สองข้างทางของทางสายเล็กบนภูเขา โคมกระดาษสีขาวที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศโดยไม่มีกิ่งไม้สูงให้พึ่งพิงแกว่งไกวไปตามสายลม และได้กลายมาเป็นโคมสีแดงฉานมานานแล้ว เลือดสดดุจน้ำเดือดพล่าน เม็ดเลือดสาดกระเซ็นไปชนโคมดวงอื่นไม่หยุด เกิดเป็นเสียงเปรี๊ยะๆ ชวนขนหัวลุก

ผีสาวชุดแต่งงานยังคงร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับตัวเอง ไม่ยอมปล่อยสองมือลง ไม่เห็นเทพหยินอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

จิตของเทพหยินขยับไหวเล็กน้อย ใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่หลินโส่วอีว่า หากเด็กหนุ่มมีโอกาสก็ให้ใช้ยันต์ทำลายเวทอำพรางตาที่ถือเป็นยันต์ภูเขา อันดับต่อไปเขาจะพยายามถ่วงรั้งผีสาวไว้ให้ได้มากที่สุด หากทำลายเวท “เส้นทางน้ำพุเหลือง” ออกไปได้ก็ให้รีบพาพวกเฉินผิงอันออกไปจากภูเขา ไม่ต้องสนใจเขา จำไว้ว่าห้ามเดินไปบนทางภูเขาใต้ฝ่าเท้าสายนี้อีก ให้เฉินผิงอันใช้ดาบยันต์มงคลบุกเบิกทางเส้นใหม่

หลังจากหลินโส่วอีตอบรับแล้วก็ลองถามหยั่งเชิงว่าต้องการให้เขาทิ้งดาบยันต์มงคลเล่มนั้นไว้หรือไม่ เทพหยินส่ายหน้า บอกว่าตนถือไม่ไหว ปราณกระบี่หนักเกินไป ใช้บุกเบิกทางใหม่ย่อมดีที่สุด เมื่อต้นไม้ใบหญ้าได้รับปราณกระบี่อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เต็มไปด้วยสง่าราศีซึ่งเป็นตัวพิชิตวัตถุชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด ฝ่ายตรงข้ามก็ย่อมไม่สะดวกให้อีกฝ่ายใช้กลอุบายต่ออีก

ผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสะบัดสองมือทิ้ง เผยให้เห็นดวงตาซีดขาวที่ไม่เหลือคราบเลือดอีกแม้แต่หยดเดียว แสยะยิ้มดุร้าย “ทีแรกก็มาโดยไม่ได้รับเชิญ ตอนหลังยังจะไปโดยไม่บอกลา นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่วิญญูชนพึงกระทำ”

ใบหน้าของเทพหยินพลันพร่าเลือนเหมือนเทียนที่ละลายอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นกลุ่มควันเข้มข้นดุจหมึกกลุ่มหนึ่งที่พุ่งเข้าใส่ผีสาวสวมชุดแต่งงาน

นางยกชายแขนเสื้อขึ้นแล้วแผ่เป็นวงกว้างคล้ายนกสยายปีกปกป้องอยู่เบื้องหน้าตัวเอง

แต่กระนั้นผีสาวก็ยังคงถูกพุ่งชนจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้งในชั่วพริบตา โคมสีแดงสดระหว่างทางที่นางถอยกรูดออกไปพากันระเบิดแตกดังปึงปัง เลือดสในโคมไฟไม่ได้สาดกราวลงบนพื้นภูเขา แต่บินเข้าหาผีสาวที่ถูกเทพหยินชนจนถอยร่นเหมือนนกที่กลับคืนรัง ภาพเหตุการณ์คล้ายตอนที่ธงเรียกวิญญาณของนักพรตเฒ่าดูดดึงเอาแก่นวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของวัตถุชั่วร้ายเข้าไป

