ตอนที่36 ครอบครัวรวมตัว
เช้าวันรุ่งขึ้นอันหลิงเกอถูกปี้จูปลุกให้ลุกขึ้น
“ท่านโหวให้คนมาแจ้งว่า พวกฮูหยินผู้เฒ่าได้มาถึงประตูเมืองแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูท่านรีบแต่งตัวแล้วออกไปต้อนรับเถอะเจ้าค่ะ”
จากนั้นปี้จูก็ช่วยอันหลิงเกอแต่งตัวทำผม แล้วก็นำปิ่นปักผมอันนั้นอันนี้มาเทียบดู
“ปิ่นผีเสื้อหยกอันนี้สวยดี ปิ่นระย้าพู่เงินอันนี้ก็สวย คุณหนู ท่านชอบอันไหนมากกว่ากันเจ้าคะ ? ”
ปี้จูถือเอาไว้ในมือข้างละอัน ถามอันหลิงเกอวุ่นวายไปหมด
อันหลิงเกอมองผมที่จัดเป็นทรงมวยเมฆลอยของตัวเองในกระจก จากนั้นนิ้วมืออันเรียวยาวชี้ไปทางปิ่นผีเสื้อหยก
“อันนี้ก็แล้วกัน เหมาะกับทรงผมของข้าหน่อย”
เมื่ออันหลิงเกอได้เลือกปิ่นปักผมแล้ว ในที่สุดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันของปี้จูก็คลายออก แล้วปักปิ่นให้กับอันหลิงเกอ จากนั้นจึงยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“คุณหนูช่างงดงามยิ่งนักเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอเองก็จ้องไปยังหญิงสาวที่อยู่ในกระจก ผิวพรรณขาวราวกับหิมะ คิ้วโก่งได้รูปรับกับดวงตาสีดำสนิทที่ลุ่มลึกจนยากจะหยั่งถึง จมูกที่โด่งได้รูปเข้ากันดีกับริมฝีปากสีแดงอวบอิ่ม ช่างเป็นรูปลักษณ์ที่งดงามเสียจริง
จากนั้นนางก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นลุกเดินนำปี้จูไปยังห้องโถง
“โอ้ ในที่สุดคุณหนูใหญ่ก็มาสักที”
น้ำเสียงเย้ยหยันของหลี่ซื่อดังขึ้นที่ข้างหู ในคำพูดแฝงไว้ด้วยความแค้นที่ซ่อนเอาไว้มิมิด
หลี่ซื่อที่เห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามาในห้องโถงก็อดที่จะกล่าวเสียดสีมิได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปเรื่องเมื่อวานแล้วยิ่งทำให้นางเกิดความรู้สึกโมโหขึ้นมา
นังตัวดีนั่น เดิมทีตนวางแผนจะจัดการนางในวังหลวง แต่ใครจะไปคิดว่าอันหลิงเกอกลับมิเป็นอันใดอย่างที่นางคิด
อีกทั้งนางกับน้องสาวยังกลายเป็นคนที่โดนฮองเฮากลั่นแกล้งแทนเสียได้
เมื่อคิดถึงเรื่องที่อับอายในวังหลวงพวกนั้นแล้ว หลี่ซื่อก็รู้สึกโกรธจนต้องขบกรามแน่น แทบอยากจะกินเลือดกินเนื้อของอันหลิงเกอเสียด้วยซ้ำไป
อันหลิงเกอมองตรงไปที่หลี่ซื่อแล้วกล่าวตอบออกไปอย่างมิเข้าใจคำกล่าวเสียดสีพวกนั้น
“ท่านย่าจะมาที่จวน หลิงเกอย่อมต้องออกมาต้อนรับอยู่แล้ว มิกล้าที่จะทำสิ่งที่เป็นการละเลยท่านย่าอย่างแน่นอน”
“พูดได้น่าฟัง แต่เหตุใดเจ้าถึงได้พึ่งมากันล่ะ ? ”
สายตาริษยาของอันหลิงอีกวาดมองใบหน้าของอันหลิงเกอ หลายวันมานี้คนของจวนอ๋องอี้ต่างพูดถึงเรื่องที่จะให้นางแต่งงานกับอี้หมิงทั้งต่อหน้าและลับหลัง นางพยายามคิดหาวิธีที่จะปฏิเสธจนดูซีดเซียวลงไปมิน้อย แต่อันหลิงเกอกลับยังคงมีท่าทางสบาย ๆ เช่นเดิม ใบหน้าที่งดงามนั้นทำให้อันหลิงอีอดที่จะรู้สึกริษยามิได้ นางตั้งใจจะกล่าวให้ร้ายอันหลิงเกอ เป็นเหตุให้อันอิงเฉิงมองมายังอันหลิงเกออย่างมิพอใจ ภายในใจคิดว่าการที่อันหลิงเกอมาห้องโถงช้าขนาดนี้ เป็นเพราะมิอยากมาต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่อันหลิงเกอทำราวกับว่ามิเห็นสายตาของอันอิงเฉิง นางยกริมฝีปากขึ้นแล้วตอกกลับอันหลิงอีออกไปนิ่ง ๆ
“ข้าเตรียมของขวัญให้พวกท่านย่าอยู่ ดังนั้นจึงได้มาช้า”
เตรียมของขวัญให้พวกท่านย่าเยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อได้ฟัง อันหลิงอีก็เบ้ปากออกมา มิเชื่อคำกล่าวของอันหลิงเกอแม้แต่น้อย เพราะนางคิดว่าอันหลิงเกอต้องเหมือนกับนางอย่างแน่นอน ที่เพิ่งทราบข่าวว่าพวกท่านย่ากำลังจะเข้าเมืองเมื่อวานนี้ ช่วงเวลาอันสั้นมิถึงครึ่งวันจะมีเวลาไปเตรียมของขวัญที่ไหนทันกัน ?
