บทที่ 75 ของต่างหน้า

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เพียงแต่หลี่จวิ้นรู้ว่า คำพูดพวกนี้ เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดให้อวี้ถังฟังอีกแล้ว

“ข้าเข้าใจแล้ว!” เขาพยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง ออกจากเรือนสกุลอวี้ไป

ด้านอวี้ถังค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

ชาติก่อน หลี่จวิ้นก็ตกม้าในช่วงเวลานี้ ยามนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย เขาคงไม่มีใจไปขี่ม้าเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง ก็นับว่าช่วยชีวิตของเขาไปในตัวแล้วกัน

แต่ว่า อวี้ถังยังคงกังวลว่าเรื่องของชาติก่อนจะเกิดขึ้นอยู่บ้าง นางจ้างอาหลิ่วที่ขายสาลี่ช่วยจับตาดูหลี่จวิ้น หากหลี่จวิ้นขี่ม้าออกจากประตู ก็ให้ขัดขวางหลี่จวิ้นทันที พูดว่านางอยากพบเขา

ส่วนเป็นเรื่องอะไร อวี้ถังยังหาข้ออ้างไม่ได้

ผลลัพธ์เมื่อถึงวันที่เกิดเรื่อง หลี่จวิ้นยังคงออกจากประตู…พวกฟู่เสี่ยวหวั่นเห็นว่าหลายวันมานี้เขาพบเจอแต่เรื่องไม่ดีติดต่อกัน จึงชวนเขาไปขี่ม้าเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยกัน

หลี่จวิ้นไม่มีกะจิตกะใจ

เมื่อวาน มารดาของเขาได้รับจดหมายตอบกลับจากบิดา ให้คนสกุลหลินเลือกวันส่งเขาไปรื่อเจ้า บิดาของเขาจะถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เขาด้วยตัวเอง

หากเป็นเมื่อก่อนฟู่เสี่ยวหวั่นชวนเขาออกจากบ้าน แม้จะอารมณ์ไม่ดีก็จะข่มกลั้นเอาไว้ ออกไปเที่ยวกับเขา แต่ยามนี้ เขากลับอยากพูดคุยกับพวกฟู่เสี่ยวหวั่นเสียหน่อยมากกว่า

เขาจะไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาหลินอันอีก

พวกเขาไม่ได้ขี่ม้าเที่ยวเล่น แต่ไปบ้านของเสิ่นฟาง ดื่มชาฟังดนตรีคุยเล่นกัน จวบจนดวงจันทร์ทอแสงเหนือกิ่งหลิวจึงกลับจวน

ด้านอวี้ถังทราบข่าวนี้ ใจที่แขวนกลางอากาศจึงค่อยสงบลงมาได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่นางสามารถทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว นับว่าได้ปกป้องชีวิตของหลี่จวิ้นเอาไว้ นับแต่นี้ต่อไป นางและสกุลหลี่ก็ไม่ข้องเกี่ยวอันใดกันแล้ว ภายภาคหน้าหากมีแค้นย่อมชำระด้วยแค้น เกลียดชังมาก็เกลียดชังตอบ ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว

วันที่สี่เดือนสิบ หลี่จวิ้นก็เดินทางออกจากเมืองหลินอัน

อวี้ถังนั้นไม่รู้เรื่องนี้

นางตามผู้ใหญ่ในสกุลและพี่ชายไปเรือนเก่าเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

เพียงเมื่อพวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเรือนเก่าสกุลอวี้ ปู่ห้าก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา กล่าวว่ามีคนต้องการพบพวกเขา ถามพวกเขาว่าอยากพบหรือไม่

หลังจากเกิดเรื่องอาเจ็ด ถึงแม้อวี้เหวินจะรับปากว่าจะเลี้ยงดูปู่ห้ายามบั้นปลายชีวิต แต่ปู่ห้ากลับคล้ายถูกดึงเอ็นออกจากร่างชั่วข้ามคืน ทำเรื่องอะไรก็ล้วนไม่มีเรี่ยวแรง ทุกวันเอาแต่นั่งอยู่หน้าประตูสูบยาเส้นที่ตัวเองปลูก ไม่กี่วันก่อนยังเท้าเคล็ด อวี้เหวินเชิญหมอมารักษาเขา เขาก็ไม่ยอมกินยาดีๆ ทำให้ยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ใครเตือนก็ไม่ยอมฟัง