หลินโส่วอีกล่าวเสียงหนัก “ทุกคนมาอยู่ด้านหลังข้า แยกออกไปจากทางเส้นนี้ให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน เฉินผิงอัน เดี๋ยวพวกเราจะต้องบุกเบิกเส้นทางใหม่ออกไป ผู้อาวุโสเทพหยินบอกว่าให้เจ้าใช้ดาบยันต์มงคลเปิดทาง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะไปแบกนักพรตเฒ่า ในเมื่อเห็นคนจะตายอยู่ตรงหน้าก็ไม่ควรนิ่งดูดาย”

นักพรตตาบอดนอนอยู่ห่างออกไปประมาณสิบกว่าจั้ง ลมหายใจรวยรินเต็มที

เฉินผิงอันวิ่งตะบึงเข้าไปแบกผู้เฒ่าที่น่าสงสารแล้วหมุนตัววิ่งจากมา

หลินโส่วอียืนนิ่ง นิ้วมือสองข้างคีบยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง พึมพำคาถาเสียงเบาไม่หยุด

นี่ก็คือยันต์ทำลายเวทอำพรางตาหนึ่งในยันต์ภูเขาและแม่น้ำ ตามคำอธิบายของเทพหยินตนนั้น ยันต์ภูเขาและแม่น้ำมีมากมายหลายร้อยหลายพันชนิด ดาษดื่นละลานตา คือหนึ่งในยันต์จำเป็นที่ผู้ฝึกลมปราณต้องเตรียมไว้เวลาออกเดินทางไกล ป้องกันไม่ให้ถูกผีบังตาอย่างที่พวกชาวบ้านชอบพูดกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเพราะกังวลว่าจะตกอยู่ในค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่ผู้ซึ่งเดินทางมาร่วมกันแอบร่ายไว้ หรือไม่ก็กลัวว่าจะถูกภูตผีบนภูเขาที่มีตบะลึกล้ำเล่นงาน โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปยังสถานที่อย่างซากปรักสมรภูมิรบโบราณ หรือสุสานไร้ญาติ นักพรตโดยทั่วไปแล้วหากไม่มียันต์ทำลายเวทอำพรางตา ยันต์แขวนโคมพลังหยาง ยันต์ตรีวิสุทธิ์สงบใจ ฯลฯ ก็เท่ากับโยนตัวเองเข้าไปในแห

หลินโส่วอีพลันลืมตา จุดลึกในดวงตาของเด็กหนุ่มมีประกายแสงสีทองวูบผ่าน เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “พวกเราเดินตามยันต์ไป”

เห็นเพียงว่ายันต์ทำลายเวทอำพรางตาที่อยู่ระหว่างนิ้วของเด็กหนุ่มบินออกไป หลังจากไปหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศสูงประมาณตัวคนก็เริ่มล่องลอยออกไป คล้ายคนเมาคนหนึ่งที่กำลังนำทาง

ยันต์ใบนั้นลอยมาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศข้างทางใกล้กับผนังภูเขา หลี่ไหวเอ่ยถาม “จะให้พวกเขาโหม่งหัวเข้าชนหรือไง?”

หลินโส่วอีก้าวนำออกไปก่อนหนึ่งก้าว ร่างก็พลันหายวับไป

หลี่เป่าผิงและหลี่ไหวจึงทยอยกันเดินตามเข้าไป เฉินผิงอันที่แบกผู้เฒ่าอยู่บนหลังจูงลาขาวเดินตามเข้าไปหลังสุด เพียงไม่นานพวกเขาก็หายไปจากบนเส้นทางภูเขา

เดินทียันต์เหลืองแผ่นนั้นก็คิดจะตามเข้าไป แต่เหมือนถูกคนกระชากเอาไว้อย่างเงียบเชียบ ปราณวิญญาณหายสิ้น จึงร่วงผล็อยลงบนพื้น

