ตอนที่ 55.1 มิติล้างผลาญ Ink Stone_Romance
เมื่อหลิวหลีเข้าสู่ช่วงอมตะได้สำเร็จแล้ว กลิ่นอายชีวิตก็แข็งแกร่งขึ้นมาก โคมวิญญาณก็ส่องแสงสว่างมากขึ้นเช่นกัน หลายคนต่างอดถอนหายใจยาวไม่ได้ เด็กคนนี้ช่างทำให้คนอื่นเป็นห่วงได้ตลอดเวลาเลยจริง ๆ
“นังหนู เอ่อ…บรรลุช่วงอมตะ ดูท่าเจ้าสามารถพิชิตเพลิงวิญญาณไม้ได้สำเร็จแล้ว” หยวนเทียนคิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่สองปีครึ่งแม่หนูคนนี้ทำสำเร็จ เขานึกว่าอย่างน้อยจะต้องใช้เวลานานถึงสิบปี
“เป็นเพราะอาศัยใบบุญของท่านผู้อาวุโสเจ้าค่ะ” หลิวหลีอุ้มจื่อฉีพลางพูดขึ้น
“นี่คือ กิเลน…เปลี่ยนร่างแล้วหรือ” หยวนเทียนเห็นหลิวหลีอุ้มเด็ก จึงเดาได้ อสูรเทพ
ก็เลยเดาได้ว่าอสูรเทพระดับสุดยอดก็จะเปลี่ยนร่างเร็วเช่นนี้
“เจ้าค่ะ จื่อฉีเปลี่ยนร่างแล้ว” หลิวหลีโยนเด็กที่อยู่ในมือขึ้นสูงแล้วก็รับ จื่อฉีหัวเราะอย่างมีความสุข หยวนเทียนที่ดูอยู่ก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้ อสูรเทพน้อยสามารถเล่นแบบนี้ได้หรือ
“เอ๊ะ นั่นมันจิ้งจอกน้อย ท่านพี่…นั่นคือจิ้งจอกน้อย” จื่อฉีมองไปที่หยวนเทียนแล้วพูดขึ้นมาอย่างมีความสุข
ในฐานะที่เป็นอสูรที่โตกว่า หยวนเทียนรู้สึกหัวเสียไม่น้อยเมื่อโดนผู้อ่อนวัยกว่าเรียกตนเป็นจิ้งจอกน้อย แต่พอคิดว่าฝ่ายตรงข้ามแค่เพิ่งจะเปลี่ยนร่างก็สามารถเห็นร่างเดิมของตน นั่นยอมหมายความว่าอีกฝ่ายเป็นอสูรเทพในระดับที่สูงกว่า และจึงรู้สึกว่าหลิวหลีช่างโชคดีนัก ถึงแม้จะไม่ผูกพันธสัญญาก็ยังมีอสูรเทพเต็มใจจะติดตามนาง
“จื่อฉี ต้องมีมารยาทกับผู้ใหญ่นะ” หลิวหลีอบรมสั่งสอน หลิวหลีเป็นผู้ยึดถือในคำสอนที่ต้องปราณีเด็กและเคารพผู้ที่สูงวัยกว่าจึงทำให้ไม่เข้าใจลำดับศักดิ์ของอสูรที่อยู่ในระดับแตกต่างกัน
ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดพวกนี้จื่อฉีไม่ได้เข้าใจมากนัก แม้หยวนเทียนจะไม่ได้พูดอะไรแต่ย่อมเข้าใจในคำพูดของหลิวหลีอย่างถ่องแท้
“เอาล่ะนังหนู ในเมื่อออกมาแล้ว เจ้าไปเลือกของที่คลังสมบัติของพวกข้าทั้งสามคนกันเถอะ” หยวนเทียนพูดขึ้น ที่เขายังรอนางที่นี่ก็ด้วยสาเหตุนี้
“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลิวหลีก็ไม่อิดออด อิดออดเกินไปก็ไม่เข้าที
