บทที่ 49 ความตายทางสังคม

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ข่าวกรองของอารองสวี่มีดังนี้

“หลายวันมานี้โจวลี่ประพฤติตัวเรียบร้อย อาจเพราะเคยถูกรองเจ้ากรมโจวตักเตือน มิได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและทำลายความสงบแต่อย่างใด ดื่มเหล้าเคล้านารีอย่างสุขสมทั้งวันกับกลุ่มลูกหลานขุนนาง เทียวเข้าเทียวออกบ่อนการพนัน โรงเตี๊ยม สำนักสังคีตและสถานที่อื่นๆ นอกจากนี้ระหว่างที่คนของข้าติดตาม พบว่าโจวลี่เข้าออกบ้านหลังหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง บ้านหลังนั้นไม่ได้แขวนแผ่นป้ายคำขวัญ คงจะเป็นบ้านส่วนตัวที่เขาซื้ออยู่ข้างนอก มีสาวใช้ หญิงชรา และชายชราที่เฝ้าประตูอาศัยอยู่ด้านใน และยังมีหญิงสาวอีกนางหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นคนที่เขาเลี้ยงดูอยู่ข้างนอก…”

สวี่ซินเหนียนกับสวี่ชีอันฟังอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างครุ่นคิดแตกต่างกันไป สวี่ชีอันก้มหน้ามองพื้น ปลายนิ้วเคาะบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว

สวี่ซินเหนียนแหงนหน้า 45 องศามองหลังคาบ้าน สองมือไม่ได้ซุกในแขนเสื้อราวกับอยู่ในความสับสนงุนงง

อารองสวี่กล่าวจบก็จ้องมองไปทางหลานชายและลูกชายพร้อมเอ่ย “พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร”

หลานชายและลูกชายเพิกเฉยต่อเขาไปโดยปริยาย สายตาทั้งสองฝ่ายสบประสาน สวี่ซินเหนียนเอ่ยขึ้น “นักเรียนของสำนักเรามิใช่คนประเภทเดียวกับนักเรียนของราชวิทยาลัยหลวง พวกนั้นต่างฝ่ายต่างสบประมาทและเป็นศัตรูกัน ทว่าจวี่เหริน[1]รุ่นเดียวกันจะมารวมตัวกันในบางครั้งบางครา แม้ความคิดเกี่ยวกับลัทธิเต๋าจะตรงข้ามกัน แต่ก็สามารถมีมิตรภาพส่วนตัวต่อกันได้”

จวี่เหรินรุ่นเดียวกันก็นับเป็นสหายร่วมรุ่น ความสัมพันธ์นี้ในอนาคตอาจจะใช้ไม่ได้อีก ส่วนความขัดแย้งทางความคิดเกี่ยวกับลัทธิเต๋าเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ส่วนตัว

“โจวลี่ผู้นี้มีนิสัยกำเริบเสิบสานชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ล้วนบาดหมางกับสหายร่วมรุ่นจากราชวิทยาลัยหลวงอยู่หลายคน เคยเกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรง ทว่าเขามิใช่ลูกผู้ดีไร้สมอง ผู้ที่บาดหมางกับเขาล้วนมีเบื้องหลังธรรมดา”

สวี่ชีอันไม่รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ วิเคราะห์ได้จากเล่ห์กลที่โจวลี่ใช้รับมือกับเขา วิธีจัดการของลูกหลานขุนนางผู้นี้มิได้เลิศล้ำทว่ามีประสิทธิภาพ ทั้งยังมีอุบายและเล่ห์เหลี่ยมพอสมควร

ความกำเริบเสิบสานวางอำนาจบาตรใหญ่ของเขาเพียงมุ่งเป้าไปยังผู้ที่มีเบื้องหลังและอิทธิพลต่ำต้อยกว่าตน

“สิ่งนี้เพิ่มความยากให้พวกเราในการจัดการกับเขาอย่างไม่ต้องสงสัย” สวี่ชีอันทอดถอนใจ

สวี่ซินเหนียนชำเลืองมองด้านข้าง “เจ้าอย่าเพิ่งสอด ฟังข้าพูดให้จบ”

“โจวลี่หลงใหลแม่นางฝูเซียงจากสำนักสังคีตมานาน เมื่อใดที่ไปเยือนย่อมต้องมองหาแม่นางฝูเซียง แต่เขาพลาดการรับเลือกขณะ ‘ประชุมชา[2]’ อยู่บ่อยครั้ง”