คนทั้งกลุ่มมาปรากฏตัวอยู่ในจุดลึกมุมหนึ่งของป่าทึบ ทุกคนหันมามองหน้ากัน ต่อให้เป็ฯหลินโส่วอีที่ร่ายใช้ยันต์ทำลายเวทอำพรางตาด้วยตัวเองก็ยังมึนงงทำอะไรไม่ถูก

เฉินผิงอันให้หลินโส่วอีช่วยแบกผู้เฒ่านักพรตเต๋าก่อน ส่วนตัวเขาเริ่มปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ กวาดตามองรอบด้านจากจุดที่สูงที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ตรงพื้นที่ราบระหว่างภูเขาที่มีผนังภูเขาสามด้านล้อมรอบ ต่อให้เป็นสายตาของเฉินผิงอันก็ยังไม่อาจมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนนัก เห็นเป็นเพียงภาพคร่าวๆ ที่พร่าเลือนเท่านั้น

ก่อนจะออกมาจากเส้นทางภูเขา ห่างไปไกลบนเส้นทางสายนั้น เทพหยินกับผีสาวกำลังเปิดศึกกันอย่างดุเดือด เสียงระเบิดของโคมไฟดังมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย

หลังอาศัยยันต์ทำลายเวทอำพรางตาเดินออกมาแล้วรอบด้านกลับเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ความแตกต่างมหาศาลเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้หลี่ไหวสบายใจ กลับยิ่งเพิ่มความหวาดหวั่นให้เขาเข้าไปอีก

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มือกระชับดาบยันต์มงคลเอาไว้แน่น “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องเดินไปทางทิศใต้ มีเพียงทางฝั่งนั้นที่ไม่มีภูเขาสูงบดบัง”

……

ท่ามกลางพื้นที่ราบระหว่างภูเขาที่มีต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้ามีสิ่งปลูกสร้างเป็นหอเรือนสูงทับซ้อนเรียงกันเป็นตับโอ่อ่าใหญ่โต ขนาดใหญ่กว่าจวนของขุนนางทั่วไปในโลกมนุษย์ เกรงว่าคงมีแต่จวนของจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่ถึงจะทัดเทียมได้

จวนแห่งนี้แขวนป้ายอักษรทองคำว่า “น้ำสวยลมสูง” ที่เขียนด้วยลายมือหนักแน่นทรงพลังดุจลายมือของเทพเซียน สองข้างฝั่งด้านนอกประตูใหญ่มีสิงโตหินขนาดยักษ์คู่หนึ่งตั้งวางอยู่ ทั้งสองล้วนสูงเท่าตัวคนสองคน สิงโตตัวหนึ่งยื่นกรงเล็บออกไปคว้ารูปปั้นหินเด็กขนาดเท่าตัวคนจริง ท่วงท่าองอาจมากบารมี

มีผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งถือโคมไฟดวงใหญ่เดินออกมาจากกลางอากาศที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก

เขาก็คือใต้เท้าหลางจงที่รับผิดชอบงานพิธีบวงสรวงของกรมพิธีการต้าหลี

ผู้เฒ่าถอนหายใจ คิ้วขมวดเป็นปม เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการมาเยือนครั้งนี้เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เขาเสียบโคมไฟที่อยู่ในมือไว้ใต้เท้าของสิงโตหินตัวหนึ่ง แทบจะชั่วพริบตานั้นจวนที่เงียบสงัดมืดมนไม่มีแม้แต่แสงไฟก็พลันสว่างไสว ไม่ว่าจะที่สูงที่ต่ำ จุดที่อยู่ใกล้หรือไกลของในจวน โคมเกือบพันดวงล้วนถูกจุดให้สว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน

จากนั้นประตูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกเปิดออก ดรุณีน้อยหน้าตางดงาม พ่อบ้านวัยชรา สารถี พ่อครัว สาวใช้นางกำนัล บ่าวชายเฝ้าจวนที่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนก็เริ่มปรากฎตัวทำงานเหมือนได้รับคำสั่งจากเจ้านายในเวลาเดียวกัน

