บทที่ 58 พระองค์... โปรดมอบความเป็นธรรมให้กับข้ารับใช้ผู้นี้ด้วย

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

โอวหยางซงเหิงหรี่ตา ทำคอยืดยาว พยายามมองสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านให้ชัดขึ้น

“ตราบใดที่ไอ้ขันทีเหลียนฟู่นั่นสู้ด้วย เราต้องชนะอย่างแน่นอน ถึงหมอนั่นจะดูเหมือนพวกชอบแต่งตัวข้ามเพศ แต่เรื่องพลังปราณนั้นไม่เป็นรองใคร”

“ในฐานะนักพรตยุทธการระดับเจ็ด แม้หมอนั่นจะอ่อนแอกว่าตาแก่เซียวนิดหน่อย และเก่งกว่าข้ากระจึ๋งเดียว แต่ก็มีความสามารถพอจะจับตัวไอ้เซียวเยวี่ยที่กำลังคางเหลืองได้สบายๆ แน่นอน” โอวหยางซงเหิงคิดพลางย่นจมูก ทำปากกระตุก

ทหารคนอื่นๆ เบื้องหลังเขาก็พยายามชะเง้อคอดูสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านด้วยความสงสัยเช่นกัน หากจับตัวราชากระบี่หัวใจสะบั้นได้ จะต้องเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ทำให้ทั้งอาณาจักรตกใจแน่! พวกเขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ด้วยประการทั้งปวง

เซียวเหมิงขมวดคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พลังปราณหลั่งไหลออกจากร่างเข้าห่อหุ้มชุดเกราะ

ลมพายุร้ายรุนแรงระเบิดออกจากร้านราวมังกรพิโรธที่กำลังออกอาละวาด พลังปราณกดดันน่ากลัวพุ่งออกมาเช่นกัน ก่อนกระจายตัวพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้อง

โอวหยางซงเหิงที่กำลังทำคอยืดยาวตัวแข็งทื่อไปทันที ดวงตาเบิกกว้างด้วยความพรั่นพรึง เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้เวรเอ๊ย!”

ผู้เป็นพ่อหันหลังกลับไปสวมกอดบุตรสาว ตูม! ลมพายุรุนแรงพุ่งออกมาเหมือนมังกรที่กำลังทิ้งดิ่ง พุ่งเข้ากระแทกหลังของเขา ส่งให้ชายร่างหนาปลิวไปตามแรงอัด

เคราะห์ดีที่แม้ลมนั้นจะแรง ทั้งยังมีกลิ่นปากปนมาด้วย… แต่โอวหยางซงเหิงก็ยังพอรักษาหน้าเอาไว้ได้ เนื่องจากเป็นชายร่างใหญ่ ทั้งแรงลมนั้นยังเบาบางลงแล้ว

อีกทั้งพลังปราณของโอวหยางซงเหิงยังอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นจักรพรรดิยุทธการด้วย

ชายร่างยักษ์ตีลังกาถลาลงพื้นด้วยท่วงท่าสง่างาม โอวหยางซงเหิงลูบหัวโอวหยางเซียวอี้ พลางพูดกลั้วหัวเราะ “ลูกน้อยกลอยใจของข้า บิดาเจ้าสง่าสมชายชาตรีไปเลยใช่ไหมเล่า”

โอวหยางเสี่ยวอี้กลอกตา อับจนซึ่งคำพูด ทำได้แค่พ่นลมเยาะเย้ย

โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง!

เสียงสุนัขเห่าดังชัดที่ฟังเหมือนเสียงอสูรเวทโบราณสุดเลวร้ายดังออกมา ตามมาด้วยเสียงหวีดหวิวของลมพายุร้าย

ร่างสามร่างลอยล่องออกจากร้าน หมุนวนเป็นก้นหอยอยู่กลางอากาศ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงจนทำให้เลือดแข็งตัวและเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว

แม้ผมของแม่ทัพใหญ่จะปลิวไสวไปตามแรงลม แต่ร่างของเขายังยืนมั่นอยู่บนพื้นดินโดยไม่ได้รับผลกระทบจากพายุแต่อย่างใด เขาเอื้อมมือออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อรับร่างหนึ่งเอาไว้