หลิวหลีตามหยวนเทียนเดินเข้าไปในถ้ำต้นไม้ที่พวกเขาเจอกันในตอนแรก คราวก่อนแค่กวาดตาดูผ่านๆเท่านั้น ข้างหลังมีอีกดินแดนหนึ่ง หลิวหลีเห็นหยวนเทียนโบกมือซับซ้อน แล้วประตูบานใหญ่ก็เปิดออก นางถึงกับตกตะลึงในความหรูหราภายใน รวยจังเลย ของล้ำค่าเยอะจริงๆ
“นังหนู เจ้าเลือกเลย” หยวนเทียนพูดอย่างใจกว้าง
“หลิวหลี ที่นี่มีวิญญาณเทพสุวรรณและวิญญาณเทพพสุธา เจ้าเป็นร่างวิญญาณอัคคี สามารถใช้แทนวิญญาณเทพอัคคีไปก่อน แล้วเจ้าก็จะมีมิติน้อยๆเป็นของตนเองได้” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้น
เมื่อหลิวหลีได้ฟังก็รู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง แต่ก่อนนางมักจะอิจฉาผู้หญิงคนอื่นที่มีมิติพกพาเป็นอาวุธทำให้ดูน่าเกรงขาม ในที่สุดนางก็จะมีแล้ว ตื่นเต้นจัง
“อย่างสุดท้าย เจ้าเลือกไข่มุกชิ้นนั้นเถอะ” เอ๋าเลี่ยชี้ให้หลิวหลีดูไข่มุกอันหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ข้าเลือกเรียบร้อยแล้วญญาณเทพสุวรรณและวิญญาณเทพพสุธา แล้วก็ไข่มุกเม็ดนี้” หลิวหลีนำของที่ตัวเองเลือกให้หยวนเทียนดู
“สาวน้อย วิญญาณพวกนี้ไม่เข้ากับธาตุในตัวของเจ้า เจ้าจะไม่เปลี่ยนเป็นชิ้นอื่นหรือ” หยวนเทียนเตือนขึ้นด้วยความหวังดี
“ไม่ล่ะ ผู้อาวุโส ข้าบอกได้เพียงว่าของสองอย่างนี้มีประโยชน์ต่อข้า” หลิวหลีไม่ได้พูดอะไรต่อ
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเปลี่ยนไม่ได้แล้วนะ” หยวนเทียนพูดขึ้น
“เจ้าค่ะ”
“ผู้อาวุโส ข้าขออาศัยอยู่ที่นี่อีกสักหนึ่งเดือนได้หรือไม่” นางโพล่งถามในขณะที่เห็นหยวนเทียนกำลังผนึกห้องคลังสมบัติ
“ได้สิ แต่ว่าในเมื่อเจ้าออกมาแล้ว ข้าก็จะออกไปท่องโลกบ้าง หากมีโอกาสค่อยเจอกันใหม่” หยวนเทียนบอกแผนที่เขาวางไว้
“ต้องได้เจอกันแน่นอน ท่านผู้อาวุโสรักษาตัวด้วย” หลิวหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
หลิวหลีกลับไปในถ้ำที่มีเพลิงวิญญาณไม้อยู่ นางหยิบหินนิลกาฬออกจากเตาเหนือสามัญ แล้วก็จึงนำวิญญาณเทพทั้ง 4 ธาตุทั้ง สุวรรณ วารี พนุธา พฤกษา ออกมา สูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเริ่มหลอมรวมตามคำชี้แนะของเอ๋าเลี่ย เพื่อไม่ให้สะดุดตาจนเกินไป นางจึงตัดสินใจหลอมรวมให้เป็นรูปร่างเหมือนแหวนเก็บของธรรมดา
ผ่านไปหนึ่งเดือน หลิวหลีลูบรอยสักรูปมังกรตรงอก รู้สึกว่าตัวเองทั้งดีใจทั้งปวดหัว ป้ายหยกลายมังกรที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เป็นมิติที่สมบูรณ์แล้ว นางเคยอิจฉาผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มีมิติพกพา บัดนี้นางเองก็มีแล้วเหมือนกัน เพียงแต่กลับได้รับความเสียหายครั้งใหญ่ มิติเล็กๆที่นางอุตส่าห์สร้างอย่างยากเย็น ถูกมิติเทพเจ้ามังกรกลืนกินไม่เหลือ มิติเทพเจ้ามังกรเป็นชื่อของมิติในป้ายหยก และที่ทำให้นางปวดหัวไปมากกว่านั้นก็คือ ร่างของท่านแม่ดันอยู่ในมิติแห่งนั้น แบบมีลมหายใจเสียด้วย
หลิวหลีรู้สึกแย่อย่างยิ่ง พอเอ๋าเลี่ยรู้ว่าป้ายหยกประจำสกุลของสกุลหลงมีหน้าตาเช่นนี้ ก็ห้ามความคิดที่อยากไปขโมยป้ายประจำสกุลอื่นมา หลังจากที่กลืนกินมิติที่นางสร้างขึ้นมาแล้วนั้น มิติมังกรเทพเจ้าก็ฟื้นคืนเพียงแค่ 1 ใน 5 เท่านั้น หากต้องการจะฟื้นคืนทั้งหมด หลิวหลีจำเป็นต้องหาของวิญญาณเทพเจ้าต่อโดยไม่มีประเภทจำกัด
“หลิวหลี เจ้ารวยแล้ว” เอ๋าเลี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้น
“ข้าจะล้มละลายแล้วชัด ๆ เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้มิติเทพเจ้ามังกรฟื้นฟูมาได้แค่ 1 ใน 5 เท่านั้น สิ่งที่พอจะปลอบใจข้าได้มี 2 เรื่องคือ หนึ่งท่านแม่ข้ายังพอจะมีทางรอด สองคือข้าเคยฝันอยากจะมีสวนสมุนไพรพกพา วันนี้ข้าทำได้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจมากที่สุดก็คือวิญญาณเทพเจ้านั้นเป็นผักกาดขาวที่จะหาเจอได้ทั่วไปเสียที่ไหน สกุลหลงทำไมถึงได้มีบรรพบุรุษที่ชอบล้างผลาญเช่นนี้”หลิวหลีโอดครวญแล้วก็เริ่มมีความสุขแต่สุดท้ายก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก มุมปากของเอ๋าเลี่ยที่ดูกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ นังหนูมันขนาดนั้นเลยหรือ
“นังหนู ถึงจะฟื้นคืนมาแค่ 1 ใน 5 แต่เจ้าต้องรู้ว่า เจ้าฝึกบำเพ็ญในป้ายหยก 1 วัน จะเท่ากับเจ้าบำเพ็ญในโลกภายนอก 1 ปีเชียวนะ” เอ๋าเลี่ยอดเตือนไม่ได้
“ใช่สิแต่ก่อนหน้านั้นข้าจะต้องไปปล้นปล้นชีพจรศักดิ์สิทธิ์มากี่เส้นถึงจะใช้ได้” หลิวหลีก็อดที่จะบ่นไม่ได้ ไหนบอกว่าพวกมังกรชอบทรัพย์สมบัติกันมิใช่หรือ ไหนล่ะ ทำไมนางเจอแต่ที่ดินแย่ๆ แล้วก็สระน้ำพังๆที่กินหินวิญญาณ และบ้านฟางที่พอจะใช้บังลมฝนให้มารดานางเท่านั้น ที่ดินห่วยๆนั่นจำเป็นต้องได้น้ำจากสระน้ำเยินๆนี่ ส่วนสระน้ำที่ว่าต้องใช้หินวิญญาณ สรุปแล้วนางต้องขยันหาเงิน!