เพียงแต่ว่าคนเหล่านี้สีหน้าซีดขาว ดวงตาไร้แววชีวิตชีวาแทบทั้งหมด

ในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มขาเป๋กับแม่นางน้อยหน้ากลมนั่งพิงกันอยู่ตรงมุมกำแพง

เด็กหนุ่มขาเป๋มีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดไม่หยุด บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ต่อให้ปล่อยเขาไป เกรงว่าเขาเองก็คงเดินได้แค่ไม่กี่ก้าว ก่อนหน้านี้เพื่อรับมือกับผีสาวชุดเจ้าสาวที่มีตบะน่าตะลึง เด็กหนุ่มชักดึงอักขระสีเงินสี่ตัวอย่าง “ปราบปีศาจจับผี” เข้ามาในทวารบนใบหน้าของตน ซึ่งเป็นวิธีการอำมหิตที่ทำลายจิตวิญญาณของตัวเอง

ส่วนแม่นางน้อยที่กรีดแขนของตัวเองหลายครั้ง จึงเสียเลือดไปมาก บวกกับที่ได้รับปราณชั่วร้ายบางส่วนมาจากผีสาว ต่อให้เป็นตอนนี้แม่นางน้อยก็ยังรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง พะอืดพะอมอยากอาเจียน

เมื่อโคมไฟสว่างขึ้น สีหน้าของเด็กหนุ่มขาเป๋ยิ่งไม่น่ามอง เขารีบใช้มือปิดตาแม่นางน้อยเอาไว้

เพราะในการมองเห็นของเด็กหนุ่มขาเป๋คือซากโครงกระดูกหลายโครงที่โผล่พ้นจากบนพื้นมาแค่ครึ่งร่าง เบียดเสียดกันแน่นขนัดคล้ายผักที่ถูกปลูกไว้ในสวน จำนวนไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าสิบร่าง

เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย

เพราะกระดูกของโครงกระดูกหนึ่งในนั้นกลับมีแสงสีทองจางๆ แผ่ออกมาจากกระดูกสันหลัง ส่วนกระดูกของแขนขาทั้งสี่กลับเป็นสีขาวสะอาดดุจหยกงาม ซึ่งนี่เป็นภาพปรากฎการณ์ “กิ่งทองใบหยก” ของนักพรตห้าขอบเขตกลางแล้ว อีกทั้งหากดูตามคำพูดของนักพรตเฒ่า มีเพียงผู้ฝึกลมปราณใหญ่ในระดับชั้นที่สูงของห้าขอบเขตกลางเท่านั้นถึงจะมีปรากฎการณ์แตกกิ่งออกใบเช่นนี้ได้ ผู้ฝึกลมปราณอิสระที่เพิ่งจะสัมผัสได้ถึงธรณีประตูของห้าขอบเขตกลางอย่างนักพรตเต๋าชราผู้นี้ แม้แต่กิ่งทองก็ยังฝึกไม่สำเร็จ ยิ่งอย่าได้หวังถึงใบหยก

มิน่าเล่าถึงได้แพ้ราบคาบขนาดนี้

ฝีมือต่างกันมากเกินไป

หน้าประตูจวน ประตูกลางเปิดอ้าต้อนรับหนึ่งในสามหลางจงที่มีอำนาจที่สุดของต้าหลีผู้นั้นด้วยพิธีการยิ่งใหญ่

ทว่าผู้เฒ่ากลับไม่ได้ข้ามธรณีประตูเข้าไป แต่นั่งอยู่บนธรณีประตู มองไปยังถนนกว้างขวางนอกจวน เอ่ยเสียงเบา “ฉู่ฮูหยิน ฟังข้าสักคำ อย่าสร้างความลำบากใจให้เด็กหนุ่มเด็กสาวพวกนั้นได้หรือไม่?”

