คงถือได้ว่านี่เป็นค่ำคืนการแต่งงานคืนแรก และไม่ต่างจากตอนที่หลินหลันอยู่บนเรือ ตัวนางเองเข้านอนแต่หัวค่ำ ขณะที่หลี่หมิงอวินอ่านตำราอยู่ด้านนอก
หลินหลันไม่คุ้นชินกับเตียงนอนแสนนุ่ม เมื่อครั้งอยู่ในห้องเก่าแก่ผุพังที่หมู่บ้านเจี้ยนซี หลังจากได้นอนบนเตียงไม้เก่าและแข็งกระด่างเป็นระยะเวลาสี่ปี ต่อให้นางนอนบนพื้น นางก็สามารถหลับสนิทได้ไม่ต่างกัน
ทว่าวันนี้กลับมิอาจข่มตาให้หลับลงได้ การที่นางเข้ามาในบ้านหลังนี้เช่นนี้ แม้ว่าได้ตระเตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว ทว่าหลังจากได้เห็นหน้าค่าตาของคนเหล่านั้นในวันนี้ ในใจของนางก็ยิ่งหนักอึ้งไปด้วยคำว่า “สู้” เพียงคำเดียวแต่กลับแฝงเอาไว้ซึ่งนัยยะซับซ้อนมากมาย ต้องพยายามที่จะเข้าใจความคิดของฝ่ายตรงข้ามและระมัดระวังตัวอยู่เสมอ จุดอ่อนของท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเปิดเผยออกมาแล้ว และหลี่หมิงอวินก็นำมาใช้ได้อย่างดีเสียด้วย ส่วนจุดอ่อนของแม่มดชรานั้นคืออะไรกัน…หรือคงจะเป็นการเกรงกลัวที่จะสูญเสียความรุ่งโรจน์มั่งคั่งที่ได้มาครอบครองอย่างยากลำบากนี้กระมัง ความจริงแล้ว เพียงแค่ต้องเปิดโปรงภูมิหลังของหมิงจูออกมา ปัญหาทั้งหมดก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดายขึ้น ทว่าดูเหมือนหลี่หมิงอวินไม่ต้องการกระทำเยี่ยงนั้น หรือเขาอาจคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา เช่นนั้นแล้ว นางควรกำหนดเป้าหมายแรกไว้อย่างไรดี
หลินหลันพลิกไปพลิกมา นางคิดไม่ตกจริงๆ รูปลักษณ์ของแม่มดชราช่างดูธรรมด๊าธรรมดา จะคิดมาเทียบชั้นกับท่านแม่ของหมิงอวินนั้นคงเป็นไปไม่ได้ มิฉะนั้น ก็คงไม่ให้กำเนิดหลี่หมิงอวินที่เป็นเสมือนปีศาจรูปงามเกิดมาหรอก และจะว่าไปแล้วท่านแม่ของหมิงอวินเป็นบุตรสาวของตระกูลเยี่ยซึ่งร่ำรวยมั่งคั่ง จึงไม่มีเหตุผลใดที่ท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจะไม่ชอบพอท่านแม่ของหมิงอวินและกลับมาหลงใหลได้ปลื้มนังแม่มดชราผู้นี้เสียนี่… หลินหลันเด้งตัวลุกขึ้นนั่งกะทันหัน หรือว่า นังแม่มดชรากุมความลับอะไรของท่านพ่อหลี่ไร้ยางอายอยู่นะ อืม ประเด็นนี้น่าเฟ้นหาความจริงยิ่งนัก ด้วยวันนี้มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับการแสดงจึงไม่ทันได้สังเกตคู่สามีภรรยาเจ้าเล่ห์คู่นี้ว่าพวกเขามีความรักต่อกันอย่างแท้จริงหรือเป็นเพียงแค่การแสดงทีท่าสนิทสนมรักใคร่เท่านั้นกันแน่
“เป็นอะไรไป ฝันร้ายงั้นหรือ” เสียงเอ่ยขึ้นกะทันหันจากด้านนอกม่านมุ้ง แม้ว่าจะเบาและนุ่มนวลมาก ทว่าหลินหลันก็ยังคงรู้สึกถึงความตื่นตกใจ เมื่อครู่นางครุ่นคิดอย่างเป็นจริงเป็นจริงจึงไม่ทันได้สังเกตว่าหมิงอวินเดินเข้ามาใกล้
“ทำอะไรของเจ้า ตกใจแทบแย่” หลินหลันบ่นอุบอิบ
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบา “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รีบนอนเถอะ!” เขาออกไปทันทีที่พูดจบ
หลินหลันมองบน เมื่อครู่นางเคลื่อนไหวเสียงดังขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ใช่ว่าเขากำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือหรือไง ยังอุตส่าห์ได้ยินอีก? หลินหลันมองแสงเทียนที่ให้ความสว่างเพียงเล็กน้อยที่ด้านนอกของห้อง ดูเหมือนจะมืดไปกว่าตอนที่นางกำลังจะเข้านอนไปไม่น้อยเลย พอมานึกถึงช่วงเวลาที่อยู่บนเรือ เมื่อนางนอนหลับแล้ว หลี่หมิงอวินก็มักจะทำให้แสงสว่างของเทียนมืดลงเล็กน้อย นางจึงคว้าเอาชุดคลุมมาสวมใส่พลางก้าวลงจากเตียงนอนแล้วออกไปด้านนอกห้องนอน จึงเห็นว่าหลี่หมิงอวินจ่ออยู่เบื้องหน้าแสดงไปเพื่ออ่านหนังสือ
เมื่อได้ยินเสียงฝีก้าวเท้า หลี่หมิงอวินจึงหันมามองนางแล้วเอ่ยถาม “แสงไฟสว่างไปแล้วใช่หรือไม่”
หลินหลันแอบถือกรรไกรเดินเข้าไปแล้วทำให้ไส้เทียนสว่างไสวขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกไป “เพื่อจะได้ไม่เป็นการทำลายสายตา สว่างอีกหน่อยจะเป็นการดี! ถึงอย่างไรคืนพรุ่งนี้เจ้าก็ไปห้องตำราอยู่แล้วนี่”
โดยก่อนหน้านี้หลี่หมิงอวินยังคิดว่านางต้องการจะใช้กรรไกรดับไส้เทียนเสียแล้ว แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางกลับทำให้มันส่องแสงสว่างขึ้น
“ข้าไปนอนก่อนล่ะ เจ้าก็อย่าให้ดึกดื่นเกินไป” หลินหลันไม่สนใจในสีหน้าตกตะลึกของหลี่หมิงอวินแต่อย่างใด นางหันหลังให้แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไปทันที
เนิ่นนานพอตัวกว่าหลี่หมิงอวินจะดึงสายตากลับมาดั่งเดิม เรียวปากของเขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคู่สามีภรรยาในนามข้อตกลงคู่สามีภรรยาปลอมๆ เท่านั้น ทว่านาทีที่ผู้เป็นพ่อประทับตรานิ้วมือลงบนเอกสารหนังสือแต่งงานฉบับนั้น ในใจของเขาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ เพียงแค่รู้สึกว่า…หากนี่เป็นความจริงล่ะก็ คงจะดีไม่น้อยเชียว
เช้าตรู่ในวันที่สาม หลินหลันตื่นนอนเป็นที่เรียบร้อยและต้องไปฉิ่งอานที่หนิงเฮ๋อถางซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของจวนหลี่
หยินหลิ่วแต่งหน้าแต่งตัวให้นางอย่างใส่ใจเป็นพิเศษ ใจอยากจะนำเครื่องประดับมุกซึ่งอยู่เต็มกล่องขนาดเล็กปักลงไปให้นางทั้งหมด ทำไปทำมาจนเสมือนนกยูงที่กำลังแพหางก็มิปาน หลินหลันจึงรีบเอ่ยให้นางชะงักมือไว้แต่เพียงเท่านั้น
“ข้าเพียงแค่ไปเข้าทักทายยามเช้าก็เท่านั้น จะแต่งองค์ทรงเครื่องเสียเต็มที่ปานนี้เชียวหรือ”
“หากไม่แต่งองค์ให้ครบเครื่องเสียหน่อย ฮูหยินจะกล่าวว่าท่านไม่ให้ความเคารพนางเอาได้ อีกอย่าง ในตอนนี้เอ้อร์เส้าหน่ายนายยังเป็นผู้มาใหม่อยู่นะเจ้าคะ!” หยินหลิ่วกล่าว
หลินหลันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เรื่องให้ความเคารพนี้เป็นอีกเรื่องต่างหากล่ะ! เพียงแค่ปฏิบัติตนให้ถูกกาลเทศะก็เป็นพอแล้ว ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ผมเพร้ารุงรังไปพบเขาเสียหน่อย เช่นที่เจ้าเอานู่นเอานี่มาประดับบนตัวข้าจนเต็มไปหมด นี่ต่างหากที่จะทำให้เขาหัวเราะเยาะเอาน่ะ!”
อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หยินหลิ่ว เจ้าก็ทำตามที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายบอกเถิด เอ้อร์เส้าหน่ายนายเพียงแค่ไปฉิ่งอานเท่านั้น มิใช่ไปโอ้อวดเรียกความสนใจ”
ตอนนี้เองหยินหลิ่วถึงได้ยอมล้มเลิกความตั้งใจของนาง
หลินหลันมองตนเองในกระจก นางอยู่ในชุดกระโปรงยาวช่วงเอวเข้ารูปสีน้ำเงินดั่งน้ำทะเลสาบและทรงผมเรียบง่ายอย่างมวยพระจันทร์เสี้ยวซึ่งมีปิ่นปักผมดอกมู่หลานเสียบทำมุมทแยง ส่วนของไรผมด้านข้างประดับไว้ด้วยดอกไม้ลูกปัดหินขี้ผึ้งหนึ่งดอก ตบท้ายด้วยการแต่งหน้าโทนสีอ่อนดูเป็นธรรมชาติ ช่วยให้คนทั้งคนดูมีชีวิตชีวาเปล่างปลั่งขึ้นมาทันตา น่าเสียดายก็แต่ออกจะดูผอมเกินไปนิดหน่อย หลินหลันมองไปยังหน้าอกของนางที่นูนขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อเทียบกับเรือนร่างในชีวิตก่อนหน้า ร่างกายนี้ดูโทรมกว่ามากจริงๆ และนางก็ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้ายังพอจะขยายใหญ่ขึ้นมาได้หรือไม่ จะได้ไม่ถูกใครต่อใครขนาดนามได้ว่าหว้างจื่อเสี่ยวหม่ายโถว [1] เอ่อะ! ดูเหมือนว่าในยุคสมัยโบราณจะไม่มีหว้างจื่อเสี่ยวหม่ายโถวสินะ
อวี้หลงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนายพอได้แต่งหน้าเช่นนี้ ราวกลับเปลี่ยนไปคนละคนเลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ออกจะชมเกินจริงไปหน่อยกระมัง ก็แค่ทาแก้มทาปากสีแดงเข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นไหม
“เอ้อร์เส้าเหยียตื่นนอนหรือยัง” หลินหลันเลิกสนใจเกี่ยวกับประเด็นปัญหารูปลักษณ์ ถึงอย่างไรสภาพนางก็เป็นเช่นนี้ จะให้ดูดีไปกว่านี้ก็คงจะไม่ได้สวยสดงดงามไปเท่าไหร่ ให้มองดูแล้วพอไปวัดไปวาก็เป็นพอ
“น่าจะตื่นแล้วนะเจ้าคะ! เพราะพี่ป๋ายฮุ่ยกับหรูอี้ไปให้การปรนนิบัติแล้วเจ้าค่ะ” อวี้หลงตอบ
หลินหลันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเมื่อคืนวานนี้ ตอนที่นางสั่งการป๋ายฮุ่ยให้นางไปคอยปรนนิบัติหลี่หมิงอวินในเช้าวันนี้ ในนัยน์ตาของป๋ายฮุ่ยก็เปล่งประกายแสงแห่งความดีใจออกมา ช่างแตกต่างกับหรูอี้ที่ไร้สงบนิ่งกว่ามาก เฮ้อ…ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ในเมื่อป๋ายฮุ่ยก็ล่วงเลยเข้าสู่วัยสิบเก้าปีแล้ว วัยสาวสะพลั่งนี่นะ! สำหรับนางแล้ว การได้เป็นสาวใช้ห้องเชื่อมติดกันกับหมิงอวินและรอวันข้างหน้ายกระดับขึ้นเป็นนางบำเรอ นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
เวลาผ่านไปไม่นานมากนัก หลี่หมิงอวินก็เข้ามา ด้านความสดชื่นมีชีวิตชีวาเมื่อเทียบกับนางแล้ว หลี่หมิงอวินดูหม่นหมองกว่าเล็กน้อย ขอบตาของเขาเผยให้เห็นสีคล้ำจางๆ
“เมื่อคืนนี้เจ้าโต้รุ่งเลยหรือไร” หลินหลันนึกบ่นอยู่ในใจ อีกไม่กี่วันก็ต้องเข้าร่วมการสอบชิวเหวย [2] แล้ว ได้ยินมาว่าการสอบแข่งขันชิวเหวยมีความมหาโหดอย่างมาก เรียกได้ว่ามหาโหดเสียยิ่งกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดด้วยซ้ำไป ต้องใช้ระยะเวลาการสอบถึงเก้าวันเจ็ดคืน กินและนอนล้วนอยู่ภายในห้องเล็กๆ ที่มีหมายเลขประจำตัว ผู้สอบบางคนซึ่งร่างกายไม่แข็งแรงแบกรับไม่ไหว ถึงขั้นแลกชีวิตทิ้งไว้ในนั้น
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ดึกเท่าไหร่หรอก ช่วงหลังหนึ่งชั่วยามได้หลับไปสักพักแล้ว”
“นี่ยังไม่เรียกว่าดึกอีกหรือ ตอนนี้เจ้าทุ่มเทเสียขนาดนี้ หากทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมไปจะทำอย่างไร” หลินหลันตำหนิ
เมื่อได้ฟังคำบ่นและเห็นนางเผยสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย ในใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “สามีของเจ้าอย่างข้าผู้นี้ ดูเป็นผู้อ่อนแอเช่นนั้นเชียวหรือ”
หลินหลันตวัดสายตามองเขา และเอ่ยสวนกลับ “แล้วเจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนชนิดที่ว่าก่อนสอบต้องตะบี้ตะบันเพิ่มเติมความรู้ภายในระยะเวลาอันสั้น โดยตลอดที่ผ่านมาไม่เคยตระเตรียมเลยงั้นหรือ”
หลี่หมิงอวินตกตะลึงอยู่เล็กน้อย เขาลองครุ่นคิดอย่างละเอียด ตัวเขาไม่เองไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเอาเป็นเอาตายเสียขนาดนี้จริงๆ ด้วย เพียงแค่…การสอบชิวเหวยครั้งนี้มีความสำคัญกับเขามาก จึงไม่อยากชะล้าใจเลยแม้แต่น้อย
“ข้ารู้ดีว่าการสอบชิวเหวยครั้งนี้มีความหมายต่อเจ้ายิ่งนัก ทว่าเจ้าก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเองด้วย บุตรชายผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลหลี่มิใช่เพียงชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น! ข้าเอาใจช่วยเจ้า”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เข้าใจแล้ว ภรรยาของข้า”
การเรียกเช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจากปากเขา แล้วยังพูดออกมาอย่างให้อารมณ์ออดอ้อนและเป็นธรรมชาติเช่นนั้นอีกด้วย หลินหลันจึงหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวชั่วขณะ มองสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างต่างพากันเม้มริมฝีปากยิ้มเล็กยิ้มน้อย หลินหลันก็ยิ่งเขินอายหนักเข้าไปใหญ่ “ไม่กลัวคนอื่นเขาหัวเราะเยาะบ้างหรือไงกัน”
หลี่หมิงอวินซึ่งเห็นว่านางกำลังเขินอายเสียแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงเผยเด่นชัดขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นี่ก็สายมากแล้ว ไปกันเถอะ!”
หลี่หมิงอวินและหลินหลันเดินเข้ามาทางประตูทิศตะวันตก ขณะที่หลี่หมิงเจ๋อและติงหลั้วเหยียนเข้ามาทางประตูทิศตะวันออกพอดี ทั้งสี่คนจึงเผชิญหน้ากัน
หลี่หมิงอวินให้การคาราวะหลี่หมิงเจ๋อโดยยกมือซ้ายขึ้นวางไว้บนหมัดขวา “ต้าเกอ ต้าซ่าว อรุณสวัสดิ์…”
ในทางการหลี่หมิงเจ๋ออายุมากกว่าหลี่หมิงอวินสองปี ทว่าหลินหลันได้รับรู้มาก่อนแล้วว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ กำเนิดก่อนหน้าหลี่หมิงอวินเพียงแค่ชั่วยามเดียวเท่านั้น
สองวันที่ผ่านมานี้หลี่หมิงเจ๋อคิดอะไรได้มากมาย หลั้วเหยียนเองก็เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเขาได้มาเช่นกัน ความคิดในสมองจึงค่อยๆ ผ่อนปรนขึ้น มันคงไม่ดีสำหรับเขาเท่าไหร่นักที่จะทำตัวเป็นปรปักษ์ใส่น้องชายผู้นี้ เขาจึงคิดมาโดยตลอดว่าจะเชื่อมความสัมพันธ์กับหลี่หมิงอวินอย่างไรถึงจะดี ในตอนนี้หลี่หมิงอวินออกตัวให้การทักทายก่อน หลี่หมิงเจ๋อจึงรีบคาราวะกลับคืนแล้วเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “อรุณสวัสดิ์เอ้อร์ตี้ [3] อรุณสวัสดิ์เอ้อร์ตี้เหม่ย [4] …..”
หลินหลันฉีกยิ้มพลางให้การคาราวะ โดยสายตาจรดลงไปที่ติ้งหลั้วเหยียนซึ่งอยู่ด้านข้างหลี่หมิงเจ๋อ
ติงหลั้วเหยียนซึ่งกำลังอมยิ้มเล็กน้อย มองมาที่นางด้วยนัยน์ตาสงบและอ่อนโยน
หลินหลันเผยสีหน้ายิ้มแย้ม ภายใต้การแสดงออกอย่างเป็นมิตร ในระหว่างที่ยังไม่อาจแน่ชัดได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ถึงอย่างไรสุภาพเข้าไว้จักเป็นการดี ติงหลั้วเหยียนผู้นี้ถือว่าเป็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่ง ด้วยใบหน้าพิมพ์นิยม คิ้วโกงดั่งคันศร ดวงตาเฉี่ยวคมสดใสราวกับสายน้ำในในฤดูใบไม้ผลิ ผิวพรรณของนางเรียบเนียนสะอาดสะอ้าน ภายใต้ชุดกระโปรงยาวสีเขียวหม่น รูปร่างเป็นสัดเป็นส่วนเอวคอด และยิ่งอกตูมคู่นั้น…..เมื่อหลินหลันหลับมานึกถึงเรือนร่างของนางจึงนึกอิจฉายิ่งนัก
ติงหลั้วเหยียนก็กวาดสายตามองหลินหลันด้วยเช่นกัน มองดูใบหน้าที่ดูน่ารักและน่าถะนุถนอม ซึ่งมีเพียงสองคำนี้จริงๆ ที่สามารถให้คำบรรยายต่อรูปลักษณ์นางได้ การได้มองดูนางจะให้ความรู้สึกผ่อนคลายก็เท่านั้น ดวงตาคู่นั้นกลับดูมีไหวพริบและแวววาวอย่างพิเศษออกไป ซึ่งมันชดเชยกับข้อบกพร่องทั้งหมดที่มีไปจนหมดสิ้น ที่แท้แล้ว….หมิงอวินก็ชอบผู้หญิงลักษณะเช่นนี้นี่เอง ติงหลั้วเหยียนรู้สึกอิจฉา ถ้าหากหลินหลันดูโดดเด่นขึ้นมาอีกหน่อย บางทีนางอาจรู้สึกว่าคู่ควรขึ้นมาหน่อย ทว่าหลินหลันจะเทียบกับนางไปได้อย่างไรกัน
หลี่หมิงอวินและหลี่หมิงเจ๋อทักทายกันไม่กี่คำ แล้วจึงเดินเข้าไปยังหนิงเฮ๋อถางพร้อมกัน
ก่อนหน้านั้นมีข้ารับใช้รายงานนายหญิงโดยแจ้งว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองมาถึงแล้ว และกำลังพูดคุยกันอยู่ที่ด้านนอก!
