ตอนที่ 74 โชคชะตาของหนานกงเสวียนจี

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 74 โชคชะตาของหนานกงเสวียนจี

หลังจากได้สติเย่ฉางชิงจึงพยักหน้าให้กับหนานกงเสวียนจี

ขณะที่เขากำลังจะยกหมากขาวให้หนานกงเสวียนจี แต่หนานกงเสวียนจีกลับเป็นฝ่ายเอ่ยเชิญขึ้นมาเสียก่อน “ผู้อาวุโส เชิญ ! ”

เย่ฉางชิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะมองหนานกงเสวียนจีอีกครั้ง

ปกติแล้วการทายหมากเริ่มเดินนั้น จะให้ฝ่ายที่ผู้อาวุโสกว่าเป็นผู้กำหมากขาวเอาไว้ในมือ

จากนั้นฝ่ายที่อายุน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายหยิบหมากดำออกมาหนึ่งหรือสองตัว เพื่อทายว่าเป็นเลขคู่หรือเลขคี่

หมากดำหนึ่งตัวทายว่าเลขคี่ หมากดำสองตัวทายว่าเลขคู่ หากทายถูกหมากดำก็จะได้เริ่มเดินก่อน

แต่เวลานี้หนานกงเสวียนจีกลับให้เขาเป็นฝ่ายกำหมากขาว ส่วนตัวเองกำหมากดำ จากนั้นค่อยตัดสินว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นผู้เริ่มเดินก่อน

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็อดที่จะนิ่วหน้ามิได้

‘หนานกงเสวียนจีผู้นี้ถ่อมตัวเกินไปหรือเปล่า ? ’

ถ้าเป็นความแตกฉานในด้านอักษรพู่กัน ภาพวาดและพิณ เขาคิดว่าในโลกเซียนแห่งนี้ฝีมือของเขาก็มิน้อยหน้าใครเช่นกัน

แต่เรื่องการเดินหมากนั้น สำหรับเขาแล้ว หลายปีมานี้ราวกับการปิดประตูสร้างเกวียน1 มาตลอด

มิเคยได้เดินหมากกับคนที่มีฝีมือจริง ๆ มาก่อน จึงมิมั่นใจว่าฝีมือของเขาในตอนนี้จะยังสามารถเอาชนะใครได้อยู่หรือไม่

แต่หนานกงเสวียนจีผู้นี้ดูก็รู้แล้วว่าเป็นยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม แต่กลับให้เขาได้ถือหมากขาว ส่วนตัวเองกลับเป็นคนทายแทน

หรือว่าเพราะความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันและภาพวาดของเขานั้นสูงส่งมาก จนอีกฝ่ายคิดว่าความแตกฉานในด้านหมากล้อมของเขาก็ต้องมิธรรมดาเช่นกัน ?

อืม !

มีความเป็นไปได้ !

ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ !

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เย่ฉางชิงจึงยื่นมือออกไปคว้าหมากขาวจำนวนหนึ่งมากำเอาไว้

สำหรับเขาแล้ว ตั้งแต่มายังโลกเซียนแห่งนี้ก็ได้ศึกษาการเดินหมากมาตลอด ฝีมือของเขาคงมิแย่มากกระมัง

อีกทั้งที่นี่มีเพียงพวกเขาสองคน ใครจะถือหมากขาวหรือหมากดำก็มิเห็นจะเป็นอะไรอยู่แล้ว

เมื่อเห็นเย่ฉางชิงกำหมากขาวขึ้นมา หนานกงเสวียนจีเองก็ได้หยิบหมากดำสองตัวขึ้นมาอย่างมิลังเล

หมากดำสองตัวหมายความว่าหากหมากขาวเป็นเลขคู่ หมากดำของเขาจะได้เดินก่อน แต่หากเป็นเลขคี่ นั่นเท่ากับว่าเย่ฉางชิงจะได้เป็นฝ่ายเดินก่อน

ทั้งคู่สบตากันเล็กน้อย ก่อนเย่ฉางชิงจะยิ้มออกมา และวางหมากขาวในมือลงกลางกระดาน

หลังจากนับดูแล้วพบว่าเป็นเลขคู่ หนานกงเสวียนจีที่ถือหมากดำไว้จึงได้เป็นฝ่ายเริ่มเดินก่อน