“หืม” แม่ทัพใหญ่ชะงักขณะคิด “ไอ้ความรู้สึกเรียบลื่นนี่มันอะไรกัน”

“ให้ตาย! น่ารำคาญเสียจริง แม่ทัพเซียว! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!” เสียงแหลมสูงอัดแน่นด้วยความจงเกลียดจงชังและความเก้อเขินเล็กน้อยดังขึ้น

เซียวเหมิงมองดูร่างในมือเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ชายผู้นั้นใส่เพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียว… หัวหน้าขันทีเหลียนฟู่นั่นเอง

“อะแฮ่ม… ผิวของเจ้าเรียบลื่นใช้ได้” แม่ทัพใหญ่พูดเสียงสงบพร้อมกระแอมกระไอเล็กน้อย ก่อนปล่อยเหลียนฟู่ลง

เหลียนฟู่กลอกตาใส่เซียวเหมิงด้วยความเดียดฉันท์ เมื่อหันไปมองที่ร้านนั้นอีกครั้ง ดวงตาของขันทีก็เต็มไปด้วยความอับอายและโกรธเคือง ไอ้สุนัขนั่น… ไม่ใช่สุนัขปกติอย่างแน่นอน!

ตูม ตูม!!

ร่างของเซียวเยวี่ยและหุนเชียนต้วนพุ่งเข้าชนกำแพงอย่างแรง ก่อนรูดตกลงไปที่พื้น เสื้อผ้าของทั้งสองถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในลมหมุน เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่า เหลือไว้เพียงผ้าเตี่ยวให้ดูต่างหน้า

“เซียวเยวี่ย!” ทันใดนั้นเซียวเหมิงก็เห็นเซียวเยวี่ยที่ถูกถีบออกมานอกร้าน รังสีสังหารระเบิดออกจากดวงตา เขากระทืบเท้าด้วยท่าทางดุร้าย พื้นเบื้องล่างยุบตัวลงเป็นชิ้น ร่างพุ่งทะยานเข้าใส่เซียวเยวี่ยด้วยการกระโจนเพียงครั้งเดียว

เซียวเยวี่ยเลือดโชกไปทั้งร่าง ขณะพยายามยันตัวขึ้นจากพื้น ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มประหลาด

“เซียวเหมิง… เจ้าจับข้าไม่ได้หรอก เมื่อวานเจ้าทำไม่ได้ และวันนี้ก็จะทำไม่ได้เช่นกัน!”

ทันทีที่พูดจบ เสียงกระบี่ครวญราวมังกรคำรามก็ดังมาจากเบื้องบน ร่างสี่ร่างลดตัวลงเบื้องหน้าเซียวเยวี่ย

ทันทีที่ร่างทั้งสี่และกระบี่ทั้งสามปรากฏขึ้นในอากาศ พลังงานกดดันน่ายำเกรงก็ระเบิดออกมาโดยพลัน

“หอกระบี่มหาสูญ! วิหารเก้าดารา!”

รูม่านตาของเซียวเหมิงหดแคบ แต่ก็ไม่ได้หยุดพุ่งไปข้างหน้าแต่อย่างใด เขาส่งหมัดออกไปด้วยแรงมหาศาล พลังปราณฉีกอากาศออกเป็นชิ้นๆ

จอมยุทธ์ทั้งสามวาดมือเหมือนฟาดฟันด้วยกระบี่ กระบี่บินสามเล่มผนึกกำลังกันเป็นโล่กระบี่ ปัดป้องการโจมตีนั้นเอาไว้ได้

นักบวชแห่งเต๋าที่เหลืออยู่อีกคนตั้งผนึกมือชุด รวบรวมพลังปราณไว้ภายในฝ่ามือ แล้วโยนหมัดใส่เซียวเหมิงด้วยเช่นกัน พลังทั้งสามพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ ก่อให้เกิดพลังสะท้อนกลับปริมาณมหาศาลอีกครั้ง

พรวด พรวด!