ฮานชิวเยว่เอ่ยถามด้วยความกังวลใจอยู่เล็กน้อย “พวกเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรกันหรอกใช่ไหม”
สาวใช้ตอบกลับ “ต้าเส้าเหยียกับเอ้อร์เส้าเหยียมีการพูดคุยและเผยรอยยิ้มให้แก่กันเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่วางใจลง ในที่สุดหมิงเจ๋อก็รู้จักฉลาดขึ้นมากับเขาบ้างเสียที วันนี้เป็นครั้งแรกที่หมิงอวินกับหลินหลันมาฉิ่งอาน แน่นอนว่านางจะไม่ทำอันใดให้เป็นการลำบากใจต่อสองคนนั้น อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องคอยสังเกตหลินหลันด้วยความระมัดระวังอยู่ดี
แม่เจียงภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม หันไปสั่งการสาวใช้ “ไปนำชามและตะเกียบมาเพิ่มสองชุด”
สาวใช้ขานรับแล้วจึงออกไป
ขณะนี้เองแม่เจียงจึงเผยรอยยิ้มพลางเอ่ยกระซิบกระซาบ “ข้าน้อยได้ยินมาว่าต้าเส้าหน่ายนายเกลี้ยกล่อมต้าเส้าเหยียไปไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่พยักหน้าเล็กน้อย “หลั้วเหยียนนี่ใช่ได้เหมือนกัน”
ทันใดนั้นฮานชิวเยว่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยออกไป “ทางด้านหมิงจูนั่นได้กำชับนางไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
“กำชับไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ โดยบอกให้นางมาสายหน่อยเจ้าค่ะ” แม่เจียงเอ่ยตอบ
“ตอนนี้ที่ข้าเป็นกังวลที่สุดก็หนีไม่พ้นหมิงจูนี่แหละ เจ้าเด็กคนนี้ตบปากรับคำเสียดิบดี ทว่าด้วยนิสัยใจร้อนบุมบ่ามเช่นนั้น เล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่อง เฮ้อ…ช่างไม่อาจทำให้เบาใจได้เลย”
“เปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะอายุยังน้อย ฮูหยินจึงต้องค่อยๆ สั่งสอนนางไปเจ้าค่ะ” แม่เจียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“อีกประเดี๋ยวเจ้าจับตาดูคอยสังเกตเอาไว้หน่อย ข้าล่ะอยากจะดูว่านางฉลาดหลักแหลมจริงๆ หรือเป็นการแสร้งโง่เท่านั้น” ฮานชิวเยว่หรี่ดวงตาซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยแห่งความเย็นชา
——
[1] หว้างจื่อเสี่ยวหม่ายโถว (旺仔小馒头) ชื่อขนมชนิดหนึ่งของจีน ซึ่งเรียกในภาษาไทยว่า ขนมผิง และในอีกแง่หนึ่งของความหมายยังถูกนำมาใช้หมายถึงหน้าอกของผู้หญิงอีกด้วย
[2] ชิวเหวย (秋闱) คือการสอบระดับมณฑล มีจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี ณ เมืองหลวงของแต่ละมณฑล เนื่องจากการสอบมักจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จึงเรียกการสอบในระดับนี้อีกชื่อหนึ่งว่า “ชิวซื่อ” (秋试) หรือการสอบในฤดูใบไม่ร่วง
[3] เอ้อร์ตี้ (二弟) คำเรียก ผู้เป็นน้องชายลำดับที่สอง
[4] เอ้อร์ตี้เหม่ย (二弟妹) คำเรียก ภรรยาของน้องชายลำดำที่สอง