อีกเดี๋ยวพอพวกท่านย่ามา แต่อันหลิงเกอกลับมิมีของขวัญให้ ดูสิว่านางจะทำหน้าเยี่ยงไร ท่านพ่อจะต้องตำหนินางเป็นแน่
อันหลิงอีที่กำลังคิดอย่างชั่วร้ายอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินพ่อบ้านเข้ามารายงานอย่างรีบร้อนเสียก่อนว่า “ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้วขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินอันอิงเฉิงรีบสั่งคนในห้องโถง
“เร็ว รีบตามข้าไปต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าเร็วเข้า”
หลี่ซื่อและอันหลิงอีรีบเดินไปข้างหน้าทันที ยืนขนาบซ้ายขวาของอันอิงเฉิง ตั้งใจบังคับให้อันหลิงเกอที่เป็นถึงบุตรสาวภริยาเอกต้องไปยืนอยู่ด้านหลังแทน
อันหลิงเกอย่อมรู้ดีว่าพวกนางต้องการที่จะทำอันใด แต่ก็มิได้ร้อนรนแล้วก้าวตามออกไปเงียบ ๆ
เมื่อทั้งหมดพึ่งจะเดินถึงหน้าประตู รถม้าหลายคันก็ได้มาหยุดลงแล้ว
คนที่ลงมาจากรถม้าก่อนคือท่านอารอง อันอิงหาว ฮูหยินใหญ่ของท่านอารอง หวังซื่อ พร้อมกับบุตรชายอันหลิงห่าว ตามด้วยอนุภรรยาที่แสนยั่วยวนของท่านอารอง และบุตรสาวของนาง อันหลิงเหมิง
ส่วนครอบครัวของท่านอาสามนั้นนั่งรถม้าคันข้างหลัง เมื่อรถม้าหยุดคนด้านในก็ทยอยลงมาจากรถและฮูหยินผู้เฒ่าปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย ม่านของรถม้าปรากฏมือคู่หนึ่งที่เหี่ยวย่น จากนั้นก็มีสาวใช้รีบเข้าไปประคองฮูหยินผู้เฒ่าลงมาทันที
“ลูกคารวะท่านแม่”
“เกอเอ๋อ/อีเอ๋อคารวะท่านย่าเจ้าค่ะ”
หลายคนต่างรีบคำนับตาม ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ดี ๆ ๆ อิงเฉิง รีบนำน้องชายทั้งสองของเจ้ากลับเข้าจวนเร็ว”
ท่านอารองและท่านอาสามเดินนำไปก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ค่อยตามกลับเข้ามาในห้องโถง
“ข่าวมาอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้ ลูกจึงมิทันได้เตรียมการต้อนรับ แค่เพียงให้คนจัดเรือนที่ท่านแม่เคยอยู่เมื่อก่อนเท่านั้น หวังว่าท่านแม่คงจะมิรังเกียจ”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองไปทางอันหลิงอีและอันหลิงเกอที่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง
“พริบตาเดียว เกอเอ๋อกับอีเอ๋อโตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่ ? ”
เมื่อนึกย้อนกลับไปนางพาลูกรองและลูกสามกลับไปบ้านเก่าตั้งแต่ตอนที่ท่านโหวได้สืบทอดตำแหน่งจากท่านโหวคนก่อน ตอนนั้นอันหลิงเกอและอันหลิงอียังเป็นเพียงแค่เด็กอายุสองสามขวบเท่านั้น พริบตาเดียวโตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากวักมือเรียกอันหลิงอีแล้วกล่าวออกไปว่า “เกอเอ๋อ มาให้ย่าดูเจ้าหน่อยสิ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าท่าทางยินดีของอันหลิงอีก็แข็งค้างไปในทันที ในคราแรกนางคิดว่าที่ท่านย่ามองมาที่นางบ่อย ๆ เพราะพอใจนางอย่างมาก ใครจะไปรู้ว่าท่านย่าคิดว่านางคืออันหลิงเกอ !
