บทที่ 70 คิดว่าข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงๆ หรือ

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยยังอยู่ในชุดขันที แม้เสื้อผ้าชุดนี้จะเล็กพอแล้ว ทว่าเมื่อสวมใส่อยู่บนร่างของนางแล้วยังคงหลวมโพรกอยู่นั่นเอง ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ใช่เสื้อผ้าของนาง หลินชิงเวยไม่มีสติจริงๆ ในเวลานี้ อีกทั้งถูกสายตาของเซียวเยี่ยนที่กวาดมากำราบเสียจนเหน็บหนาวไปทั้งใจ

เซียวเยี่ยนทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเซียวจิ่น เขาเดินเข้ามาหาหลินชิงเวยทีละก้าวๆ รูปร่างสูงใหญ่ของเขาแผ่ความกดดันที่ทำให้คนหยุดหายใจได้ออกมา หลินชิงเวยยิ้มขื่นในใจ ทว่าร่างของนางยังคงถอยหลังไปอย่างไม่อาจควบคุมได้

หนึ่งก้าว สองก้าว

เซียวเยี่ยนก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว นางก็ถอยหลังหนึ่งก้าว

นางไปแตะต้องขีดความอดทนของเขา ไม่มีแม้ช่องว่างสำหรับการปรึกษาหารือ

หลินชิงเวยมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูด แต่ภายใต้ความกดดันทีละก้าวๆ ของเซียวเยี่ยน นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“เสด็จอา…” เซียวจิ่นร้องเรียกเขาด้วยความกังวล

ทว่าเซียวเยี่ยนไม่ได้ยิน

สายตาของเซียวเยี่ยนเย็นเยียบ มองกราดเสียจนหลินชิงเวยตัวแข็ง “เจ้าคิดว่ามีฝ่าบาทหนุนหลังเจ้าแล้วเปิ่นหวางก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่ หลินชิงเวย เจ้าเป็นแค่เจาอี๋เล็กๆ คนหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าความสามารถอันใดที่จะไปตำหนักหน้าของฝ่ายหน้าได้! เป็นเพราะในยามปกติเปิ่นหวางตามใจเจ้ามากเกินไปใช่หรือไม่ จึงทำให้เจ้าไม่มีขื่อมีแปเช่นนี้!” หลินชิงเวยได้แต่นิ่งเงียบ ไม่คิดว่าเซียวเยี่ยนกลับตวาดใส่นาง “พูด! เป็นใบ้หรือไร!?”

“เสด็จอา ไม่ใช่ความผิดของชิงเวย” เซียวจิ่นส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง

หลินชิงเวยถูกตวาดจนตื่นตะลึง นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะของเซียวเยี่ยน เซียวเยี่ยนผลักหัวไหล่ของนาง อาจเป็นเพราะไม่ได้ควบคุมกำลังให้พอเหมาะ หลินชิงเวยมีรูปร่างเล็กแบบบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเมื่อถูกเขาผลักเช่นนี้ จึงหงายล้มไปด้านหลังทันที

เซียวเยี่ยนไม่ได้ประคองนาง ปล่อยให้นางล้มลงไปนั่งบนพื้น ก้นของนางกระแทกกับพื้นเจ็บเสียจนจะแตกสลาย

เพลิงโทสะไร้นามในใจของหลินชิงเวยเริ่มก่อตัวขึ้น นางรู้ว่าตนมีความผิด นางอดทนและหลบหลีกแล้ว แต่ชายคนนี้กลับมีพฤติกรรมหนักข้อขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร หากถูกคนจดจำได้ ใครก็ปกป้องเจ้าไม่ได้!” เซียวเยี่ยนค่อยๆ ย่อกายลงนั่งยองๆ เบื้องหน้าหลินชิงเวย ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษแม้แต่น้อยเมื่อหิ้วคอเสื้อของนางเพื่อรั้งศีรษะของนางขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งเงื้อขึ้นราวกับจะตบฉาดลงบนใบหน้าของนาง ต้องการทุบตีนาง

เซียวจิ่นเห็นเช่นนั้น จึงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความตระหนก “เสด็จอา”

หลินชิงเวยเองก็เดือดดาลแล้วเช่นกัน นางไม่รู้ว่าบุรุษคนนี้ถือดีอย่างไรจึงได้คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ นางเชิดคางขึ้น เอียงใบหน้าของตนขึ้นข้างหนึ่งแนบติดไปกับฝ่ามือของเซียวเยี่ยน รอยยิ้มงดงามบนใบหน้านั้นชัดเจนยิ่งนักว่าเย้ยหยันถากถาง นางกล่าวว่า “คิดจะตีข้าใช่หรือไม่ มาสิ ข้าเอียงหน้ามาให้ท่านตี หากท่านไม่ตี ท่านก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย!”