แม่นางฝูเซียง? คณิกาของสำนักสังคีตผู้นั้นน่ะหรือ สาวงามที่หัวหน้ามือปราบหวังกล่าวว่าหลับนอนคืนเดียวก็คุ้มไปทั้งชาติแล้วนั่นน่ะหรือ สวี่ชีอันตื่นตะลึง

สวี่ซินเหนียนยกแก้วชาขึ้น ชำเลืองมองแก้วที่ว่างเปล่า แล้ววางลงอย่างจำใจพร้อมเอ่ยขึ้น

“เดิมทีข้าคิดว่าจะใช้วิธีต้อนเสือขย้ำหมาป่า[3]ได้อีกครั้ง วางแผนการโดยใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างโจวลี่กับสหายร่วมรุ่น ทว่าสหายร่วมรุ่นเหล่านั้นมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ด้วยความระแวดระวังของโจวลี่ เป็นเรื่องยากเกินไปที่จะให้เขาไปยั่วยุลูกหลานขุนนางที่ลำดับชั้นสูงกว่า นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย โจวลี่ไปเยือนสำนักสังคีตบ่อยครั้ง หากอยากล้วงถามข้อมูลเพิ่มเติม แม่นางฝูเซียงผู้นั้นเป็นช่องโหว่อันดีเยี่ยม”

‘ตุบๆ’…สวี่ชีอันเคาะหน้าโต๊ะ

เมื่ออารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลางมองมา เขาจึงเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าจำต้องเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามพวกเราล้วนต้องลดวิธีการลง ยิ่งเป็นแผนการที่ซับซ้อน ยิ่งมีช่องโหว่มาก การจัดการกับโจวลี่พวกเรามิอาจมีแผนการที่ซับซ้อนและละเอียดเกินไปได้ เพราะความต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป ฉือจิ้ว เจ้าอย่าหลงผิดไป”

ปัญญาชนฉลาดมากเกินจะเสียรู้ง่ายที่สุด ยามที่ประเมินคนจะทวีความยากให้ตน ให้พิจารณาความละเอียดของแผนและความเหนือชั้นของฝีมือ

โดยเฉพาะสวี่ฉือจิ้วผู้ถือตนว่าเหนือกว่าและคุ้นเคยกับตำราพิชัยสงคราม

สวี่ฉือจิ้วคิ้วขมวด ทั้งเห็นชอบและไม่ยอมรับอยู่บ้าง “พี่ใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไร”

“ง่ายๆ ยิ่งง่ายยิ่งดี” สวี่ชีอันครุ่นคิดพร้อมเอ่ย “อาชญากรรมที่ไร้ร่องรอยอย่างแท้จริงคือการสังหารด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พวกเราย่อมต้องวางแผนเช่นนี้ ง่ายอย่างไรน่ะหรือ ประการแรก ผู้เกี่ยวข้องต้องมีไม่มาก ประการที่สอง เรื่องราวต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ฉือจิ้ว หากโจวลี่เกิดปะทะกับลูกหลานขุนนางบางคนขึ้นมา แล้วบุพการีของลูกหลานขุนนางผู้นั้นบังเอิญงัดข้อกับรองเจ้ากรมโจวได้ เจ้าจะทำอย่างไร”

สวี่ซินเหนียนตกอยู่ในห้วงความคิด

“เอาล่ะ ความเงียบของเจ้าได้อธิบายทุกสิ่งแล้ว” สวี่ชีอันโบกมือขัดจังหวะความคิดของเจ้าน้องชาย ในสมองของเจ้าน้องชายจะต้องมีแผนการที่ยิ่งใหญ่และวางแผนการร้ายเป็นแน่

“ความเห็นของข้าคือพวกเราสามารถปลอมตัวแบบง่ายๆ จากนั้นฉวยโอกาสทำร้ายลูกหลานขุนนางผู้นั้น แล้วเชิดหน้าเดินจากไป”

สวี่ผิงจื้อฉวยโอกาสพูดสอดขึ้นได้ในที่สุด พร้อมตบเข่าฉาด “ความคิดนี้ของหนิงเยี่ยนถูกใจข้ายิ่งนัก”

สองพี่น้องกลอกตาขึ้นพร้อมกัน

สวี่ฉือจิ้วขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ง่ายก็ใช่ว่าจะไร้ประสิทธิภาพ เวลาที่ยิ่งมาก เสียเปล่าแต่กลับมีประโยชน์ ลูกหลานขุนนางที่ถูกทำร้ายคงจะคิดว่าช่วงนี้ตนผิดใจกับใครหรือไม่ เมื่อหวนกลับมาคิด อ้อ เป็นโจวลี่ไอ้สารเลวนั่น อีกทั้งเรื่องเช่นนี้โจวลี่ย่อมต้องไม่ยอมรับเป็นแน่ ทว่าก็ไม่สำคัญ ทุกคนขึ้นให้การเป็นพยานได้อย่างเสรี อย่างไรเสียความขัดแย้งก็รุนแรงอยู่ดี เจ้าทำร้ายข้า ข้าก็จะแก้แค้น”