ชายทั้งสี่ที่กันเซียวเยวี่ยเอาไว้จากอันตรายต่างกระอักเลือดกันออกมาคนละที พลันล่าถอยไปข้างหลัง พวกเขาคว้าตัวเซียวเยวี่ยและหุนเชียนต้วนเอาไว้ ก่อนเหาะหนีไปในอากาศ

ร่างของเซียวเหมิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนจะสลายพลังปราณที่จองจำตัวเขาเอาไว้ ทว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นั้นเอง เซียวเยวี่ยก็จากไปเสียแล้ว

“บัดซบ… ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าเซียวเยวี่ยมันต้องมีแผนสำรอง!” เซียวเหมิงไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขาได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ ชกกำแพงด้วยความโกรธแค้นจนกำแพงร้าวเป็นริ้วๆ

“เป็นเพราะไอ้หมาดำนั่นทีเดียวเชียว! พวกเราล้อมเซียวเยวี่ยเอาไว้ได้หมดแล้ว… ถึงอย่างไรก็ไม่รอดเงื้อมมือเราไปได้แน่! เหตุใดไอ้หมานั่นจึงซัดมันออกจากร้านกัน!” หัวหน้าขันทีหันไปชี้บุ้ยใบ้ด้วยท่าจีบมือไปที่ร้าน

“เจ้ากล้าชี้หน้าข้าด้วยนิ้วชี้กับนิ้วโป้งถึงสองนิ้วเชียวรึ” สุนัขเจ้าปัญหาเดินเยื้องย่างออกมาด้วยท่าทางเหมือนแมว มันยืนจังก้าด้วยสีหน้าโอหัง มองไปที่เหลียนฟู่ในผ้าเตี่ยว

“ข้าหมายถึงเจ้านั่นแหละ! อย่าคิดว่าข้าจะกลัวเจ้าแค่เพราะเจ้าลอบโจมตีข้าสำเร็จนะ!” เหลียนฟู่พูดพลางสะบัดเอวบางไปมา

เจ้าดำฉีกปากยิ้มเล็กๆ อย่างมีความหมาย…

ทันใดนั้น เหลียนฟู่ก็รู้สึกราวมีพลังยิ่งใหญ่น่ากลัวกดทับลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า บีบอัดมาที่ร่างกายเขา ความรู้สึกไม่ต่างจากถูกขุนเขามโหฬารทับ จนต้องนอนแน่นิ่งเอาท้องแนบพื้น ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้

เหลียนฟู่สติหลุดไปเรียบร้อย ผมสีขาวกระจายปิดหน้าปิดตา… ช่างน่าอายเสียนี่กระไร

รูม่านตาของเซียวเหมิงหดแคบ “พลังน่ากลัวนี้… สุนัขสีดำนี่เป็น… อสูรเวทระดับเก้าในตำนานรึ!”

“เถ้าแก่ปู้… ครั้งนี้เป็นความผิดของพวกข้าเองที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าพอจะ… ทำให้ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่นี้รามือได้หรือไม่” เซียวเหมิงหันไปทางร้าน พร้อมทำท่าผสานมือคารวะ

ปู้ฟางเดินออกมาจากร้าน ร่างสูงโปร่งและผมยาวที่รวบกริบเรียบร้อยทำให้เขาดูสะอาดสะอ้านเป็นอันมาก

“เจ้าหมาขี้เกียจที่ชื่อเจ้าดำตัวนี้เป็นหมาอารมณ์ร้ายยิ่ง… ข้าขอใช้โอกาสนี้สั่งสอนขันทีนี่ก็แล้วกัน จำเอาไว้ คราวหน้าถ้ามาที่นี่อีก… อย่าลืมทำตามกฎของร้านด้วย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย

หลังจากที่พูดจบ ชายหนุ่มก็ลูบขนนุ่มสลวยไร้ที่ติของเจ้าดำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “หยุดเล่นแล้วปล่อยขันทีนั่นได้แล้ว”

เจ้าดำหันหน้าไปตอบ “ถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ”

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าก็จะตื่นสายๆ หน่อยแล้วไม่ฝึกทำอาหารตามตาราง…” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบแต่จริงจัง

“ก็ได้ ปล่อยก็ได้” เจ้าดำพ่นลมเย้ยพร้อมกลอกตาใส่ปู้ฟาง จากนั้นก็เดินเยื้องย่างเหมือนแมวดำไปที่มุมกำแพง และกลับไปนอนต่อตรงที่ประจำแสนสบาย

