ตอนที่77 ตาลุงซง

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่77 ตาลุงซง

เนื่องจากทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉีเล่ยจึงตัดสินใจวางหนังสือเล่มนั้นลง และเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า

“ผมสงสัยว่าอาจารย์ซงเคยอ่านพวกหนังสือปรัชญามาก่อนรึเปล่าครับ? ตามที่นีทเชอ[1]กล่าวไว้ว่า นิยามของคำว่าความรัก มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ,พรมแดนหรือแม้แต่เพศ”

ทุกคนที่กำลังสนทนาอย่างสนุกสนาน แต่กลับไม่คิดเลยว่าจู่ๆฉีเล่ยจะกล่าวแทรกขึ้นมาแบบนี้แถมยังออกตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน เป็นนผลมาให้อาจารย์ทุกคนในห้องต่างจับจ้องมาทางเขาด้วยความประหลาดใจยิ่ง

ในสายตาของพวกเขาเหล่านี้ ฉีเล่ยเป็นอาจารย์หน้าใหม่ที่เพิ่งมาทำงาน ตามกฎทางสังคมแล้ว พวกหน้าใหม่ไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น มีหน้าที่เพียงแค่หุบปากและรับฟังไปเฉยๆ โดยไม่ว่าเจ้าตัวจะพอใจหรือไม่ก็ตาม

สำหรับกรณีของฉีเล่ยเรียกว่า พวกอยู่ไม่เป็น

พูดตามตรงๆก็คือโลกสวยเกินไป เข้ากับสังคมคนหมู่มากไม่ได้

มีอาจารย์คนหนึ่งที่ดูท่าจะใจดีไม่น้อย แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้ฉีเล่ยหยุดสร้างปัญหา เพราะอาจารย์ทุกคนในห้องพักอาจารย์ทราบดีว่า ใครก็ตามที่กล้ามีเรื่องกับตาลุงซงล้วนจบไม่สวย

ในเมื่อคุณเป็นผู้มาใหม่ก็ควรปฏิบัติตนในฐานะผู้มาใหม่เช่นกัน

ตามที่คาดไว้ คล้อยหลังได้ยินคำพูดของฉีเล่ย สีหน้าของตาลุงซงพลันมืดทมิฬลงทันใด เขาจ้องตาเขม็งใส่กล่าวเย้ยเยาะขึ้นว่า

“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? นิยามของความรัก?”

“ผมบอกว่านิยามของความรักไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ,พรมแดนหรือแม้แต่เพศ นี่เป็นคำกล่าวของนีทเชอบนหน้าหนังสือปรัชญาชื่อดังขณะที่สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยเซาท์แทมป์ตัน ช่างมันเถอะครับ รู้สึกว่าหนังสือปรัชญาดังกล่าวมันมีแต่ฉบับภาษาอังกฤษ อาจารย์ซงไม่น่าจะรู้จัก”

ใครก็ตามที่ได้ยินประโยคคำกล่าวนี้ของเขาย่อมเข้าใจได้โดยธรรมชาติว่า ฉีเล่ยกำลังเปรียบอาจารย์ซงเป็นดั่งการเล่นพิณให้วัวฟัง

ในมุมมองของอาจารย์ซง คำพูดนี้ของฉีเล่ยยิ่งกว่าคมมีดปักเข้ากลางขั้วหัวใจเสียอีก

คนรุ่นเขาจะไปรู้เรื่องอะไร? ภาษาอังกฤษอ่านออกรึเปล่าก็ยังไม่รู้? ในยุคที่ยังหนุ่มคงโดนพ่อแม่ของทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชายจับคลุมถุงชนให้แต่งงานกันอยู่เลยมั้ง? แค่มองหน้ากันก็เขินจนทำอะไรไม่ถูก เพียงจับมือถือว่าเสียผีอะไรแบบนั้น

กล่าวได้ว่า ในมุมมองเรื่องความรักของคนรุ่นอาจารย์ซงค่อนข้างล้าหลังมาก

ภรรยาของอาจารย์ซงก็ไม่ได้จัดว่าสวยอะไรเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเงินเดือนของเขาเพิ่มมากขึ้น เขาก็ยิ่งอยากหอบเงินก้อนนี้หนีให้พ้นจากมนุษย์เมียให้ไกลที่สุด

โดยปกติแล้ว อาจารย์ซงมักจะใช้เวลาโดยส่วนใหญ่อยู่กับมหาวิทยาลัย แม้จะส่งเงินให้ภรรยาประจำทุกเดือน แต่เขาก็แทบจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องชีวิตครอบครัวเลย เขาปล่อยให้ภรรยาของตนเป็นแม่บ้านเต็มตัว ทั้งเรื่องอาหาร ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน หรือแม้แต่เลี้ยงลูกๆหลานๆก็ตาม

ดังนั้น หากจะบอกว่าเขาเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับความรักแค่ไหน ก็แทบตอบได้ทันทีว่าเป็นศูนย์

และเพียงเพราะเขาไม่เข้าใจทั้งเรื่องความรักทั้งไม่ยอมเปิดรับวัฒนธรรมชาวตะวันตก แม้แต่ภาษาอังกษยังไม่คิดที่จะแตะต้อง ประโยคคำกล่าวนี้ของฉีเล่ยจึงยิ่งเจาะทะลวงขั้วหัวใจเขาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก

ปัง!

อาจารย์ซงยกฝ่ามือตบโต๊ะเสียงดังลั่น

“ใครบอกว่าฉันไม่เข้าใจ! ฉันนี่นะ อาบน้ำร้อนมาก่อนเธอไม่รู้เท่าไหร่! เด็กๆอย่างเธอจะไปรู้อะไร!!”

ฉีเล่ยขมวดคิ้วใส่

ถ้าจะให้บอกว่าเขารังเกียจคนประเภทไหนที่สุด คงนิยมสรุปได้ว่า คนที่ในหัวคิดแต่เรื่องต่ำทราม และใช้ความอาวุโสเข้าข่มเหงอวดเก่ง เพียงเพราะอายุมากกว่า ทั้งๆที่ในความเป็นจริงกลับไม่มีอะไรเลย ซึ่งน่าเสียดายนักที่คนทั้งสองประเภทที่กล่าวมาข้างต้นดันสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ด้วย

ฉีเล่ยเอนหลังพิงเบาะนั่งอย่างสบายอารมณ์ แถมยังยื่นมือไปเปิดหน้าต่างให้ลมถ่ายเทเข้ามา พลางตอบไปว่า

“อาบน้ำร้อนมันไม่ดีนะครับ เดี๋ยวผิวแห้ง”

“นี่เธอยังจะเถียงอีกเหรอ! ไอ้เด็กเหลือขอ! ไอ้…ไอ้สารเลว! กล้าข้ามหัวผู้ใหญ่งั้นเหรอ?! นิสัยแย่มาก! เด็กเหลือขออย่างเธอเข้ามาสอนที่นี่ได้ยังไง? มารยาทน่ะรู้จักไหม!?”

อาจารย์ซงดูกระวนกระวายอย่างมากราวกับมดน้อยในกระทะร้อน จนเส้นประสาทปูดโปนขึ้นตามหน้าผาก ทั้งยังชี้หน้าโวยวายฉีเล่ยไม่หยุดไม่หย่อนเสมือนหมาบ้า

ฉีเล่ยยักไหล่อย่างไม่แยแส

“ผมยังไม่ได้เถียงอะไรเลยสักคำนะครับ”

“นี่เธอ! ยังจะเถียงอยู่อีก! ฉันไม่เสียเวลาเถียงกับเธอแล้ว! ฉันจะไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าคณะอาจารย์กัวฟัง! อยากจะรู้เหลือเกินว่า เขาปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขออย่างเธอเข้ามาสอนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ยังไง!”

ที่ผ่านมา อาจารย์ซงล้วนถูกเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องเอ่ยปากยกย่องชื่นชมมาโดยตลอด แล้วมีหรือที่จะทนให้ฉีเล่ยถอนหงอกได้แบบนี้? ในอดีตเคยมีอาจารย์หนุ่มสาวที่หัวรั้นแบบฉีเล่ยเช่นกัน แต่พอโดนเขาขึ้นเสียงหรือทุบโต๊ะใส่ สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าคอตกกันไปหมด

ไม่ว่าจะในกรณีใด แม้ว่าคำพูดของอาจารย์หนุ่มสาวเหล่านั้นจะถูกต้องแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อโดนคำว่า ข้ามหัวผู้ใหญ่ ล้วนต้องยอมจำนนโดยปริยาย และอาศัยที่อาจารย์ซงเป็นอาวุโสของที่นี่ ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เขามักจะเอาไปฟ้องหัวหน้าคณะอาจารย์กัวโดยตรง!

“เห้อออ…เป็นรุ่นน้องนี่ก็เหนื่อยนะครับ แค่ผมอยากออกความเห็นที่แตกต่างเท่านั้น ถึงกับต้องโดนรายงานเป็นเรื่องใหญ่โต หรืออาจารย์ซงอยากให้ทุกคนปากเสียแบบคุณเหรอครับ?”

ปลายคิ้วของฉีเล่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเบะปากใส่

“คิดว่า เกิดก่อนจะต้องเก่งกว่าคนอื่นเสมอไปเหรอครับ? ตรรกะของอาจารย์ซงค่อนข้างบิดเบี้ยวไม่น้อยเลยนะครับ แต่เอาเถอะ อย่างที่คนอื่นพูดกันว่า ไม้แก่ดัดยาก ต่อให้ผมอธิบายไปสักเท่าไหร่คุณคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่หักหน้า”

ประโยคนี้เป็นคำขอโทษอย่างชัดแจ้ง แต่ความหมายในคำกล่าวที่ว่ากลับไม่ได้หมายถึงการขอโทษกันเลยสักนิด น้ำเสียงของฉีเล่ยไม่เพียงจะไร้ซึ่งความสำนึกใดๆ แต่ยังดูไม่แยแสเลยสักนิด ดูยังไงก็เป็นการเสียดสีประชดประชันมากกว่า

แต่ใครสั่งให้เขามานินทาหลี่ถงซีลับหลังล่ะ?

ถ้ารู้ว่าคนอื่นแอบนินทาคุณลับหลังบ้างจะรู้สึกยังไง?

สีหน้าของอาจารย์ซงบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม เสมือนกับในปากของเขาอมแมลงวันเน่าประมาณกิโลหนึ่งอยู่ เหลือบมองฉีเล่ยเจือแววอาฆาตอยู่หลายส่วน โดยไม่แม้แต่เหลียวมองใครใดๆอีก เขามุ่งหน้าตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์กัวทันที

“นายเสร็จแน่”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมขยับแว่นของตนเล็กน้อย และกล่าวต่อว่า

“ภรรยาของหัวหน้าคณะอาจารย์กัวเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอาวุโสซง ก็เลยไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา แต่นายนี่สิ เพิ่งมาใหม่วันนี้วันแรกแท้ๆ ทำไมถึงไปหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้? นายก็ควรรู้นะ อาจารย์วิชาการวินิจฉัยเคยโดนไล่ออกไปสองคนแล้ว”

“สองคนนั่นโดนไล่ออกเพราะว่าอาจารย์ซงเหรอครับ?”

ฉีเล่ยเอ่ยถาม

“เปล่า เปล่า สองคนนั้นโดนนักศึกษาไล่”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมกล่าวตอบ

“ครับ ตราบใดที่พวกนักศึกษาไม่ไล่ผมออก ก็ไม่มีใครไล่ผมออกได้เช่นกัน”

อาจารย์ร่างอ้วนท้วมหมุนเก้าอี้มองมาทางเขาพลางส่ายหัวใส่

“นายยังไร้เดียงสาเกินไป นอกจากปัจจัยที่เกิดขึ้นจากตัวเราแล้ว ในสังคมการทำงานยังมีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่อีกมากมาย ดูจากอายุแล้ว…นายน่าจะเพิ่งเรียนจบสดๆร้อนๆเลยใช่ไหม? อืม อืม…สามารถเข้ามาสอนที่นี่ได้ตั้งแต่อายุแค่นี้ นับว่านายเป็นคนที่มีความสามารถมากเลยนะ ดังนั้นถือซะว่าการมาสอนที่นี่เป็นบทเรียนก็แล้วกัน หลังจากย้ายไปสอนที่อื่นแล้วก็จำเอาไว้ล่ะ ต้องใส่ใจกับสังคมการทำงานด้วย”

ฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยตอบใดๆทั้งสิ้น เพียงยิ้มและพยักหน้าตอบอีกฝ่ายไป

อาจารย์ซงหายตัวไปนานมาก บรรยากาศภายในห้องพักอาจารย์เงียบจนผิดปกติ ทุกคนกำลังรอพายุลูกใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า และพวกเขาทั้งหมดล้วนคิดว่า ชะตากรรมของฉีเล่ยถึงฆาตแล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉีเล่ยไม่แม้แต่สนใจเลยสักนิด ในแง่ความของความสัมพันธ์ เบื้องหลังของเขามีทั้งคณบดีหลี่และหัวหน้าภาคหลินคอยสนับสนุนอยู่ ไม่ว่าหัวหน้าคณะอาจารย์ซีจะอายุเท่าไหร่ แต่ตำแหน่งที่ขึ้นต้นหน้าชื่อของเขายังเป็นแค่‘หัวหน้าคณะอาจารย์’เท่านั้น ซึ่งตัวเองเองก็ได้รับจดหมายแนะนำเป็นการส่วนตัวจากหลินหมิงซาง เขาน่าจะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

ฉีเล่ยที่ยังไม่เห็นว่าตาลุงนั่นยังไม่กลับมาสักที เขาก็คาดคะเนได้ทันทีว่า อีกฝ่ายคงมีปากเสียงกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเพราะไม่ยอมรับฟังคำขอของตน ตอนนี้คงละอายใจเกินกว่าจะมีหน้ากลับมาในห้องพักอาจารย์  หรือไม่ก็คงหนีกลับบ้านไปแล้ว

สำหรับผลลัพธ์ดังกล่าว มันทำให้ฉีเล่ยพึงพอใจอย่างยิ่ง

ไม่มีศัตรูตั้งแต่แรกเห็น นอกเสียจากคุณจะต้องเคยไปทำอะไรขัดแย้งกับเขาเสียก่อน สำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน

ขณะเดียวกันนั้นเอง สายตาของบรรดาอาจารย์ที่เหลือในห้องต่างจับจ้องไปที่ฉีเล่ย ก่อนจะเริ่มจับกลุ่มกระซิบกระซากกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์