ตอนที่ 109 เปิดผ้าคลุมหน้านาง! + ตอนที่ 110 จากไปอย่างอับอาย! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 109 เปิดผ้าคลุมหน้านาง!
เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย? ผู้หญิงคนนี้จะตบเขาทำไมกัน? เขาโตมาตั้งขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยถูกใครตบเลยนะ!
ในใจรู้สึกขุ่นเคือง ทว่า กลับไม่ได้ลงมือ เขาเป็นชายชาตรี จะตบผู้หญิงกลางถนนไม่ได้หรอกมั้ง?
เหลิ่งซวงที่จูงเชือกม้าอยู่ แววตาเย็นเยียบน้อยๆ ขณะที่กำลังเตรียมจะลงจากรถ ก็เห็นผ้าม่านรถม้าถูกสองมือขาวเนียนละเอียดเลื่อนเปิดออก
“คุณหนู” นางเรียก ก่อนจะรีบร้อนเลื่อนเปิดผ้าม่านให้นางออกมา
เฟิ่งจิ่วโน้มเอวเดินออกมาจากด้านในรถม้า โดยมีเหลิ่งซวงประคองไว้ พลางยกกระโปรงพลิ้วเบาๆ เพื่อก้าวลงรถม้า มองพี่ชายคนข้างกายมีสีหน้าโกรธเกรี้ยวสองมือกำหมัดขึ้นแน่น และเห็นรอยประทับฝ่ามือที่ปรากฏบนใบหน้า ดวงตาก็หรี่ลงน้อยๆ หันมองไปทางสองคนนั้น แล้วเดินก้าวนวยนาดออกหน้า
เมื่อมู่หรงอี้เซวียนเห็นสาวน้อยชุดขาวที่ลงมาจากด้านในรถม้า ดวงตาเป็นประกายทันใด ระหว่างมองนางเดินมาหาด้วยท่วงท่าสง่างาม เชื่องช้า และใจเย็น ก็ประหม่าใจอย่างอดไม่ได้ ซ้ำยังมีความเฝ้ารออยู่จางๆ
ส่วนเฟิ่งชิงเกอเมื่อเห็นสาวน้อยชุดขาวลงมาจากบนรถม้า ทั่วทั้งร่างก็นิ่งงงไป
รูปร่างและท่าทางนั้น ช่างคุ้นตาเหลือเกิน… คล้าย คล้ายกับ…
“เพี๊ยะ!เพี๊ยะ!”
เสียงตบสองครั้งดังก้องขึ้น ทำให้ทั้งสองคนตกใจตื่นเอาดื้อๆ คนรอบข้างที่มองมาทางนี้ต่างตะลึงงัน
เพราะรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ซ้ำยังอยู่กันกลางถนน ผู้คนรอบๆ จึงสนอกสนใจพวกเขาด้านนี้มาตั้งแต่แรก แล้วอันที่จริง มู่หรงอี้เซวียนกับเฟิ่งชิงเกอก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองอวิ๋นเยวี่ย
แต่ที่ทำให้พวกเขานึกไม่ถึง คือเฟิ่งชิงเกอที่จู่ๆ ก็ยกมือขึ้นตบผู้ชายคนนั้น และที่ยิ่งคาดไม่ถึงไปกว่า คือหลังจากสาวน้อยชุดขาวที่คลุมผ้าคลุมหน้าลงมาจากด้านในรถม้า ก้าวเนิบๆ เดินมาทางพวกเขา จะยกมือขึ้นตบเฟิ่งชิงเกอถึงสองครั้ง ทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก
ภาพเช่นนี้ ช่างบ้าคลั่งเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเกอปกปิดใบหน้าที่ร้อนฉ่าอย่างยากจะเชื่อ พลางถลึงมองสาวน้อยชุดขาวที่กำลังสะบัดมือด้วยสองตาที่แทบลุกเป็นไฟ “เจ้า เจ้ากล้าตบข้ารึ!”
เฟิ่งจิ่วสะบัดมือที่ตบไปเสียจนเจ็บอย่างไม่สนใจใยดี ก่อนจะพร่ำสั่งสอนกับกวนสีหลิ่นที่มีสีหน้าอ้ำอึ้งโดยไม่หันมองนางแม้แต่นิดเดียว “ท่านพี่ เห็นหรือไม่ มีคนตบท่านทีหนึ่ง ท่านก็ต้องคืนกลับไปสองที นี่เป็นมารยาทที่ต้องปฏิบัติกับผู้อื่นเช่นที่เขาทำกับเรา พวกเราจะเสียมารยาทไม่ได้นะ”
สองตากวนสีหลิ่นเป็นประกาย มองนางอย่างยกย่องนับถือ จึงพยักหน้าหนักๆ ไป “อื้ม! พี่จะจำไว้! หากมีครั้งต่อไป ถึงจะไม่สนว่านางเป็นชายหรือหญิง ตบก่อนค่อยว่ากัน!”