หนานกงเสวียนจีใช้นิ้วทั้งสองคีบหมากดำตัวหนึ่งขึ้นมาทันที ก่อนจะกวาดตามองบนกระดานอย่างครุ่นคิด แล้วจึงค่อย ๆ วางหมากลง

“ฟิ้ว ! ”

แต่ในวินาทีที่หนานกงเสวียนจีวางหมากลงไปนั้น ราวกับมีลมพัดผ่าน

ทำให้ผมและคิ้วที่ยาวและเป็นสีขาวโพลนของเขาปลิวไสว อดมิได้ที่จะหรี่ตาลง

แต่มิรู้ว่าด้วยเหตุใด ตอนนี้ดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจึงเคร่งขรึมขึ้นเยี่ยงนี้

เย่ฉางชิงเหลือบมองหนานกงเสวียนจีเล็กน้อย แล้วจึงหยิบหมากสีขาวตัวหนึ่งวางลงยังจุดดาวที่อยู่ติดกับหมากดำ

หนานกงเสวียนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงวางหมากต่ออย่างรวดเร็ว

เพียงชั่วมิกี่อึดใจทั้งคู่ก็ได้วางหมากไปกว่ายี่สิบตัวแล้ว

ต้องบอกว่าความแตกฉานในด้านหมากล้อมของหนานกงเสวียนจีนั้นหาใช่ธรรมดาไม่ การวางหมากที่รวดเร็วแต่กลับจัดวางอย่างพิถีพิถัน

นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ศึกษากลหมากมานานหลายปี แต่มิเคยพบคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือสูสีเช่นนี้ เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากอยู่ในโลกเซียนแห่งนี้มาหลายปี ช่างเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก

ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังพร่ำบอกตัวเองในใจ จู่ ๆ หนานกงเสวียนจีก็แข็งค้างไปอย่างมิทราบสาเหตุ

ใบหน้าของเขาซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมา หัวคิ้วขมวดมุ่น สองนิ้วคีบหมากเอาไว้ตัวหนึ่งแต่กลับมิมีทีท่าว่าจะวางลงแต่อย่างใด

อีกทั้งดวงตาคู่นั้นที่เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า นัยน์ตาขาวปรากฏเส้นเลือดปูดโปนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ดูน่ากลัวยิ่งนัก

‘หนานกงเสวียนจีผู้นี้เป็นอะไรไป เมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดจู่ ๆ ถึงชะงักไปเยี่ยงนี้ ราวกับมิรู้ว่าควรวางหมากเยี่ยงไรดี ? ’

เย่ฉางชิงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าหนานกงเสวียนจีมิยอมวางหมากเสียที

ท่าทางของหนานกงเสวียนจีเช่นนี้ เขาจึงอดที่จะสงสัยขึ้นมามิได้

ผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป

หนานกงเสวียนจีก็ยังมิมีทีท่าจะวางหมากแต่อย่างใด ใบหน้าตอนนี้ดูเคร่งเครียดราวกับถูกมนต์สะกด

เย่ฉางชิงเม้มปากเล็กน้อยอย่างหงุดหงิด ก่อนที่ดวงตาเรียวยาวของเขาจะมีแสงเปล่งประกายขึ้นมา ราวกับคิดบางอย่างขึ้นมาได้พอดี

ในโลกที่เขาเคยอยู่ได้มีคนกล่าวไว้ว่า มีผู้อาวุโสด้านหมากล้อมบางคนเวลาเดินหมากจะระมัดระวังทุกย่างก้าว ทุกครั้งที่วางหมากในสมองจะมีการวาดแผนผังของทั้งกระดานเอาไว้ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะสร้างเกมที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เย่ฉางชิงมองหนานกงเสวียนจีอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า ‘หรือว่าหนานกงเสวียนจีผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือเช่นนั้นเหมือนกัน ? ’

แต่แล้วเย่ฉางชิงก็สะบัดศีรษะไล่ความคิดนั้นออกไปทันที ตอนนี้พวกเขาพึ่งจะวางหมากไปคนละสิบตัวเท่านั้น ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่สมองจะวาดแผนผังของทั้งกระดานเอาไว้ ก็มิน่าจะใช้เวลานานถึงเพียงนี้ !