โคมสีแดงดวงใหญ่ที่เขาวางขวางไว้ใต้เท้าสิงโตหินหน้าประตูแกว่งสะบัดอย่างรุนแรง

บนโคมเขียนสี่ตัวอักษรด้วยชาดสีแดงว่า “วิญญาณเอยจงกลับไป” และเมื่อโคมแดงแกว่งรุนแรงก็ทำให้เกิดคลื่นแสงสีแดงสดเป็นเส้นๆ

ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนเสียงเข้มงวด “ฉู่ฮูหยิน! หากเด็กพวกนั้นเกิดเรื่องในถิ่นของเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่จวนหลังนี้ของเจ้าเลย ต่อให้เป็นต้าหลีของพวกเราก็ต้องเดือดร้อนไปด้วย”

น่าเสียดายที่ไร้เสียงตอบรับ

ผู้เฒ่าเริ่มเดือดดาล “ฉู่ฮูหยิน!”

มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ท่าทางเหมือนพ่อบ้านวัยชรายืนอยู่หน้าประตู เขาสวมหมวกขนสัตว์ ยืนสองมือไพล่หลัง ค้อมตัวกระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้ม “ต้าหลีแบ่งภูเขาและแม่น้ำแถบนี้ให้เป็นถิ่นของคุณหนูของข้ามาหลายปีจนนับเวลาถ้วนแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาคุณหนูกับต้าหลีของพวกเจ้าก็อยู่ร่วมกันด้วยดีมาตลอด ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่ข้าผู้อาวุโสยังไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน ได้ยินมาว่าคุณหนูของเราเคยมีบุญคุณต่ออดีตฮ่องเต้บางองค์ของต้าหลีพวกเจ้า อีกทั้งตอนนี้ในจวนของพวกเรายังมีตำราทองคัมภีร์เหล็ก ‘ภูเขาแม่น้ำปรองดองตลอดกาล’ เล่มนั้นวางไว้อยู่เลยนะ หลังจากเกิดเรื่องโชคร้ายนั้นขึ้น นับตั้งแต่อดีตฮ่องเต้ของพวกเจ้ามาจนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันต่างก็อนุญาตให้คุณหนูของเราระบายความเจ็บแค้นได้ตามใจชอบมาโดยตลอด แต่ทำไมตอนนี้ถึงทำไม่ได้?”

ผู้เฒ่าชุดเขียวลุกขึ้นยืน หันกลับไปมองผู้เฒ่าสวมหมวกผ้า เอ่ยเนิบช้า “ไม่เพียงแต่วันนี้เท่านั้นที่ทำไม่ได้ เรื่องที่ทำลายบัณฑิตที่ผ่านทางมา หลังจากนี้ก็ทำไม่ได้! เหตุผลนั้นข้าจะบอกกับฉู่ฮูหยินด้วยตัวเอง แต่หากฉู่ฮูหยินไม่ยอมหยุดมือ อีกทั้งยังไม่ยอมพบข้า ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าต้าหลีของพวกเราไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อน!”

พ่อบ้านชราตบอกตัวเองให้หยุดไอ แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “สถานการณ์บ้านเมืองของต้าหลีในเวลานี้สั่นคลอนไม่แน่นอน เว้นเสียแต่ว่าอาจารย์หร่วนผู้นั้นลงมือด้วยตัวเอง หาไม่แล้วคุณหนูของข้าก็คงไม่กลัวใครจริงๆ ต่อให้เอาชนะพวกคนที่รับทำงานลับของต้าหลีอย่างพวกเจ้าไม่ได้ แต่หากคุณหนูคิดจะหลบซ่อนตัวจริงๆ พวกเจ้าจะมีพละกำลังเหลือมาขุดรากถอนโคนเทือกเขายาวร้อยลี้แห่งนี้ ขณะเดียวกันต้องตัดขาดแม่น้ำซิ่วฮวาจริงๆ หรือ ไม่กลัวว่าทำแบบนี้แล้วจะเดือดร้อนไปถึงภูเขาฉีตุนและถ้ำสวรรค์หลีจูที่เพิ่งร่วงลงสู่พื้นดินหรือไร?”