“อืม แบบนี้แหละถูกต้องแล้ว” เธอพยักหน้ารับทั้งนัยน์ตายิ้มกริ่ม กล่าวอีกว่า “เวลาก็สายแล้ว พวกเราอย่าให้คนนอกมาทำเสียเวลาเลย รีบไปกันเถอะ!”
“ก็ดี”
ใบหน้ากวนสีหลิ่นเอ่อล้นไปด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์ คร้านจะสนใจสองคนนั้น ในสายตาเขา หนึ่งฝ่ามือที่เขาได้รับ น้องสาวสุดที่รักก็ช่วยสนองกลับไปเป็นสองเท่าแล้ว จึงเป็นปกติของชายชาตรีอกสามศอกที่จะไม่ไปหาเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นอีก
คนนอก…
มู่หรงอี้เซวียนมองแผ่นหลังนางที่หันตัวจากไปด้วยความตกใจ ในห้วงทะเลแห่งความคิดมีคำพูดประโยคนั้นดังกึกก้องอยู่
ใช่สิ! เขาไม่ใช่คนนอกรึไง? ซ้ำยังไม่ได้เป็นอะไรกับนาง เพียงอยากพบก็จะพบได้เช่นไรเล่า? แต่ว่า ทำไมหลังจากได้ยินคำพูดประโยคนั้น หลังจากเห็นนางหันตัวจากไปโดยไม่คิดจะสบตาเขาแม้แต่แวบเดียวมาตั้งแต่ต้นจนจบ จึงรู้สึกใจหายเช่นนี้เล่า?
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เฟิ่งชิงเกอสาวก้าวไปด้านหน้า ขวางอยู่เบื้องหน้าเฟิ่งจิ่วด้วยใบหน้าขุ่นเคือง “ตบข้าแล้วคิดจะไปเลยรึ? ไม่ง่ายขนาดนั้นกระมัง!”
ระหว่างที่พูด นางก็ยกมือขึ้นดึงไปที่ผ้าคลุมหน้าบนใบหน้าเฟิ่งจิ่ว อยากจะเห็นใบหน้านางชัดๆ
…………………………………………………….
ตอนที่ 110 จากไปอย่างอับอาย!
เฟิ่งจิ่วตั้งรับนางไว้ก่อนแล้ว!
เห็นนางยื่นมือมาดึงผ้าคลุมหน้าเธอ จึงหลบไปด้านหลังกวนสีหลิ่นเองตามธรรมชาติ สองมือกำเสื้อด้านหลังไว้แน่น ดวงตาคู่งามกะพริบปริบๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อน้อยใจว่า “ท่านพี่ นางกลั่นแกล้งข้า”
มู่หรงอี้เซวียนข้างๆ ตื่นตะลึงเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยสง่างามสงบนิ่งเมื่อครู่ จู่ๆ จะหลบอยู่หลังพี่ชาย และเผยแววตาหมองเศร้าใจเสาะเช่นนี้ ซ้ำยังใช้คำพูดนุ่มนวลที่มีความกล่าวฟ้องอย่างคับข้องใจ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะอยากปกป้องอยู่เบื้องหน้า เพื่อเป็นที่พึ่งให้นางบ้าง
พอเห็นน้องสาวสุดที่รักมาหลบอยู่ด้านหลังเขา แล้วใช้น้ำเสียงน้อยใจกล่าวฟ้องถึงการกระทำไร้มารยาทของหญิงผู้นั้น กวนสีหลิ่นจึงถลึงตามองแรง ยืดผายแผ่นอก สองมือยกขึ้นเท้าสะเอว
“เจ้าคิดจะทำอะไร? ไยจึงหยาบคายเช่นนี้? ไหนว่าเป็นลูกสาวแม่ทัพเฟิ่ง? แม่ทัพเฟิ่งชื่อเสียงเกรียงไกร จะสั่งสอนลูกสาวที่ไร้มารยาทเช่นเจ้าได้เยี่ยงไร? ข้าว่าเจ้าเป็นของปลอมแน่แล้ว!”
เสียงเขาดังมาก ในความหยาบกระด้างยังมีความอาจหาญ พอสิ้นสุดน้ำเสียง ก็ไม่รอให้เฟิ่งชิงเกอตอบโต้ เห็นคนรอบด้านมามุงดูกันไม่น้อย จึงเอ่ยเสียงดังลั่น “ท่านทั้งหลาย พวกท่านลองมาคิดดู ผู้หญิงคนนี้ไร้มารยาทใช่หรือไม่? พวกเรากับนางหาได้รู้จักกัน นางเข้ามาก็ตบข้าทีหนึ่ง ซ้ำยังจะดึงผ้าคลุมหน้าของน้องสาวข้าอีก พวกท่านคิดว่านางระรานเกินไปหรือไม่เล่า?”
เพราะเขาผายอกขึ้นขวาง เฟิ่งชิงเกอจึงไม่ถอยไม่ได้ แต่พอฟังคำพูดนั้น ในใจก็ยิ่งโกรธเคืองอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นผู้คนรอบข้านมากมายต่างชี้มือชี้ไม้มาที่นาง ส่วนมู่หรงอี้เซวียนที่นางนึกถึงอยู่ตลอด เวลานี้กลับกำลังมองสาวน้อยชุดขาวที่หลบอยู่หลังพี่ชายด้วยท่าทีหลงใหล ขณะที่ไม่ออกมายืนพูดให้นางสักประโยค ก็ยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า
นางมองเขาแวบหนึ่งด้วยความน้อยใจและเจ็บใจ เบ้าตาแดงน้อยๆ ก่อนจะปิดหน้าเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป
“อ้าว สาวงามของท่านวิ่งร้องไห้ไปเสียแล้ว”
เฟิ่งจิ่วพูดด้วยแววตายิ้มกริ่ม เห็นมู่หรงอี้เซวียนยังคงใช้สายตาจับจ้องมาที่เธอ จึงคิดว่า พวกผู้ชายล้วนมีนิสัยน่ารังเกียจ กินของในชามอยู่ ยังคิดจะมองของในจานอีก
มู่หรงอี้เซวียนมองนางอย่างสับสน กลับไม่พูดอะไรอีก แค่ประสานมือคารวะนาง จากนั้นถึงจะสาวเท้าจากไป
“ท่านพี่ พวกเราไปกันเถอะ! อยู่ที่นี่ก็เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว” เธอตบๆ บ่าเขา เพื่อส่งสัญญาณให้ขึ้นรถม้า
“ก็ได้”
กวนสีหลิ่นฉีกยิ้มกว้างขานรับ มองเฟิ่งจิ่วที่กำลังขึ้นรถม้า พลันหยุดฝีเท้าลง เอ่ยอย่างสงสัยว่า “เสี่ยวจิ่ว ทำไมข้ารู้สึกว่าหญิงคนเมื่อครู่เหมือนจะคล้ายคลึงกับเจ้าอยู่นิดหน่อยนะ?”
เมื่อเฟิ่งจิ่วที่แหวกเปิดผ้าม่านและกำลังจะเข้ารถม้าได้ยินคำพูดนี้ ในแววตาก็ฉายแววแปลกใจ หันกลับไปยิ้ม “เหมือนกันตรงไหนรึ?” นึกไม่ถึงว่าพี่ชายคนข้างกายที่ดูเหมือนไม่สนใจอะไร จริงๆ ก็ละเอียดถี่ถ้วนดีนี่นา!
กวนสีหลิ่นเกาหัวคิดๆ ดู “ก็รูปร่างท่าทางคล้ายกัน อารมณ์แตกต่าง แต่โครงหน้ากับดวงตาเหมือนว่าจะคล้ายกันอยู่บางส่วนนะ”
เธอยิ้มพลางเข้าไปนั่งในรถม้า แล้วกวักมือเรียกเขา “รีบขึ้นมาสิ”
“โอ้” เขาถึงจะก้าวยาวเหยียบขึ้นรถม้า เลื่อนเปิดผ้าม่านเข้าไปนั่งด้านใน
หลังจากเหลิ่งซวงด้านนอกรอพวกเขานั่งลง ถึงจะควบรถม้าไปยังบ้านตระกูลกวนต่อ
เฟิ่งจิ่วในรถม้าเก็บผ้าคลุมหน้าลง เอ่ยพลางมองเขาด้วยแววตาแย้มยิ้ม “ท่านพี่ สายตาท่านยังหลักแหลมกว่าบางคนนัก”
“ห๊า?” เขาตะลึงอยู่บ้าง ไม่เข้าใจคำพูดที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้เอามากๆ
“อีกหน่อยท่านก็รู้เอง”
เธอขยิบตาให้เขา ส่งยิ้มโดยไม่พูดอะไร และไม่คิดจะบอกเรื่องราวทั้งหมดให้เขารู้ในตอนนี้
…………………………………………………….