มุมปากของปู้ฟางยิ้มเล็กๆ ขณะคิด “ปราการด่านสุดท้ายที่ระบบบอกคือเจ้าหมากินไม่จ่ายนี่เอง มิน่าล่ะ… ระบบนั่นขี้เหนียวทุกกระเบียดนิ้วขนาดนี้ คงไม่มีทางปล่อยให้ข้าทำอาหารเลี้ยงหมาดำที่กำลังจะกลายเป็นหมูเล่นๆ แน่นอน”

“โอ๊ย เอวข้า!” เมื่อเหลียนฟู่รู้สึกว่าพลังน่ากลัวที่กดทับร่างเขาเอาไว้หายไปเรียบร้อย ขันทีก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองเจ้าดำด้วยสายตาหวาดกลัว เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก ทำได้แค่วิ่งหนีหางจุกตูดไปโดยใส่เพียงผ้าเตี่ยวผืนเดียว

“เจ้าดำนี่สุดยอดไปเลย!” โอวหยางเสี่ยวอี้ปรบมือชื่นชมอย่างมีความสุข ดวงตายิ้มหยีจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว “เก่งกว่าท่านพ่อเยอะเลย”

แม่ทัพโอวหยางรู้สึกราวกับถูกลูกศรล่องหนพุ่งเข้าปักจึ้กที่กลางใจ… ในสายตาของบุตรสาวสุดที่รักของเขา ตัวเขานั้นสู้แม้กระทั่งสุนัขไม่ได้ด้วยซ้ำ

“ขอบคุณ เถ้าแก่ปู้” เซียวเหมิงขอบคุณปู้ฟางด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็หันไปมองเจ้าดำที่นอนหลับอยู่ด้วยสายตาเหมือนมีอะไรในใจ แล้วจากไปในที่สุด

เขาต้องไปรายงานเรื่องแผนการจับเซียวเยวี่ยและหุนเชียนต้วนที่ล้มเหลวให้จักรพรรดิทราบ

บรรดาผู้ฝึกตนที่มามุงดูเหตุการณ์ในตรอกหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนน้ำลง โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ถูกบิดาพากลับบ้านเช่นกัน ขณะเดินจากไปนางก็หันมาโบกมือลาปู้ฟางด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข

หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว ปู้ฟางก็หันไปมองเจ้าดำที่นอนหลับอุตุอยู่บนพื้น จากนั้นก็เดินเข้าไปเพื่อปิดร้าน

“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ! โปรดมอบความเป็นธรรมให้ข้าด้วย ไอ้ร้านนอกคอกนั่นมันจองหองสิ้นดี แถมยังทำผิดกฎหมายด้วย! ถึงขั้นแอบซ่อนอาชญากรเอาไว้ในร้าน! แล้วเมื่อข้าพยายามจับตัว… มันก็ฉีกเสื้อผ้าข้าเป็นชิ้นๆ!” เหลียนฟู่กำลังบ่นให้จีฉางเฟิ่งฟังด้วยสีหน้าหดหู่ จักรพรรดิประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ส่วนขันทีก็น้ำตานองหน้า

จักรพรรดิทำเพียงหัวเราะในลำคอเท่านั้นขณะพยายามปลอบใจเหลียนฟู่ เขาหันไปมองเซียวเหมิงที่ยืนหลังตรงอยู่ในท้องพระโรงใหญ่

“แม่ทัพเซียว… ร้านนั้นวิเศษเหมือนที่เจ้าบอกจริงๆ น่ะหรือ มีอสูรเวทระดับเก้าในตำนานเฝ้าปากทางเข้าอยู่รึ”

“คำพูดทุกคำของข้ารับใช้ผู้นี้เป็นจริงทุกประการพะย่ะค่ะ” เซียวเหมิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ดวงตาของจักรพรรดิหรี่เล็ก ขณะลูบเคราขาวของตนพลางยิ้มบาง “ข้าได้ยินมาว่าอาหารก็อร่อย… แถมยังมีข่าวลือว่าสุราที่นั่นยอดเยี่ยมกว่าสุราน้ำอัญมณีทิพย์อีก

“ข้า… อยากจะรู้จริงๆ”

……………………