ตอนที่ 76 ช่วยเหลือลูกสะใภ้ให้เกียรติแม่สามี
เช้าวันต่อมา จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ลากรถเข็นเข้าเมืองพร้อมกับคุณแม่จี้ และยังมีจี้อวิ๋นอวิ๋นตามไปด้วย
เช้านี้มีผู้คนเดินกันขวักไขว่อยู่บนถนนแล้ว ทุกคนต่างพากันไปหาซื้อเนื้อ ดูคึกคักเป็นอย่างมาก
“อวิ๋นอวิ๋น แกดูแลตัวเองด้วยนะ ฉันจะไปซื้อเนื้อกับพี่สามของแก” คุณแม่จี้บอก
“จะไปก็ไปกันสิคะ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว” จี้อวิ๋นอวิ๋นบีบจมูก ทนไม่ได้กับกลิ่นต่าง ๆ ในตลาดสด ก่อนจะโบกมือไล่แม่ของหล่อนไปในทันที
คุณแม่จี้เห็นแล้วก็ไม่สนใจหล่อน จากนั้นก็มาซื้อเนื้อกับจี้เจี้ยนอวิ๋น
“ปีนี้แกไม่ต้องซื้อกลับไปเยอะนะ ขอแค่กินของสดใหม่ก็พอ” คุณแม่จี้บอกกับลูกชาย
ปีที่แล้วที่ซูตานหงเข้ามาซื้อของในเมือง เรียกได้ว่าเธอแทบจะเหมาของทั้งเมืองกลับบ้านเลยทีเดียว ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกปวดใจมาก แต่เนื่องจากสะใภ้ของนางอยากจะต้อนรับลูกชายนางกลับบ้านและกินอาหารให้เต็มที่ นางจึงไม่สามารถพูดอะไรได้
แต่ปีนี้ต่างกัน ลูกชายคนนี้ของนางได้กินอาหารดี ๆ มาตลอดทั้งปีแล้ว ดังนั้นอาหารการกินในวันปีใหม่จึงไม่ได้แตกต่างจากที่เคยกิน
“ครับ ผมทราบแล้ว ผมแค่มาซื้อเนื้ออย่างอื่นกลับไปกินบ้างน่ะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
เขาไม่ได้วางแผนจะซื้อเนื้อหมูเพิ่มเลย
เมื่อซื้อเนื้อวัว 5 ชั่งกับเนื้อซี่โครงแกะ 5 ชั่งแล้วเขาก็หยุดมือไม่ซื้ออะไรอีก เนื่องจากที่บ้านยังมีเนื้อหมูอีกเป็นจำนวนมาก ถึงแบ่งให้พ่อกับแม่ไปบ้างแล้วก็ไม่ได้ลดลงจากเดิมเลย
ส่วนที่เหลือนั้นค่อยซื้อหลังผ่านปีใหม่ไปแล้ว
เมื่อคุณแม่จี้เห็นว่าเขาซื้อเพียงเท่านี้ นางก็พยักหน้าและไม่ได้ว่ากล่าวอะไร นางเองก็ซื้อเนื้อบ้างบางส่วน จี้เจี้ยนอวิ๋นทำท่าจะออกเงินให้ แต่คุณแม่จี้ก็ส่ายหน้า “ไม่ต้อง แกเก็บเอาไว้อยู่กินดี ๆ กับตานหงเถอะ แม่ยังมีเงินของตัวเองอยู่”
เนื้อส่วนนี้นางซื้อกลับไปเพื่อเทศกาลปีใหม่โดยเฉพาะ เมื่อถึงเวลานั้นบ้านใหญ่ บ้านสอง และบ้านสี่จะมากินด้วย ส่วนบ้านสามนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย
ในจุดนี้คุณแม่จี้ยังแยกแยะได้อยู่
หญิงชราซื้อเนื้อซี่โครงแกะจำนวนหนึ่ง เนื้อวัวนั้นไม่ได้ซื้อมา ส่วนเนื้อหมูนางซื้อจากโรงเชือดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ซึ่งเนื้อทั้งหมดนี้นับว่าพอกิน
แน่นอนว่ามันคงไม่ดีเท่ากับปีใหม่ปีที่แล้วที่ตานหงเป็นคนทำอาหารหลายอย่างมาร่วมโต๊ะด้วย แต่แล้วเธอก็ไม่ได้รับคำพูดดี ๆ สักครึ่งคำ
คุณแม่จี้จึงคิดว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีขนาดนั้นหรอก
นอกจากนั้นอีกสามครอบครัวยังคิดจะมากินอย่างเดียวโดยไม่นำของอะไรมาแบ่งด้วย ดังนั้นปีนี้ฝันไปเถอะ มีอะไรให้กินก็กินไปแล้วกัน!
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่คิดจะยุ่งเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หลังซื้อเนื้อเสร็จเขาก็มาที่ตลาดสดเพื่อซื้อผักตามที่ภรรยาเขาได้สั่งเอาไว้
ซื้อฟักทองผลใหญ่ 3 ผล สองผลไว้ให้ที่บ้าน อีกผลหนึ่งไว้ให้บ้านแม่ของเขา แล้วก็ฟักเขียวผลใหญ่บ้านละผล
ส่วนผักอื่น ๆ นั้นไม่จำเป็นต้องซื้อ เพราะในโรงเรือนดอกไม้ที่สวนหลังบ้านยังมีปลูกไว้ ซึ่งจะเลือกอะไรมากินก็ได้ แถมที่บ้านก็ยังมีหัวไชเท้ากับผักกาดขาวอยู่
ถึงอย่างไรก็ยังมีของต้องซื้ออยู่ดี ดังนั้นเขาจึงซื้อของมาหลายอย่าง นอกจากให้ที่บ้านแล้วก็เป็นของที่จะให้ทางบ้านตระกูลซูด้วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นต้องนำของบางส่วนไปให้บ้านนั้นบ้าง
บ้านชาวนาแบบนั้นไม่ขาดผักแต่อย่างใด แต่จะขาดอาหารจำพวกเนื้อ
จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงวางแผนว่าจะกลับไปภายหลัง เพื่อจะได้ส่งเนื้อบางส่วนไปให้ครอบครัวซู คราวที่แล้วที่ภรรยาของเขาคลอดเหรินเหริน ฝ่ายบ้านแม่ยายก็ให้สะใภ้รองซูมาเยี่ยมพร้อมกับไข่ไก่ 2 ตะกร้าและแม่ไก่ 3 ตัว นับว่าเป็นน้ำใจอันใหญ่หลวง
จี้เจี้ยนอวิ๋นกับคุณแม่จี้ซื้อของทั้งหมดเสร็จ และทุกอย่างก็เกือบจะพร้อมแล้ว
จี้อวิ๋นอวิ๋นเกิดไปต้องตากับเสื้อผ้าชุดหนึ่งของร้านค้าในเมืองเข้า แต่หล่อนไม่ได้ติดเงินมาด้วย จึงเข้ามาออดอ้อนคุณแม่จี้ “แม่คะ ซื้อชุดนั้นให้หนูหน่อยนะ หนูเพิ่งไปลองใส่ดูแล้ว รู้สึกชอบมากเลย!”
“แกก็ใช่ว่าจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ ซื้อเซ้ออะไรกัน มันต้องใช้เงินมากขนาดไหน?” คุณแม่จี้ถลึงมองอย่างโมโห
“แม่คะ นี่มันจะปีใหม่แล้วนะ หนูจะซื้อสักชุดมันจะเป็นอะไรไป แล้วเสื้อผ้าพวกนั้นพี่สะใภ้สี่ก็เป็นคนซื้อให้หนูด้วย!” ขณะที่จี้อวิ๋นอวิ๋นบอกเช่นนี้ หล่อนก็มองมาทางพี่ชายสามของตัวเอง
หล่อนคิดว่าพี่ชายสามจะหยิบเงินให้หล่อนทันที แต่ไม่คิดเลยว่าเขาทำเพียงเงียบไม่พูดอะไร จนหล่อนต้องเอ่ยขึ้นมาอย่างฉับพลัน “พี่สาม พี่ดูพี่สะใภ้สี่สิ แล้วมาเทียบกับสะใภ้สามดู!”
“พี่สะใภ้สามทำไม?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยเสียงเบา
“อวิ๋นอวิ๋น!” คุณแม่จี้ย่นคิ้ว
จี้อวิ๋นอวิ๋นแค่นเสียงหึ “จำเป็นที่หนูต้องบอกด้วยเหรอคะ? พี่สะใภ้สี่ซื้อเสื้อผ้าให้หนูตั้งชุดหนึ่ง แต่สะใภ้สามไม่มีอะไรเลย!”
“เนื้อที่เธอกินที่บ้านไม่ใช่ของพี่สะใภ้สามเหรอ? หรือเธอไม่ได้กิน?” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยกับหล่อนอย่างเริ่มหมดความอดทน “เอาเถอะ แค่เสื้อผ้าชุดเดียวสินะ มันราคาเท่าไหร่ล่ะ?”
“ไม่แพงหรอกค่ะ 30 หยวนเอง!” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยรัวเร็ว
คุณแม่จี้ถึงกับถลึงมอง “ 30 หยวน? ชุดนั่นทอมาจากทองหรือยังไง?”
หลังจากนั้นนางก็แค่นเสียงอีกครั้ง “พี่สะใภ้สี่ของแกจะซื้อชุด 30 หยวนนั่นให้แกจริงเหรอ?” คนทั้งคู่จะได้เงินเดือนกันสักเท่าใดเชียว? เสื้อผ้าชุดนั้นชุดเดียวเท่ากับเงินเดือนของทั้งคู่รวมกันเลยนะ!
“หนูไม่ได้ให้แม่เป็นคนจ่ายเงินสักหน่อยนี่ ทำไมแม่ต้องคิดมากขนาดนี้ด้วย?” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างอารมณ์เสีย
“ฉันเพิ่งจะจ่ายค่ากับข้าวไป เหลือเงินอยู่ไม่เยอะหรอก มีแค่ 10 หยวนเองเอาไหมล่ะ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นถาม
จี้อวิ๋นอวิ๋นยื่นมือมาในทันที จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ให้เงิน 10 หยวนนั้นกับหล่อน
“ขี้งก!” เด็กสาวได้เงินแล้วก็บ่นพึมพำ พอพูดจบก็ผละจากไป
สีหน้าของคุณแม่จี้ดำคล้ำในทันที
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ใส่ใจมากนักและบอกกับมารดา “แม่ เรากลับกันเถอะครับ”
“เจี้ยนอวิ๋น ต่อไปแกต้องจัดการกับนังเด็กนี่ให้ดี ๆ หน่อยนะ ยิ่งโตก็ชักจะเอาใหญ่!” คุณแม่จี้บอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มให้ “แม่ อวิ๋นอวิ๋นเป็นน้องสาวคนเล็กของผม เรื่องนี้ไม่เป็นไรหรอกครับ เพียงแต่ต้องดัดนิสัยแย่ ๆ พวกนี้ของหล่อนจริง ๆ นั่นแหละ หล่อนโตขนาดนี้ถ้าไม่ได้ไปโรงเรียนก็ใกล้จะได้ออกเรือนแล้ว ในครอบครัวเรายังชินกับหล่อน แต่ถ้าแต่งเข้าบ้านคนอื่น พวกเขาก็ไม่ใช่คนในครอบครัวเราแล้ว หล่อนก็จะเป็นสะใภ้ของบ้านนั้น ไม่ใช่คนในครอบครัวเราอีก”
คุณแม่จี้เองก็รู้สึกกังวลเช่นกัน นางถอนหายใจ “แม่บอกหล่อนแล้ว แต่นังเด็กนั่นก็ไม่ฟัง!”
“หล่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับน้องสะใภ้สี่ไม่ใช่เหรอครับ? ไปบอกกับน้องสะใภ้สี่ในฐานะแม่สามีก็ได้นี่ครับ อะไรที่ควรพูดก็พูดกับหล่อน” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้า
คุณแม่จี้พยักหน้า
เมื่อกลับมาถึงบ้าน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ขนของเข้าบ้านคุณแม่จี้ก่อน จากนั้นจึงขนของเข้าบ้านของเขาเอง
ซูตานหงอุ้มเหรินเหรินน้อยออกมารับและคลี่ยิ้มเมื่อเห็นของมากมาย “ปีนี้จะต้องเป็นปีที่อิ่มหนำสำราญแน่ ๆ ค่ะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นหน้าแม่ลูกแล้วก็อารมณ์ดีขึ้น เขายิ้มและตอบกลับ “เดี๋ยวผมค่อยให้เนื้อกับคุณแม่ของพวกเราทีหลังนะครับ”
ซูตานหงได้ยินคำว่าคุณแม่ของพวกเราก็รู้ได้ว่าเขากำลังหมายถึงทั้งคุณแม่ซูกับคุณแม่จี้ และเขาก็เรียกแม่ของเธอว่าเป็นแม่ด้วย
“ค่ะ ถ้างั้นคุณก็ดูเอาเองแล้วกันนะคะว่าจะให้อะไรบ้าง” ซูตานหงบอกอย่างพอใจ
หากสามีของเธอเอาใจใส่บ้านแม่ของเธอมากขนาดนี้ ก็เป็นเพราะว่าเขาใส่ใจจากใจจริงและเต็มใจตอบแทนบุญคุณครอบครัวแม่ของเธอ เป็นอย่างนี้จะไม่ให้เธอมีความสุขได้อย่างไร?
จี้เจี้ยนอวิ๋นเองก็รู้สึกว่าภรรยาของเขามีความสุข เขายิ้มให้ก่อนจะจัดเก็บข้าวของ และเดินมาสับแบ่งเนื้อในครัว
เขาไม่ใช่คนขี้เหนียวเช่นกัน เมื่อรู้ว่าแม่ยายของเขาชอบเนื้อติดมันมาก เขาจึงแบ่งเนื้อติดมันให้ไปจำนวน 7 ถึง 8 ชั่ง เช่นเดียวกับเนื้อซี่โครง ที่สับแบ่งแล้วก็ได้น้ำหนักราว 4 ถึง 5 ชั่ง คราวที่แล้วเขาก็นำน้ำตาลทรายแดงไปให้บ้านนั้น ครั้งนี้เขาจึงแบ่งไปให้อีก 3 ชั่ง
นอกจากนี้ก็เป็นขนมของขบเคี้ยวอื่น ๆ อย่างเช่นเมล็ดแตงและลูกกวาดเมล็ดสนที่บรรจุอย่างดีถุงหนึ่ง
………………………………………