สวี่ฉือจิ้วเป็นคนหลักแหลม มีสติปัญญาสูง ผ่านไปชั่วครู่ในสมองก็เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่

เขาพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าผยอง “ก็ไม่เลว”

แล้วกล่าวเสริม “พี่ใหญ่รวบรวมข้อมูลบางอย่างมาได้”

สวี่ชีอันมิได้เก็บงำพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าสืบทราบมาว่าศัตรูทางการเมืองของรองเจ้ากรมโจวคือผู้ใด”

สวี่ซินเหนียนและอารองสวี่ก้มตัวลงพร้อมกัน สีหน้าจริงจังขึ้นในทันใดพร้อมด้วยท่าทางตั้งใจฟัง

สวี่ชีอันยิ้มเยาะ “เจ้ากรมแห่งกรมการคลัง”

เจ้ากรมแห่งกรมการคลัง?! สวี่ซินเหนียนใจสั่นคลอน ไขข้อสงสัยมากมายได้ในพริบตา

มิน่ารองเจ้ากรมโจวของกรมการคลังต้องการวางแผนเงินภาษี เพราะเขารู้ตัวว่าตนกำลังจะถูกผู้บังคับบัญชาโดยตรงข่มเหง ต้องการเงินก้อนใหญ่มาชดเชยส่วนที่ขาดดุลอย่างเร่งด่วน

เป็นเพราะอยู่กรมการคลังเช่นเดียวกัน ดังนั้นเจ้ากรมแห่งกรมการคลังจึงจับหางจิ้งจอก[4] ของรองเจ้ากรมโจวเอาไว้ได้

“หนิงเยี่ยน เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน” อารองสวี่ไม่เชื่อเล็กน้อย

การต่อสู้ของพวกขุนนางผู้ใหญ่ในท้องพระโรง ผู้ไม่เกี่ยวข้องจะมีช่องทางให้ทราบได้อย่างไร

“แม่นางไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์เป็นคนบอกข้า” สวี่ชีอันกล่าว

อีกทั้งค่าตอบแทนเป็นเพียงถังหูลู่หนึ่งไม้ ขาห่านย่างหนึ่งตัว บัวลอยข้าวหมากหนึ่งชุด และซุปลูกชิ้นปลาหนึ่งชามเท่านั้น…เขาเสริมอีกประโยคไว้ในใจ

สาวงามดวงตากลมโตกว้านซื้อได้อย่างง่ายดายนี่คือข้อดี ข้อเสียคือนางไม่มีใจฝักใฝ่ด้านการเมืองและกิจการของราชสำนัก สำนักโหราจารย์ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและกิจการของราชสำนักเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ทราบจึงมีจำกัด

เป็นเช่นนี้ไม่ดีนัก แม่นางไฉ่เวยเจ้าขาดหนังสือ ‘การฝึกอบรมตนเป็นภรรยาที่ดีของสวี่ต้าหลาง’ ไว้ข้าจะเขียนให้เจ้าในภายหลัง

สวี่ชีอันตบมือขัดจังหวะญาติผู้น้องที่ตกอยู่ในห้วงความคิดแล้วเอ่ย

“ดูเหมือนข้อมูลที่พวกเรารวบรวมมานั้นยังไม่พอที่จะวางแผนการอย่างละเอียดได้ ทว่าไม่เป็นไร กินเพียงหนึ่งคำไม่ทำให้อ้วน[5] ขั้นต่อไปจะทำอย่างไร”

สวี่ซินเหนียนครุ่นคิด “ข้าเสนอให้ไปเยือนสำนักสังคีต สืบข้อมูลจากคณิกาฝูเซียงที่นั่น…เรื่องนี้ข้ายืนยันไม่ได้ ข้าไม่เคยไปสถานที่แสงสีมาก่อน”

ข้าราชการต้าฟ่งเที่ยวโสเภณีจนกลายเป็นประเพณี ทว่านักเรียนที่ไม่มีสถานะทางราชการก็จะเป็นอีกมาตรฐานหนึ่ง

เส้นทางการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการของเจ้ายังไปไม่ถึงปลายทางก็คิดจะเคล้านารีแล้วหรือ พึ่งพาไม่ได้ทันทีที่เห็นก็อย่าคิดจะมีอนาคตที่ดีในวันหน้าเลย