แววตาของเซียวเยี่ยนนิ่งลึกราวกับคลื่นลมและพายุฝนกำลังก่อตัวขึ้น เขากล่าวเสียงเบาว่า “ถึงยามนี้ เจ้าก็ยังไม่รู้ว่าความผิดของเจ้าอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?”

หลินชิงเวยมองตามสายตาของเขาอย่างไม่เกรงกลัว กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้าทำผิดอะไรกันแน่ เบื้องบนมีคำสั่ง ข้าไม่ทำตามก็คือขัดต่อราชโองการ ข้าทำตามคือกำเริบเสิบสาน ท่านว่าข้าควรจะทำตามหรือไม่ทำตามดีเล่า? ท่านว่าข้าควรจะฟังฝ่าบาทหรือฟังท่านเซ่อเจิ้งอ๋องดีเล่า! ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร ท่านคิดว่าท่านสูงส่งกว่าฝ่าบาทแล้วจริงๆ หรือ?”

เซียวเยี่ยนเดือดดาลอย่างที่สุด เขายื่นมือไปกุมลำคอหลินชิงเวย ขอเพียงเขาออกแรงย่อมต้องหักคอนางได้แน่นอน

หลินชิงเวยถูกบีบให้เงยหน้าขึ้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าไม่จางลงแม้แต่น้อย “ข้าดูแล้ว ท่านไม่เพียงแต่กำลังโมโหข้าเท่านั้น ท่านยังยังโมโหตัวท่านเองด้วยกระมัง เซ่อเจิ้งอ๋อง ชีวิตคนมากมายเพียงนั้น ท่านไม่อาจทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย น่าเสียดายที่ท่านผิดพลาดแล้ว ท่านทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง!”

เซียวเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำราวกับเขาถูกสัตว์ร้ายถูกขังอยู่ในกรง เขาคำรามเสียงต่ำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร? เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางไม่กล้าสังหารเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่?”

รอยยิ้มของหลินชิงเวยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ยั่วยวนและเจิดจ้าขึ้นอีก “เหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าเข้าไปดูสีหน้าท่าทางของกู้เทียนหลินผู้นั้นเล่า เหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าเข้าใกล้เขาเพื่อถามเขาสักประโยคสองประโยค?” ไม่รอให้เซ่อเจิ้งอ๋องตอบ นางพูดอีกว่า “ท่านกลัวว่าขันทีน้อยเช่นข้าจะถูกผู้อื่นจดจำได้ หรือกลัวว่าตัวเองจะตัดสินคดีผิดกันแน่?”

“ให้เจ้าขึ้นไป ให้เจ้าไปถามก็จะได้อะไรออกมาหรือ? คดีของสกุลกู้มีหลักฐานพร้อมมูล เปิ่นหวางไม่ได้ปรักปรำใครแม้แต่คนเดียว!”

“อย่างน้อยข้าจะเห็นสีหน้าท่าทางเขาอย่างชัดเจน ข้าสามารถแน่ใจได้ว่าเขากำลังพูดจริงหรือพูดเท็จ” หลินชิงเวยประสานสายตากับเซียวเยี่ยน “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่ามีความเป็นไปได้ว่ากู้เทียนหลินจะถูกปรักปรำ! มีความเป็นไปได้ว่าครอบครัวของเขาร้อยกว่าชีวิตนั้นตายอย่างสูญเปล่า!”

“หุบปาก”

หลินชิงเวยหายใจอย่างยากลำบาก ทว่ากลับยังคงหัวเราะ “เมื่อไปถึงลานประหารแล้วย่อมมิอาจถอยหลังได้…ความปราชญ์เปรื่องของท่าน เซ่อเจิ้งอ๋องมิอาจถูกลบหลู่ดูหมิ่นได้…ท่านไม่อาจให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงจนไร้หนทางที่จะเก็บกวาด…ท่านเสี่ยงไม่ได้ ดังนั้นท่านจึงสังหารผู้บริสุทธิ์ทั้งหมด เวลานี้ท่านต้องการสังหารข้าเช่นกัน…”

“เจ้าหุบปาก!”

หลินชิงเวยกล่าวทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ท่านดูสีหน้าท่าทางของท่านในเวลานี้สิว่าน่าเกลียดเพียงใด…แม้กระทั่งตัวท่านเองก็เริ่มแคลงใจ…”

เซียวจิ่นหวาดกลัวแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เซียวเยี่ยนจะปฏิบัติต่อหลินชิงเวยอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้เช่นนี้ เขาตะโกนเสียงดังว่า “เสด็จอา ท่านปล่อยมือ! เจิ้นสั่งเจ้า ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”

เงาร่างด้านหลังของเซียวเยี่ยนชะงักงัน ประจวบเหมาะกับเวลานี้ข้างนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น เซียวเยี่ยนคลายนิ้วมือ ปล่อยหลินชิงเวย หลินชิงเวยฟุบลงบนพื้นไอโขลกอย่างหนักพร้อมกับหอบหายใจ

เซียวเยี่ยน “หากยังมีครั้งหน้า เปิ่นหวางจะสังหารเจ้าจริงๆ”

ทันทีที่สิ้นเสียงหน้าประตูตำหนักบรรทมก็ปรากฏเงาร่างของคนๆ หนึ่ง มิใช่เซี่ยนอ๋องที่เพิ่งจะพบกันเมื่อสักครู่หรอกหรือ

เซี่ยนอ๋อง เซียวอี้

บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมพลันแปลกไปจนมิอาจบรรยายได้

ใบหน้าของเซียวจิ่นยังไม่สงบลง เซียวเยี่ยนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนข้างกายหลินชิงเวย สีหน้านั้นเย็นเยียบยิ่งยวด ส่วนหลินชิงเวยนั้นฟุบร่างอยู่บนพื้น ลำคอขาวผ่องของนางปรากฏรอยนิ้วมือชัดเจน

เซียวอี้ไม่ใช่คนเขลา เขาเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ นัยน์ตากลอกไปมาทำราวกับตนไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น ยังคงกล่าวยิ้มๆ ดังเดิม “นี่กำลังทำอะไรกัน มิใช่เวลาเสวยพระกระยาหารเที่ยงหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เขามองไปบนโต๊ะเสวย “พระกระยาหารเต็มโต๊ะตัวนี้ เหตุใดไม่มีใครแตะต้อง?”

ต่อมาเซียวอี้เดินเข้ามากล่าวกับเซียวจิ่น “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาทพะยะค่ะ”

น้ำเสียงของเซียวจิ่นแหบเล็กน้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้งระหว่างที่เซียวอี้เข้ามา ในที่สุดก็กลับมาสงบดังเดิม จึงกล่าวเรียบๆ ว่า “เสด็จอาสามไม่ต้องมาพิธี”

เซียวอี้จึงยืดกายขึ้น “เรื่องทางด้านประตูเจิ้งเสวียนเพิ่งจะเสร็จสิ้นลง กระหม่อมรู้สึกหิวจนไส้จะขาด กลับไปกินที่จวนอ๋องนั้นไกลเกินไป คิดได้ว่าที่ฝ่าบาทนี้มีของกิน กระหม่อมไม่ได้มาเยี่ยมฝ่าบาทเนิ่นนานแล้วเช่นกันจึงตัดสินใจมาที่นี่ ฝ่าบาทคงไม่ถือสาที่จะเลี้ยงข้าวกระหม่อมสักมื้อกระมัง?”

เซียวจิ่นกล่าว “เสด็จอาสามพูดอันใดกัน ที่นี่กำลังจะกินอาหาร ในเมื่อเสด็จอามาแล้วก็นั่งลงกินด้วยกันเถิด”

เซียวอี้ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ระยะนี้สุขภาพของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างพ่ะยะค่ะ? จะเป็นการดีหากไม่ได้รับความตื่นตระหนกตกใจในวันนี้ กระหม่อมเห็นสีหน้าของฝ่าบาทซีดขาวอยู่บ้าง”

“เจิ้นป่วยมานานยังไม่หายดี สีหน้าเจิ้นซีดขาวอยู่บ้างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เสด็จอาสามไม่ต้องเป็นกังวล หลายวันมานี้ดีขึ้นมาก”

เซียวอี้หันไปมองเซียวจิ่น ต่อมาสายตานั้นตกลงบนร่างของหลินชิงเวย “เซ่อเจิ้งอ๋อง นี่กำลังทำอันใด กำลังระบายโทสะกับขันทีน้อยคนนี้หรือ?”