อวี้เหวินเห็นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เอ่ยกับปู่ห้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เท้าท่านไม่ดี อย่าวิ่งวุ่นไปทั่วเลย เป็นใครที่อยากพบข้า? ข้าไปดูด้วยตัวเองก็เพียงพอแล้ว”

ปู่ห้านั้นรู้สึกผิดต่ออวี้เหวินและอวี้ถัง ได้ฟังก็ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้าง “เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก เท้าข้า ข้ารู้ดีที่สุด ผู้ที่อยากพบเจ้าคือคนบ้านสายตรงสกุลหลู่ คนสกุลหลู่ที่หลังจากเขาตาย เจ้าก็จัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้ผู้นั้น” พูดมาถึงตรงนี้ ปู่ห้าก็อดพูดต่อไม่ได้ “ข้าเห็นพวกเขายังพาเด็กคนหนึ่งมาด้วย ข้ามาใคร่ครวญดู หรือบ้านสายตรงสกุลหลู่อยากจะให้เด็กคนนี้เป็นลูกบุตรธรรมของหลู่ซิ่น ดังนั้นจึงมาหาเจ้าเพื่อพูดเรื่องนี้”

นี่เดิมทีก็ไม่ข้องเกี่ยวกับสกุลอวี้ แต่สกุลอวี้นั้นช่วยจัดการเรื่องงานศพของหลู่ซิ่น หากบ้านสายตรงสกุลหลู่อยากมอบทายาทให้รับช่วงต่อหลู่ซิ่น ตามหลักแล้วควรจะมาทักทายกับสกุลอวี้ ยอมรับน้ำใจนี้ของสกุลอวี้จึงจะถูก

อวี้เหวินไม่ได้นำมาใส่ใจ กำชับปู่ห้าอย่างเป็นห่วงไม่กี่คำ จึงค่อยไปพบคนของสกุลหลู่

ยังคงเป็นดังที่ปู่ห้าคาดไว้จริงๆ นี่ไม่ใช่วันที่หนึ่งเดือนสิบ ยามที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษหนึ่งปีหนึ่งครั้งแล้วหรอกหรือ? บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงปรึกษาหารือจะมอบทายาทให้หลู่ซิ่นเพื่อคอยจุดธูปเทียนให้เขา เอ่ยกับอวี้เหวินว่า “เมื่อก่อนโกรธเขาที่ไม่เห็นบ้านสายตรงพวกเราอยู่ในสายตา แต่คนตายก็เหมือนตะเกียงที่มอดดับ บางเรื่องปล่อยไปได้ก็ต้องปล่อยไป ภายหน้าลูกหลานจะได้ไม่เอ่ยขึ้นมา คิดว่าข้านั้นใจแคบ เขาเป็นลูกหลานของสกุลหลู่คนหนึ่ง ก็ไม่อาจให้พวกเจ้าสกุลอวี้ช่วยจุดธูปเซ่นไหว้ได้ ผู้อาวุโสของพวกเราไม่กี่คนได้ปรึกษากัน จะให้เด็กคนนี้เป็นลูกของหลู่ซิ่น แต่ว่ายังคงให้เด็กใช้ชีวิตกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเหมือนเดิม ยามที่ฉลองเทศกาลหรือข้ามปีก็ให้จุดธูปเซ่นไหว้หลู่ซิ่นก็เพียงพอแล้ว”

อวี้เหวินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี

ความสัมพันธ์ของเขาและหลู่ซิ่นเป็นเรื่องของรุ่นเขา ไม่อาจให้พวกลูกหลานรุ่นหลังไปเซ่นไหว้หลู่ซิ่นทุกปีได้หรอกกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นอวี้ถังก็ไม่ชอบหลู่ซิ่น

“รบกวนท่านแล้ว!” อวี้เหวินเอ่ยคำขอบคุณกับบ้านสายตรงสกุลหลู่แทนหลู่ซิ่น

ยามนี้บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงค่อยเอ่ยถึงจุดประสงค์แท้จริงที่มา “เช่นนั้นท่านว่า หลู่ซิ่นก็ไม่ได้เหลือของอันใดไว้ เรือนเก่าผุพังนั้น เขาก็ขายให้คนอื่นแล้ว คงไม่อาจถึงกับไม่มีอะไรให้เด็กคนนี้ได้นึกถึงเลยกระมัง? ข้าได้ยินว่ายามที่ท่านกลับมาจากหังโจว ยังนำของที่หลู่ซิ่นใช้ยามที่มีชีวิตกลับมาด้วย จะสามารถ สามารถให้เด็กคนนี้ได้หรือไม่ พูดถึงแล้ว ก็นับว่าเป็นรับรองในการมอบเด็กคนนี้เป็นลูกของหลู่ซิ่น…”

อวี้เหวินชะงักไป

ก่อนหน้านี้เขาและอวี้ถังเคยคาดเดามามากมาย

เคยนึกว่าสกุลหลี่จะส่งคนมาขโมยอีกครั้ง คิดว่าจะมีคนมาชกชิง รอหลังจากสกุลหลี่และสกุลอวี้ทะเลาะกันครั้งใหญ่ เขากระทั่งเคยคิดว่าสกุลหลี่จะหลบไปเพราะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย นับจากนั้นก็จะไม่วางแผนกับสกุลอวี้ของพวกเขาอีก

สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ คนของสกุลหลู่จะมาขอสิ่งที่เรียกว่าของต่างหน้าของหลู่ซิ่นถึงหน้าประตูในยามนี้

อวี้เหวินลังเลไปชั่วขณะ

เดิมทีของต่างหน้านี้เตรียมจะล่อให้สกุลหลี่ติดกับ หากมอบให้สกุลหลู่ สกุลหลู่จะถูกดึงติดร่างแหในเรื่องนี้ไปด้วยหรือเปล่า

แผนที่เดินเรือมีผลประโยชน์มหาศาล ใครก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังสกุลหลี่ยังมีคนอื่นหรือไม่? ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังตกลงมีความเป็นมาอย่างไร? กระทำการในรูปแบบไหน?

คนบ้านสายตรงสกุลหลู่ปรากฏสีหน้าละโมบขึ้นมาแวบหนึ่ง

ของต่างหน้าของหลู่ซิ่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่อยากได้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาบังเอิญทราบมาว่าภาพวาดหนึ่งที่หลู่ซิ่นหลงเหลือไว้เป็นผลงานแท้ของนักวาดในราชวงศ์ก่อน ในท้องตลาดอย่างน้อยที่สุดก็สามารถขายได้สามร้อยถึงห้าร้อยตำลึง นี่ก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้แล้ว

เช่นนั้นอวี้เหวินฝังศพหลู่ซิ่น อย่างมากที่สุดก็เสียเงินยี่สิบกว่าตำลึงเท่านั้น ถือสิทธิ์อันใดเอาภาพวาดนี้ไปเปล่าๆ

ตามหลักแล้วภาพนี้ควรตกอยู่ในมือของสกุลหลู่พวกเขาสิ

เมื่อคิดเช่นนี้ บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงอดร้อนใจไม่ได้ “นายท่านอวี้ ข้าก็รู้ว่าท่านจัดงานศพยิ่งใหญ่ให้หลู่ซิ่น ตามหลักแล้ว พวกเราไม่ควรเอาของกลับไปอีก แต่ข้าเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลู่ ไม่อาจปล่อยปละละเลยทายาทของหลู่ซิ่นไปได้เช่นนี้ ข้าก็มีชื่อเสียงฐานะเช่นกัน เป็นเรื่องที่อับจนหนทาง อย่างไรขอนายท่านอวี้โปรดทำเรื่องดีให้ถึงที่สุดด้วย คืนของต่างหน้าของหลู่ซิ่นให้กับสกุลหลู่พวกเรา พวกเราจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก!”

พูดจบ ก็หยัดกายคำนับให้กับอวี้เหวิน

อวี้เหวินกลับอยากคืนของให้สกุลหลู่ แต่เขาลังเลว่าจะทำอย่างไรดี จึงตั้งใจใช้คำพูดยืดเยื้อบ้านสายตรงสกุลหลู่ “ของที่เขาทิ้งไว้ก็มีไม่มาก ข้ายังไม่ทันได้จัดการดีๆ เอาอย่างนี้ รอผ่านวันเซ่นไหว้ไม่กี่วันนี้ไป ท่านค่อยมาที่บ้านอีกครั้ง พวกเรามาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้!”

บ้านสายตรงสกุลหลู่กลัวว่าอวี้เหวินจะเปลี่ยนใจภายหลัง แต่ก็ไม่อาจเร่งรัดเกินไปได้ กลัวว่าจะทำให้อวี้เหวินเกิดความสงสัย รีบเอ่ย “เช่นนั้นก็ได้! พวกท่านกลับเข้าเมืองหลินอันเมื่อใด? ถึงเวลานั้นข้าจะพาเด็กคนนี้ไปขอพบท่าน”

อวี้เหวินตอบ “วันมะรืนพวกเราจึงจะกลับไป ไม่อย่างนั้น นัดเจอห้าวันให้หลังเถิด!”

บ้านสายตรงสกุลหลู่ยังคงต่อรอง อวี้เหวินพูดอยู่ค่อนวัน จบที่นัดไปเอาของที่สกุลอวี้อีกสามวัน

อวี้เหวินพยักหน้าอย่างจนใจ ส่งคนสกุลหลู่จากไปก็แอบคนสกุลเฉินดึงอวี้ถังไปพูดคุยใต้ต้นเซียงจางหน้าเรือน

เขาเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้อวี้ถังฟังอย่างไม่ตกหล่น “เจ้าว่า พวกเราควรทำอย่างไรดี?”

โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็เห็นลูกสาวเป็นคนที่พึ่งพาได้ไปเสียแล้ว

เรื่องของต่างหน้าของหลู่ซิ่น พวกเขาแพร่ข่าวออกไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าคนสกุลหลู่หรือคนสกุลหลี่ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด กลับมายามที่เพิ่งสิ้นสุดการโต้แย้งกับสกุลหลี่ สกุลหลู่ก็นึกถึงเรื่องมอบบุตรบุญธรรม ทั้งยังมาเอาของต่างหน้า หากกล่าวว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนงำ อวี้ถังคนหนึ่งแล้วที่ไม่เชื่อ

แต่ว่า ความคิดของนางได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว

เมื่อก่อน นางเพียงอยากทิ้งเผือกร้อนนี้ออกไปเท่านั้น ยามนี้ นางกลับต้องการพยายามสุดความสามารถเพื่อจะทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังแตะของร้อนจนมือพอง จึงจะทำให้ความโกรธแค้นในใจนางสงบลงได้

“เช่นนั้นก็มอบให้พวกเขา” อวี้ถังเอ่ยอย่างเยือกเย็น “แต่ว่า พวกเราจัดงานศพให้ลุงหลู่ ก็ใช้เงินไปไม่น้อย สกุลพวกเขาคิดจะเอาของกลับไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดเชยค่าเสียหายให้สกุลพวกเราหน่อยกระมัง?”

“นี่ไม่ค่อยดีกระมัง!” อวี้เหวินเอ่ยคัดค้านทันที “ไม่แน่ว่าพวกเขาก็ถูกคนใช้ประโยชน์เช่นกัน”

“หากพวกเขาไม่คิดละโมบโลภมาก จะถูกคนหลอกใช้ได้รึ?” อวี้ถังไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เอ่ยอย่างดูแคลน “แม้ว่านี่จะเป็นหลุมใหญ่ ก็เป็นพวกเขาที่ต้องการกระโดดเข้ามาเอง หรือต้องโทษพวกเราที่ไม่ได้ทัดทานพวกเขา? แม้จะเป็นเด็กสามขวบก็ยังรู้ว่าไม่มีของดีตกลงมาจากฟ้าได้ เขาเป็นเพียงบ้านสายตรง คาดไม่ถึงว่าจะเชื่อในเรื่องเช่นนี้ หรือพวกเรายังต้องจับมือเขาสอนเรื่องไม่ควรโลภในทรัพย์สินที่ได้มาอย่างไม่ขาวสะอาด?”