ช่างคล้ายกับข้าในสมัยเรียน ผู้ปกครองไม่ให้นักเรียนเล่นเกมอินเทอร์เน็ต หากนักเรียนคนใดนั่งแช่อยู่ที่ร้านอินเทอร์เน็ต เช่นนั้นเขาจะต้องถูกตัดสินว่าเป็นกากเดนสังคมอย่างแน่นอน…สวี่ชีอันพิงตัวบนเก้าอี้ มองไปด้านข้าง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย

“ข้าไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะข้ายังไม่ก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ”

เช่นนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว ผู้ใดจะรับหน้าที่ไปสืบข้อมูลที่สำนักสังคีต

สองพี่น้องทอดสายตามองอารองสวี่อย่างรู้ใจกัน

“มองข้าทำไม ข้าต้องเป็นคนไปสำนักสังคีตใช่หรือไม่ แม้แต่ตัวอักษรข้าก็ยังไม่รู้ ไปแล้วจะไม่เป็นการหาเรื่องให้ขายหน้าหรอกหรือ” อารองสวี่หมายถึงตนมิใช่ผู้ที่อาลัยอาวรณ์สถานที่แสงสีเช่นนั้น

เมื่อเห็นบิดาไม่ยินยอม สวี่ซินเหนียนจึงป้ายสีใส่สวี่ชีอัน “บทกวีที่พี่ใหญ่เขียน ได้รับความนิยมจากสำนักสังคีตเป็นอย่างมาก”

อารองสวี่ปฏิเสธข้อเสนอของลูกชายในทันที แล้วขมวดคิ้วเอ่ย “พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนซื่อตรงที่ไม่แม้แต่จะไปหอคณิกา ให้เขาไปสืบข่าวที่สำนักสังคีต อย่าให้ถึงเวลาแล้วต้องติดอยู่ข้างใน ภารกิจยังไม่สำเร็จลุล่วง ร่างกายไม่ถูกหญิงสาวในหอคณิกายึดไปก็พอ”

สำหรับทหารหลอมจิตระดับสูงสุด ระเบิดร่างก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ ช่างเป็นเรื่องเสียหายมหาศาลจริงๆ

สวี่ชีอันผู้ที่ไม่เคยไปหอคณิกาฟังบรรเลงเพลงพยักหน้า หมายถึงตนไม่ใช่คนเช่นนั้น

สวี่ชีอันกล่าว “มิฉะนั้นฉือจิ้วเจ้าก็ไป” เขายังคงคิดว่าสถานที่เช่นสำนักสังคีต ปัญญาชนไปคงจะเหมาะสมกว่า

นี่เป็นแนวคิดแบบดั้งเดิม

สวี่ฉือจิ้วถอนหายใจ

อารองสวี่ปฏิเสธที่จะไปสำนักสังคีต นอกเสียจากในนั้นจะเป็นเขตอิทธิพลของปัญญาชน ไม่ชื่นชอบความกักขฬะแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง

สวี่ฉือจิ้วปฏิเสธที่จะไปสำนักสังคีต นอกเสียจากนักเรียนต้องสนใจชื่อเสียงและกิตติศัพท์ ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง

สวี่ชีอันปฏิเสธที่จะไปสำนักสังคีต นอกเสียจากไม่เคยไปหอคณิกาฟังบรรเลงเพลงมาก่อน ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง

ความตายทางสังคม!

ทั้งสามสบสายตากัน แล้วตกอยู่ในความเงียบ

………………………………………………..

[1] จวี่เหริน หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านการสอบเข้ารับราชการระดับมณฑล

[2] ประชุมชา เป็นขั้นตอนในการทำความรู้จักกับนางคณิกา กล่าวคือเป็นการไปซ่องของนางคณิกาเพื่อชิมชา ดื่มกิน และสนทนากันเพื่อความสนุกสนาน แขกที่มาเยือนจะต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมการประชุมชา

[3] ต้อนเสือขย้ำหมาป่า หมายถึง การใช้พลังอำนาจของผู้อื่นเพื่อทำลายอีกฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าเรา โดยที่เราไม่จำเป็นจะต้องออกหน้าเอง

[4] หางจิ้งจอก ใช้เพื่ออธิบายคนเลวหรือเรื่องเลวร้ายที่รั่วไหลออกมาจนถูกคนอื่นสังเกตเห็น

[5] กินเพียงหนึ่งคำไม่ทำให้อ้วน หมายถึง กระทำการต่างๆ ต้องมีความอดทน ยิ่งเร่งทำยิ่งไม่ทำให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งตรงกับสำนวน ‘กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว’