมือประณีตและวัสดุล้ำค่า ต่อมาจึงเป็นที่ต้องการของหญิงสาวและสตรีออกเรือนในตระกูลสูงศักดิ์ฐานะร่ำรวย ผู้หญิงทั่วไปสวมใส่เครื่องประดับดีๆ เช่นนี้ไม่ได้

ก่อนหน้านี้อาสะใภ้ก็มีปิ่นทองระย้าแกะสลักดอกไม้อยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งล้ำค่าอย่างมาก

สวี่ชีอันเป็นชายโสด ย่อมไม่ซื้อปิ่นทองระย้ามาโดยไม่มีเหตุผล ที่บ้านก็มีผู้หญิงสองคนที่เหมาะจะใช้งาน ส่วนอาสะใภ้นั้น ในฐานะที่เป็นนายหญิงของบ้าน…

ใบหน้าสวยงามของอาสะใภ้แย้มยิ้มออกมา แววตาอ่อนโยนลง “นับว่าเจ้ายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง หยิบมาเถิด…”

เพิ่งจะเอ่ยจบ สวี่ชีอันก็วางปิ่นทองระย้าเอาไว้ตรงหน้าสวี่หลิงเยวี่ย “น้องหญิง ข้ามอบให้เจ้า!”

สวี่หลิงเยวี่ยเบิกตาโต รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เครื่องประดับของเป่าชี่ซวนมีชื่อเสียงมากในแถบนี้ งานฝีมือละเอียดประณีตชั้นสูง จึงเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวและสตรีออกเรือนฐานะดีในบริเวณใกล้เคียง

“ขอบพระคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ” ดวงหน้างามพิสุทธิ์ของนางเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาออกมา ดวงตาโค้งขึ้นราวกับพระจันทร์เสี้ยว

อาสะใภ้ตัวสั่นเทา หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ดวงตาแดงก่ำ หันไปเอ่ยถามอารองสวี่อย่างดุดัน

“พูดมา ท่านเลือกหลานหรือข้า”

นางกับเจ้าตัวสารเลวนี่อยู่ร่วมกันไม่ได้

อารองสวี่จดจ้องไปที่หลานชายอย่างดุดัน แล้วรีบคีบผักให้ภรรยา “สงบจิตสงบใจเสียหน่อย อย่าได้ยุ่งกับเจ้าเด็กหน้าเหม็นนี่เลย”

สวี่ชีอันรู้สึกว่าถูกเตะที่น่อง จึงเงยหน้าเหลือบมองไปยังสวี่ซินเหนียนที่อยู่ข้างๆ

สวี่เอ้อร์หลางก้มหน้าก้มตากินข้าว

…………………………..

[1] ถอนขนแกะ คำแสลง หมายถึง ได้รับผลประโยชน์จากกิจกรรมส่วนลดหรือโปรโมชันต่างๆ ของร้านค้า ธนาคารหรือหน่วยที่จัดกิจกรรม