ผู้เฒ่าชุดเขียวสีหน้ามืดทะมึน “ใต้เท้าของพวกเราไม่ใช่ข้ารับใช้ต้าหลีที่เห็นหน้าตาตัวเองยิ่งใหญ่เทียมฟ้า และเขาก็เกลียดพวกคนที่ได้คืบจะเอาศอกมากที่สุด”

ประตูใหญ่ค่อยๆ ปิดลง พ่อบ้านวัยชรายืนอยู่ด้านในธรณีประตู ยิ้มตาหยี “คุณหนูของเราบอกแล้วว่าให้ต้าหลีของพวกเจ้าลองลงมือดู”

“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน!”

หลางจงแห่งกรมพิธีการต้าหลีส่ายหน้า เขาเองก็เป็นคนตัดสินใจรวดเร็วฉับไว ไม่มัวพูดจาโต้เถียง เดินลงบันไดไปโดยตรง หยิบโคมไฟสีแดงดวงใหญ่กลับมาแล้วขว้างขึ้นไปบนท้องฟ้า

ร่างของเขาหายวับไป

โคมดวงนั้นเป็นดั่งพระจันทร์สีเลือดที่ลอยขึ้นบนท้องนภา

……

บนถนนหน้าประตูจวน พวกเฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

ใครก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะออกจากกลางป่าทึบมาโผล่อยู่เบื้องหน้าจวนหลังใหญ่หรูหราแห่งนี้

เฉินผิงอันรับผิดชอบใช้ดาบยันต์มงคลฟันขวากหนามกิ่งไม้มาตลอดทาง เวลานี้จึงหอบหายใจแรงเล็กน้อย กำลังกายถูกเผาผลาญไปไม่มาก แต่กลับหนักใจเสียมากกว่า

ผู้เฒ่าตาบอดที่ถูกหลินโส่วอีแบกอยู่บนหลังพลันเลิกทำเป็นแกล้งตาย ตบบ้องหูตัวเองแล้วกล่าวน้ำตานองหน้า “คิดไม่ถึงว่าตบะของผีสาวจะน่ากลัวขนาดนี้ นักพรตผู้ต่ำต้อยดันเป็นฝ่ายไปหาเรื่องนางก่อน ยังคิดจะปราบมารกำจัดปีศาจกับนาง ตาสุนัขคู่นี้ไม่ได้บอดเสียเปล่าจริงๆ …”

หลินโส่วอีสะดุ้งตกใจ รีบปล่อยผู้เฒ่าตาบอดลงจากหลัง

หลี่ไหวหลบอยู่ด้านหลังหลี่เป่าผิง หลี่เป่าผิงหน้าซีดขาวเล็กน้อย กระตุกชายแขนเสื้อเฉินผิงอัน เอ่ยถามเสียงเบา “อาจารย์อาน้อย เจ้ากลัวหรือไม่?”

เฉินผิงอันยกหลังมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พยักหน้ารับ “ต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นไร มีข้าและหลินโส่วอีอยู่”

หลินโส่วอียิ้มขื่น “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าพอจะลองดูได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าความสามารถแค่นั้นของข้าเทียบได้กับปลายเล็บของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง”

เฉินผิงอันสอดดาบยันต์มงคลกลับเข้าฝักดังเดิมแล้วคืนให้กับหลี่เป่าผิง มองเห็นว่านางและหลินโส่วอีต่างก็กลัดกลุ้ม เฉินผิงอันจึงอธิบายว่า “อีกเดี๋ยวให้ข้าลองดูแล้วกัน”

หลี่ไหวถามอย่างไร้เดียงสา “ผีสาวผู้นั้นไม่กลัวดาบยันต์มงคล ไม่กลัวยันต์ของหลินโส่วอี แต่กลับกลัวหมัดอย่างนั้นหรือ?”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แต่เริ่มกลั้นลมหายใจทำสมาธิ