อวี้เหวินถูกลูกสาวโน้มน้าวสำเร็จ “เช่นนั้นยามที่พวกเขามาหา พวกเราควรพูดอย่างไร? บอกเขาว่าต้องการเงินไปตรงๆ? จำนวนเท่าไรจึงจะเหมาะสม?”

อวี้ถังเอ่ย “คนเฉกเช่นพวกเขา ยิ่งท่านต้องการเงินจากพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาก็ยิ่งไม่อาจสงสัย ตอนแรกไม่ใช่ว่าลุงหลู่ขายภาพนั้นให้ท่านสองร้อยตำลึงหรอกรึ? พวกเราก็ไม่ต้องการมาก แค่สองร้อยตำลึงก็เพียงพอแล้ว”

“มากขนาดนี้เชียว!” อวี้เหวินตกใจไม่น้อย

อวี้ถังกลับมีแผนในใจแล้ว “ท่านฟังข้า เรื่องนี้ย่อมไม่ผิดแน่ เพื่อภาพวาดหนึ่งแล้ว พวกเขาสามารถทำเรื่องฆ่าคน บีบให้แต่งงานได้ เรื่องที่สามารถใช้เงินแก้ไขปัญหา นั่นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”

อวี้เหวินตอบรับอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง

อวี้ถังขอให้พี่น้องสกุลชวีช่วยสืบเรื่อง

เป็นดังคาด มีคนเป่าหูบ้านสายตรงสกุลหลู่ว่าของที่หลู่ซิ่นทิ้งไว้มีภาพวาดที่พอขายได้สี่ถึงห้าร้อยตำลึงอยู่

อวี้ถังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน

รอจนยามที่บ้านสายตรงสกุลหลู่พาทายาทของหลู่ซิ่นเข้ามาเยี่ยมเยียน อวี้เหวินก็ไม่ได้อ้อมค้อม เอ่ยถึงเงินสองร้อยตำลึง ทั้งยังว่าตามที่อวี้ถังบอกอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย “เดิมทีภาพวาดนี้ขายให้ข้าสองร้อยตำลึง ส่วนเรื่องค่าฝังศพเสียเท่าไรนั้น ข้าและเขาเป็นสหายกัน ถือเสียว่าข้าช่วยเขาแล้วกัน”

บ้านสายตรงสกุลหลู่ตกตะลึง “ไฉนจึงมากมายขนาดนี้?”

อวี้เหวินแสร้งดื่มด่ำไปกับชาแทน

คนบ้านสายตรงสกุลหลู่กัดฟันแน่น

หากภาพนั้นขายได้ห้าร้อยตำลึง ให้สกุลอวี้สองร้อยตำลึง สกุลพวกเขาก็ยังสามารถได้กำไรมากกว่าครึ่ง

คนผู้นั้นยังรอเอาภาพอยู่!

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวยืดเยื้อ บ้านสายตรงสกุลหลู่ตอบรับอย่างหลั่งเลือดในใจ กลับไปหาคนที่เป่าหูพวกเขาให้มาเอาของต่างหน้า ยืมเงินสองร้อยตำลึงให้สกุลอวี้ เขียนหนังสือซื้อขายเรียบร้อย ก่อนจะนำ ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่นกลับไป

อวี้เหวินมองเงินสี่ก้อนใหญ่ที่วาววับอยู่บนโต๊ะกลมห้องโถง รู้สึกราวกับตัวเองฝันไป ถามอวี้ถัง “พวกเราหาเงินสองร้อยตำลึงได้ง่ายขนาดนี้เชียว”

อวี้ถังมองเงินสี่ก้อนนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ประจวบเหมาะให้ท่านพี่ใช้แต่งงานพี่สะใภ้พอดี” ทั้งยังหยอกล้อกับบิดา “สินเดิมที่ท่านแม่เตรียมไว้ให้ข้าพวกนั้นก็คงเก็บไว้ได้แล้วกระมัง?”

—————-