“นังหนู อย่างน้อยก็ยังมีพืชศักดิ์สิทธิ์มาไว้ให้เจ้าใช้ฝึกปรุงยานะ” เอ๋าเลี่ยอดเตือนนางไม่ได้ เขาย่อมเข้าใจในความสะเทือนใจของอีกฝ่าย ความรู้สึกแบบนี้เหมือนย้อนกลับไปตอนที่ยังไม่ได้รับอิสรภาพ ไร้ที่พึ่งพา
“พืชศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เกิดจากหินวิญญาณของนาง” หลิวหลีบ่นจนหมดแรง นางรึคิดว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทรัพย์สมบัติกว่าครึ่งของนาง ถูกสระน้ำแย่ๆนั้นสูบไปจนเกลี้ยง ที่ยังไม่ได้กินหินนิลกาฬเข้าไปเป็นเพราะเป็นของที่ยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อนางปรุงยาสำเร็จก็จะถูกกินจนไม่เหลือซาก
เอ๋าเลี่ยพูดไม่ออก ทำไมแต่ก่อนถึงไม่รู้ว่านังหนูหวงสมบัติขนาดนี้
“อาเลี่ย ข้าไปปรุงยาก่อน เราจำเป็นต้องมีหินวิญญาณเพื่อไปเมืองเฟยเซียน อีกอย่างพวกพืชศักดิ์สิทธิ์ที่มีอายุมากแล้วก็เอาไปประมูลเสีย ข้าจนจะตายอยู่แล้ว” หลิวหลีเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าอย่างอดไม่ได้
“หลิวหลี แล้วเจ้าจะรู้ว่าหินวิญญาณพวกนี้ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า” เอ๋าเลี่ยให้กำลังใจนาง
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลิวหลีไม่สามารถกลับมามีชีวิตชีวาได้ ความดีใจที่ได้บรรลุช่วงอมตะหายไปหมดแล้ว
“หลิวหลี แล้วเจ้าคิดว่าจะจัดการเรื่องมารดาของเจ้าอย่างไร”
“ท่านแม่หรือ ข้าจะขอให้อาจารย์ปรุงยาคืนวิญญาณ ยาระดับ 8 ข้าจะไม่ให้อาจารย์ทำงานเปล่าๆ แต่ข้าจะเอาของไปแลก” หลิวหลีเล่าความคิดตนเอง
“นี่ นังหนู ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรที่พอมีค่าอยู่บ้างด้วยหรือ” พอเอ๋าเลี่ยคิดว่าตอนนี้นางยากจน ก็เกิดเวทนานางมาก
“เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้ามีอสูรภูตที่ดีที่สุดโลกบำเพ็ญ จื่อฉีอย่างไร เดิตั้งใจจะเอาเจ้าไปแล้ว แต่ใครใช้ให้ราคาในการยกเลิกพันธสัญญามันน่ากลัวขนาดนั้น เสียหายกันทั้งคู่ไม่ดีหรอก ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวข้าก็เห็นจะมีแต่จื่อฉีที่มีมูลค่าที่สุดแล้ว” หลิวหลีพูดจบก็อดจับหน้าอ้วนกลมของจื่อฉีไม่ได้ จื่อฉีรู้สึกแย่ทันที ท่านพี่เป็นคนเลว แววตาจื่อฉีที่มองหลิวหลีนั้นเจือด้วยหยดน้ำตา มันก่นด่าความใจร้ายของนาง ตนเองน่ารักขนาดนี้ยังเอาไปแลกกับยาได้ลงคอ แถมเป็นแค่ยาระดับ 8 เท่านั้น อย่างน้อยๆก็ควรจะเป็นยาระดับ 9 สิ สัก 3 เม็ดด้วย ความคิดของจื่อฉีเริ่มแปลกเข้าไปทุกที หากหลิวหลีรู้เข้าคงต้องหัวเราะจนปวดท้องแน่
“เอาล่ะ ไม่แกล้งจื่อฉีแล้ว อาเลี่ยเจ้าลืมแล้วหรือ ผู้อาวุโสหยวนเทียนบอกแล้วว่าจะให้ไม้อมตะข้าจำนวนหนึ่ง ข้าจะไปปลูกในมิติของข้าหนึ่งอัน เอาอีกอันให้อาจารย์ ก็ไม่เสียหายอะไรนี่”
เอ๋าเลี่ยลืมเรื่องไม้อมตะไปอย่างเห็นได้ชัด ไม้อมตะควรค่ายาระดับ 8 จริงๆ
“จริงสิ อาเลี่ย ไข่มุกที่เจ้าให้ข้าเลือกมันคืออะไรหรือ ข้าสัมผัสไม่ได้เลยว่ามันทำมาจากอะไร มันไม่เหมือนกับปราณปีศาจหรือว่าของที่จะใช้เป็นอาวุธได้เลย” หลิวหลีถือไข่มุกแล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“นี่เป็นของดีเลยเชียวล่ะนังหนู นี่คือไข่มุกดวงจิตผสม สามารถมองทะลุได้ทุกค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นและยังมีประสิทธิภาพในการกันน้ำและไฟ เจ้านำไปฝึกเถอะมันมีประโยชน์มาก”
“เป็นของดีจริงๆด้วย” หลิวหลีพยักหน้า สำหรับนางแล้วถือว่ามีประโยชน์มากเลยทีเดียว
……………………………………………………………………………………………………
พอบรรดาอสูรออกไปด้านนอกกันเยอะแล้ว หลิวหลีก็ไปถึงถ้ำต้นไม้ที่อยู่สูงสุด หลิวหลีหายใจเข้าลึก เพลิงวิญญาณไม้… นางมาแล้ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวเทียนที่อยู่ขั้วโลกเหนือจะเป็นอย่างไรบ้าง นางคิดว่าอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้พบกัน หลิวหลีสูดหายใจลึกก่อนก้าวเข้าไปในถ้ำต้นไม้
เมื่อเข้าไปในถ้ำต้นไม้ นางสัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงอันรุนแรงที่มาพร้อมกับพลังชีวิต กลิ่นอายชีวิตที่ทรงพลังทำให้นางสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของพลังชีวิต
“อาเลี่ย กลิ่นอายชีวิตหนาแน่นมาก” หลิวหลีพูดกับเอ๋าเลี่ย
“ใช่แล้ว เพลิงวิญญาณไม้ดูดพลังชีวิตของต้นไม้ไม่หยุด พลังชีวิตที่มากมายแต่ก็มีอันตรายที่มากมายเช่นกัน” เอ๋าเลี่ยวิเคราะห์
“อันตรายอย่างไรข้าก็จะพิชิตมัน” หลิวหลีพูดอย่างมั่นใจ
“ครั้งนี้ต่างจากที่ผ่านมา สองครั้งแรกเป็นเพลิงอัคคีเพิ่งจะกำเนิดใหม่ ครั้งนี้เป็นเพลิงอัคคีที่สมบูรณ์แล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อาเลี่ย ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าเลือกไม่ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” หลิวหลีพูดขึ้น นางไม่มีทางเลือก นางรู้ว่าอาเลี่ยเป็นคนที่แข็งนอกอ่อนใน ไม่เช่นนั้นคงจะไม่เป็นห่วงตนจนยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชามังกรนพเก้าให้กับนาง อันที่จริงแล้วนางเชื่อว่าอาเลี่ยเป็นมังกร นางจำได้ว่ามังกรในเรื่องไซอิ๋วนั้น แซ่เอ๋า นางจำได้ว่าครั้งแรกอาเลี่ยก็บอกว่าตัวเองคือเอ๋าเลี่ย เพียงแต่ว่ารูปร่างห่างไกลจากมังกรมากเหลือเกินจนทำให้นางไม่อยากจะยอมรับว่านี่คือมังกร
“นังหนู เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไรแน่” เขาย่อมสัมผัสความอบอุ่นในดวงตาของหลิวหลีได้ ที่จริงแล้วนังหนูเชื่อว่าเขาเป็นมังกรล่ะสิ
หลิวหลีสูดลมหายใจลึกแล้วก้าวเข้าไปในเพลิงวิญญาณไม้ นางไม่ได้ใช้เพลิงอัคคีป้องกันตัวเอง ในฐานะที่เป็นเพลิงอัคคีที่สมบูรณ์แล้วย่อมต้องมีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง
“เพลิงวิญญาณไม้ ข้ามีนามว่าหลิวหลีกำลังฝึก ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ จำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี ข้าเป็นร่างวิญญาณอัคคี” หลังจากแนะนำตัวจบ จู่ๆนางก็รู้สึกเหมือนกำลังขายตัวเองอย่างน่าประหลาด
เพลิงวิญญาณไม้ดีดลูกไฟดวงเล็กออกมา ราวกำลังจะบอกว่า ‘เจ้าฝึกบำเพ็ญแล้วข้าจะต้องช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ’
“แน่นอน แต่เจ้าเป็นเพลิงอัคคีธาตุไม้แรกที่ข้าเจอ ข้าไม่อยากจะปล่อยเจ้าไป” หลิวหลีรู้สึกเหมือนการพูดดีจะล้มเหลว นางชอบไม้อ่อน จะเอะอะใช้ไม้แข็งคงไม่ดีนัก
หลิวหลีก็ไม่ได้พูดอะไร ทรุดตัวนั่งลงตรงหน้าเพลิงวิญญาณไม้ โคจร ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ เพลิงวิญญาณไม้เหมือนกับกำลังถูกอะไรเรียกหา แล้วเคลื่อนเข้าใกล้หลิวหลีอย่างไม่รู้ตัว เพลิงวิญญาณไม้ที่รู้ตัวก็โมโหทันที ตัวของหลิวหลีกลายเป็นสีเขียวหยกแต่กลับร้อนระอุ เพลิงบุปผาเหมันต์กับเพลิงอัสนีครามในร่างกายรับรู้ถึงอันตราย จึงหลั่งไหลออกมาเพื่อรับมือกับเพลิงวิญญาณไม้
หลิวหลีรู้สึกว่าพลังเซียนในร่างกายถูกเพลิงบุปผาเหมันต์กับเพลิงอัสนีครามใช้เพื่อสู้กับเพลิงวิญญาณไม้ หลิวหลีรู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองถูกใช้จนแทบไม่เหลือ
ณ สำนักเมฆาคล้อย เสวียนหั่วกำลังปรุงยา จู่ๆก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จนยาพังไปทั้งหม้อ ลูกศิษย์ตัวน้อยเกิดอะไรขึ้น โคมวิญญาณของนางใกล้จะดับแล้ว
ณ บ้านสกุลหลง หน้าของหลงจิ่งหลินเปลี่ยนสีทันที หลานสาวที่เพิ่งหาเจอ เกิดเรื่องที่ทำให้โคมพิทักษ์วิญญาณของสกุลหลงจวนเจียนจะระเบิดเต็มที
หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ขั้วโลกเหนือรู้สึกเจ็บหัวใจ รู้สึกได้ว่าหลิวหลีกำลังเกิดเรื่อง
เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่พลังชีวิตค่อยๆอ่อนลงอย่างจนปัญญา
หลิวหลีรู้สึกไม่ดีไปทั้งตัว เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเพลิงอัคคีที่สมบูรณ์กับที่เกิดใหม่แตกต่างกันหรือ แต่นางไม่อยากจะยอมแพ้ ไม่อยากเลยจริงๆ…
หรือเพราะสัมผัสได้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของหลิวหลี ป้ายหยกลายมังกรตรงหน้าอกนางก็เปล่งแสงออกมา แสงสีทองสว่างเจิดจ้าคลุมร่างของนาง เพลิงวิญญาณไม้ที่เดิมกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ จู่ๆก็เหมือนถูกโจมตีจนไร้พลัง จนต้องไหลไปตามการโคจรของเคล็ดวิชา ไปไม่นานเส้นลมปราณหลักของหลิวหลีเส้นหนึ่งก็กลายเป็นสีเขียวเปล่งประกาย หลังจากดูดซึมหมดแล้ว พลังบำเพ็ญของหลิวหลีก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังเซียนในร่างกายก็สะสมไปได้จำนวนหนึ่ง หลิวหลีไม่กล้าวอกแวก รีบโคจรเคล็ดวิชา ไม่นานก็มีจุดปราณขนาดใหญ่เท่าเม็ดข้าวปรากฏอยู่ในจุดตันเถียนของนาง หลังจากที่ดูดซึมพลังเซียน มันก็ค่อยๆขยายจนมีขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของลูกแก้วแล้วค่อยๆคงที่
บนท้องฟ้าปรากฏมังกรขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายแสงสีฟ้า สีม่วงและสีเขียวขึ้น รูปร่างค่อยๆปรากฏชัดเจน จากนั้นก็มีลมสีดำพัดเข้าสู่ร่างของหลิวหลี นั่นคือวิบากมาร
เอ๋าเลี่ยมองหลิวหลีอย่างกังวลใจ ไม่มีเวลาห่วงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเองแล้ว วิบากมาร…ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะรู้หรือไม่
หลิวหลียืนอยู่ตรงหน้าตึกสูงตระหง่าน ตัวนางเองกลับมาแล้วหรือแต่ทำไมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ เมื่อกลับมาที่ห้องเช่าเล็กๆของตัวเอง ก็พบว่าข้าวของที่ดูคุ้นเคยแต่กลับไม่รู้สึกเช่นนั้น แปลกจริงๆ เป็นคนตกแต่งเองแท้ๆ แต่ทำไมรู้สึกไม่คุ้นเคยเลยสักนิด เอื้อมมือจับไปบนโซฟาเล็กๆของตัวเอง หลิวหลีดูปฏิทิน วันอาทิตย์ พอลูบคอมพิวเตอร์ก็เกือบลืมไปแล้วว่าจะต้องเปิดเครื่องอย่างไร เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย
ถึงแม้หลิวหลีจะมีข้อสงสัยในใจ รู้สึกคุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้ว หลังจากเข้าเว็บไซต์เสร็จก็รู้สึกหิว เริ่มคลับคล้ายคลับคลาว่าเพียงแบมือก็จะมีไฟปรากฏขึ้นนี่นา จริงด้วย นึกออกแล้ว กำลังรวบรวมปราณอมตะอยู่แต่ทำไมถึงกลับมาโลกปัจจุบันได้? หรือว่านางโดนวิบากมาร ตนเองกำลังอยู่ในวิบากมาร นี่คือมารในใจของนาง นางยังคงอยากกลับโลกปัจจุบัน หลิวหลีกำหมัดแน่น ต้องมีสักวันที่นางยืนอยู่บนจุดสูงสุด ฉีกมิติเวลากลับไปยังสถานที่ที่ตัวเองคุ้นเคย ไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม
หลิวหลีสูดลมหายใจลึก หลับตาลง ภาพรอบตัวก็สลายไป นางรวบรวมปราณอมตะอย่างรวดเร็ว พลังบำเพ็ญหยุดอยู่ที่ช่วงอมตะระยะต้นโดยสมบูรณ์ อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถเข้าสู่ระยะกลางได้แล้ว
หลิวหลีจัดการพลังบำเพ็ญเสร็จก็ลูบที่กลางอก จับป้ายหยกลายมังกรพลางครุ่นคิดว่ามันช่วยชีวิตนางไว้หรือ หยกชิ้นนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่
“หลิวหลี ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที ครั้งนี้เจ้าพิชิตเพลิงอัคคีได้ ใช้เวลาถึงสองปีครั้ง พลังบำเพ็ญเพียรบรรลุไปช่วงอมตะแล้ว” ในที่สุดเอ๋าเลี่ยก็เห็นหลิวหลีลืมตาขึ้น ก็อดที่จะพูดขึ้นไม่ได้
“อาเลี่ย ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ท่านพี่ ตื่นแล้วหรือ?” มีเสียงเด็กน้อยลอยเข้ามา
หลิวหลีหันมองต้นเสียง เด็กผมสีม่วงปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลิวหลี ใส่เอี๊ยมปิดด้านหน้า เนื้อตัวขาวผ่อง น่ารักทีเดียว
“เจ้าคือจื่อฉี เจ้าพูดได้แล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนร่างแล้วด้วย ดีจัง” หลิวหลีอุ้มจื่อฉีแล้วพูดขึ้น
“ใช่แล้ว ท่านพี่ จื่อฉีเปลี่ยนร่างแล้ว” จื่อฉีพูดขึ้นอย่างดีใจ ท่านพี่ไม่เป็นอะไรแล้ว ดีจริงๆ
“จื่อฉี เจ้าเป็นอสูรเทพระดับไหนหรือ?” หลิวหลีค่อนข้างกังวลในเรื่องนี้
“ท่านพี่ ข้าเป็นเหมือนท่านลุงเอ๋าเลี่ย เป็นอสูรเทพกลายพันธุ์ มีพรสวรรค์ในด้านการกินแนวเขตต้องห้าม” จื่อฉีพูดขึ้นอย่างลิงโลด
“จื่อฉีสุดยอดมาก จริงสิ…แล้วหงหลินล่ะ” งูหลามเพลิงตัวนั้นไปอยู่ไหนแล้ว
“ตรงนั้น”
หลิวหลีพันมองตามนิ้วขาวนวลน้อยๆของจื่อฉี ก็เห็นงูหลามนอนแผ่ตัวอยู่ มองนางแล้วน้ำตาซึม ดีจังเลย มีโอกาสรอดแล้ว
หลังจากเห็นหงหลินที่ดูหมดอาลัยตายอยาก แถมยังมองนางด้วยแววตาตัดพ้อ มองไปที่จื่อฉีด้วยท่าทีหวาดกลัว หลิวหลีก็เข้าใจในทันทีว่าสองปีมานี้หงหลินน่าจะถูกจื่อฉีแกล้งไม่น้อย
หลิวหลีตีหัวจื่อฉีเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไร สะบัดมือแล้วหงหลินก็กลายร่างเป็นกำไลอยู่ที่ข้อมือนาง มือซ้ายอุ้มจื่อฉี เมื่อแบมือขวาออกก็ปรากฏลูกไฟสีเขียวหยกขึ้น นั่นคือเพลิงวิญญาณไม้ นางได้เพลิงอัคคีมาแล้ว 3 ชนิดจากทั้งหมด 9 ชนิด นางช่างโชคดีจริงๆ
“อาเลี่ย รูปร่างของเจ้าเริ่มคล้ายมังกรแล้ว” หลิวหลีประหลาดใจ เมื่อพบว่าเอ๋าเลี่ยเริ่มเหมือนภาพมังกรในหัวของนางมากขึ้นทุกที
“หลิวหลี เดิมข้าก็เป็นมังกรอยู่แล้ว หลังจากงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองเฟยเซียนสิ้นสุดลง ข้าจะพาเจ้ากลับเผ่ามังกร พวกเราจำเป็นต้องทำพันธสัญญาอย่างเป็นทางการ” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่าอยู่กับเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ได้” หลิวหลีพยักหน้า เผ่ามังกรหรือ ก็ดีเหมือนกันหลังจากไปเผ่ามังกรแล้ว นางจะได้ไปบ้านสกุลหลงด้วย ถึงอย่างไรที่นั่นก็มีญาติๆของนางอยู่