อันหลิงอียืนอยู่ตรงนั้น มองสบกับดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่า มิรู้ว่าตัวเองสมควรจะเดินหน้าขึ้นไปหรือไม่
ขณะที่นางกำลังลังเลอยู่นั้น อันหลิงเกอก็เดินออกมาจากด้านหลังของนาง เดินเข้าไปหาฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสุภาพเรียบร้อย
“เกอเอ๋อมิได้พบท่านย่ามานาน ได้แต่ฟังที่ท่านแม่เคยเล่าว่าท่านย่านั้นใจดีที่สุด วันนี้ได้พบจึงได้รู้ว่าท่านแม่มิได้หลอกข้าเลยเจ้าค่ะ”
ในตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไปจากเมืองหลวง นางพึ่งจะอายุสองสามขวบ ย่อมมิมีความทรงจำอันใดอยู่เลย แต่ตอนที่ฮูหยินท่านโหวสิ้นนั้น อันหลิงเกอมีอายุได้ประมาณหกเจ็ดขวบแล้ว ย่อมจำบางคำพูดของแม่ตนเองได้
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นอันหลิงเกอออกมาจากด้านหลัง ก็พลันทำให้ใบหน้าโอบอ้อมอารีของฮูหยินผู้เฒ่าก็เคร่งขรึมขึ้น เมื่อเห็นหลี่ซื่อและอันหลิงอียืนขนาบสองข้างของอันอิงเฉิง ก็รู้สึกว่าอันหลิงเกอถูกบีบให้ไปยืนด้านหลัง จึงอดที่จะสงสารมิได้
“โธ่ หลานรักของย่า ขาดแม่ไปตั้งแต่ยังเด็กต้องเติบโตมากับอี๋เหนียงที่มิมีมารยาท มิรู้ว่าลำบากมาขนาดไหน ช่างน่าสงสารเสียจริงเลย”
เมื่อประโยคนี้กล่าวออกมา เป็นเหตุให้ใบหน้าของหลี่ซื่อดูแย่ลงไปทันที แม้แต่สีหน้าของอันหลิงอีเองก็มิได้สู้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่นัก
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ ก็เท่ากับบอกเป็นนัยว่าหลี่ซื่อละเลยอันหลิงเกอน่ะสิ พูดต่อหน้าครอบครัวท่านอารองและท่านอาสามเช่นนี้ แล้วจะให้หลี่ซื่อเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน ?
แต่ทว่าหลี่ซื่อนั้นเคยเจอคำถากถางมาก่อน นางแทบจะโต้กลับไปทันที แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่ดูมีเมตตาประดับอยู่
“นั่นน่ะสิ คุณหนูใหญ่เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ข้านั้นสงสารนางยิ่งนัก ถึงแม้บางครั้งคุณหนูใหญ่จะทำอันใดผิดพลาดไปบ้าง ข้าก็มิเคยต่อว่านางเลยสักครา”
หลี่ซื่อก็กล่าวขึ้นราวกับมิได้ตั้งใจว่า “เช้าวันนี้คุณหนูใหญ่ตื่นสายไปหน่อย เดิมข้าแค่ต้องการจะว่ากล่าวนางนิดหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวนเป็นเรื่องสำคัญ เหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ได้”
“ที่จริงคุณหนูใหญ่แค่ยอมรับผิดก็พอแล้ว แต่คุณหนูใหญ่กลับแก้ตัวว่าเพราะเตรียมของขวัญ ให้กับพวกท่านอยู่ เยี่ยงนั้นจึงได้มาช้า”
นางกล่าวจบพร้อมกับเม้มปากกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วกล่าวต่อว่า “โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้ว ต่อไปคุณหนูใหญ่ได้ฮูหยินผู้เฒ่าคอยอบรมสั่งสอนก็คงมิต้องรบกวนข้าแล้ว”
ประโยคนี้ของหลี่ซื่อเหมือนจะชี้ให้เห็นว่าอันหลิงเกอนั้นมิมีความเคารพผู้ใหญ่ มิฟังคำสั่งสอน และยังแฝงถึงความลำบากของตนเองด้วย
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟัง ท่าทางอบอุ่นใจดีที่มีให้อันหลิงเกอก็หายไปกว่าครึ่ง พร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า “เกอเอ๋อ ที่อี๋เหนียงของเจ้ากล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามพร้อมขมวดคิ้วขึ้นอย่างเคร่งขรึม
อันหลิงเกอคล้ายกับเห็นความมิพอใจแวบผ่านในดวงตาของนาง
*มวยเมฆลอย ทรงผมของสตรีสมัยโบราณ เป็นการขดผมแล้วเกล้าไว้ด้านบนของศีรษะ