อีกทั้งท่าทางของหนานกงเสวียนจีตอนนี้ ราวกับถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างไรอย่างนั้น

‘หรือว่าฝีมือในด้านหมากล้อมจะยังมิถึงขั้น แต่ฝืนคิดกลหมากจนสุดท้ายกลับติดอยู่ในวังวนความคิดงั้นหรือ ? ’

‘มีความเป็นไปได้ ! ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป

เมื่อเห็นหนานกงเสวียนจียังคงนั่งนิ่งมิขยับเขยื้อน เย่ฉางชิงก็ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปทางโต๊ะน้ำชา

แต่แท้จริงแล้วหนานกงเสวียนจีในตอนนี้ หาได้เป็นเช่นที่เย่ฉางชิงคิดไม่

สำหรับหนานกงเสวียนจี เมื่อครู่มิใช่เพียงหมากตัวที่สิบของเย่ฉางชิงเท่านั้น แต่นับว่าเป็นการเดินหมากที่เทพเนรมิตขึ้นก็ว่าได้ เพียงพริบตากลับทำให้กลหมากที่เขาวางเอาไว้ในตอนแรกสับสนวุ่นวายไปหมด จนเขามิรู้ว่าควรจะแก้กลหมากที่ตัวเองสร้างไว้เช่นไร หรือควรจะสร้างกลหมากใหม่ดีกว่า

อีกทั้งตอนนี้จิตสำนึกของเขายังถูกดึงดูดเข้าไปในโลกอันลึกลับอีกใบ

ภายในโลกแห่งนี้มีเพียงสีขาวและดำ และเขากำลังนั่งอยู่บนพื้นสีดำ

เมฆดำเหนือศีรษะคล้อยต่ำลงมา พื้นที่โดยรอบถูกปกคลุมไปด้วยพลังมหาศาล

นอกจากนี้ราวกับมีเสียงแห่งเต๋าดังมาจากที่ไกล ๆ บางครั้งก็เหมือนดนตรีสวรรค์ที่สอดประสานกัน ทำให้จิตใจสงบและสดชื่น บางครั้งก็ราวกับเหล่าเซียนกำลังขับขาน ช่างอัศจรรย์ยิ่ง

แน่นอนว่าเขาเองก็ได้รับพลังอันน่ากลัว จากโลกที่ลึกลับราวกับแดนเซียนแห่งนี้เช่นกัน

แม้จะเป็นปรมาจารย์เช่นหนานกงเสวียนจี หลังจากได้รับพลังเช่นนี้ความแข็งแกร่งของจิตใจยังถูกบดขยี้ลงได้ภายในพริบตา ราวกับมดปลวกก็มิปาน

ดูก็รู้ว่าความกดดันที่หนานกงเสวียนจีได้รับในเวลานี้น่ากลัวเพียงใด !

แต่สิ่งนี้ก็นับได้ว่าเป็นโชคดีของเขาด้วย ขณะที่เผชิญกับพลังอันน่ากลัวอยู่นั้น รอบกายกลับถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นปราณอันบริสุทธิ์ ทั้งยังมีเสียงดนตรีแห่งเต๋าดังมาเป็นระลอกอีกด้วย

เขาตกอยู่ในวังวังวนเช่นนั้นจนมิรู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเพียงใด ราวกับหนานกงเสวียนจีค่อย ๆ ค้นพบวิถีทางแห่งการบรรลุขั้นต่อไปได้แล้ว เหมือนโซ่ที่พันธนาการเขามาเกือบพันปีในที่สุดก็ค่อย ๆ คลายออก

แต่ในตอนนั้นเองเสียงลึกลับที่แยกมิออกว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรีก็ได้ดังขึ้นในสมองของเขา

ขณะเดียวกันเสียงนั้นกลับเต็มไปด้วยอำนาจ ราวกับเสียงของเทพก็มิปาน

1 ปิดประตูสร้างเกวียน สุภาษิตจีนมีความหมายว่า ยึดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักโดยมิสนความเป็นจริง