บทที่ 60 หมู่บ้านตระกูลซ่ง (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

สามวันให้หลัง

เวลาบ่าย หมู่บ้านตระกูลหวงซุ่ง ในสถานศึกษาข้างเหมืองแร่เหล็ก

“ข้าไปแล้วนะจวนจวน!”

เด็กหญิงมัดผมแกละแบกเป้ผ้าสะพายข้าง โบกมือให้เพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ในห้องเรียน

ซ่งอวิ๋นจวนนั่งยิ้มให้นางบนที่นั่ง

“รีบกลับไปเถอะ สายแล้วเดี๋ยวบิดามารดาดุเจ้า”

“รู้แล้ว!”

เด็กหญิงนางนั้นวิ่งเหยาะๆ แผ่วเบาออกไปไกลในแสงอัสดง จนกระทั่งหายไปมองไม่เห็น

ซ่งอวิ๋นจวนพอไม่เห็นเพื่อนสนิทก็ละสายตากลับมา มองดูห้องเรียนที่ว่างเปล่า ทุกคนต่างไปกันหมดแล้ว สุดท้ายเหลือแค่นางเพียงคนเดียว

‘เราควรกลับแล้วเช่นกัน’ ซ่งอวิ๋นจวนเก็บพู่กันกับกระดาษฟางบนโต๊ะ ใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างที่ตัวเองนำมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นลุกขึ้นปัดก้น เดินออกจากห้องเรียน

หมู่บ้านตระกูลหวงในแสงอัสดงขมุกขมัวเงียบสงัดเป็นพิเศษ

สตรีหลายคนที่เดิมพูดคุยกันอยู่ใต้กำแพง พอเห็นซ่งอวิ๋นจวนมาก็รีบร้อนเดินหนี คล้ายกลับไม่ต้องการแม้แต่จะมอง

ไกลออกไปมีเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบหลายคน เดิมกำลังเช็ดน้ำมูกเล่นโคลน พอเห็นซ่งอวิ๋นจวนเดินออกมาก็ตกใจเตลิดหนี

“รีบหนี! ตัวโชคร้ายออกมาแล้ว!”

“มาทางนี้แล้ว!”

ซ่งอวิ๋นจวนเห็นดังนั้นไม่ได้สนใจ ก้มหน้าจัดกระเป๋าสะพายข้าง เดินไปบ้านของตัวเอง

หมู่บ้านตระกูลหวงอยู่ห่างจากบ้านนางไม่กี่ลี้ แต่สำหรับเด็กสาวที่เพิ่งอายุสิบขวบอย่างนาง ระยะห่างนี้กลับไกลแสนไกล

ความจริงสองสามปีก่อนครอบครัวนางสุขสบาย บิดามารดา ท่านปู่ท่านย่าทั้งหมดยังอยู่

แต่ว่าตั้งแต่สองปีก่อน พี่ชายของนางก็ลุ่มหลงการกลั่นโอสถบำเพ็ญเซียน การทดสอบประจำปีก็ไม่สอบแล้ว วันๆ เอาแต่บ่นพึมพำ ฝึกฝนวิชาเซียน วิถีโอสถอยู่ในบ้าน ทั้งผลาญสมบัติ ซื้อคัมภีร์บำเพ็ญเซียนกลั่นยาไร้สาระไปไม่น้อย

ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตก็เริ่มลำบาก

ตอนแรกเป็นท่านปู่และท่านย่า มีวันหนึ่งออกไปเดินเล่นแล้วไม่กลับมาอีก ภายหลังเป็นบิดามารดา ยังไม่ทันไว้ทุกข์เสร็จ รถม้าก็พลัดตกหน้าผาในอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง

ต่อจากนั้นในบ้านก็ไม่มีใครดูแลพี่ชายไหวอีก เขาเริ่มกลั่นโอสถบำเพ็ญเซียนอย่างบ้าคลั่ง คล้ายธาตุไฟเข้าแทรก

พี่น้องคนอื่นส่วนใหญ่จากไปอย่างผิดหวัง จนถึงตอนนี้ในหมู่บ้านมีแค่นางกับพี่ชาย พี่ชายขายสิ่งที่มีค่าทั้งหมดในบ้านเพื่อกลั่นยา ตอนนี้ทั้งหมู่บ้านว่างเปล่า แม้แต่ขโมยก็ไม่อยากมาเยือน บ่าวในบ้านต่างถูกไล่ไป เหลือแค่พวกนาง

ใบหน้าขาวสะอาดของซ่งอวิ๋นจวนหดหู่อยู่บ้าง คิดถึงท่านปู่และบิดา

‘ขนมดอกกุ้ยของท่านแม่อร่อยมาก…’ นางก้มหน้าเช็ดดวงตาที่เปียกชื้น เร่งฝีเท้าไปบ้าน

น่าเสียดายตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ดีที่ท่านเฉินในโรงเรียน สงสารที่บ้านนางเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ไล่ออกเพราะนางไม่มีเงิน ยังคงให้มาเรียน

ซ่งอวิ๋นจวนเดินโขยกเขยก ใช้เชือกฟางมัดผมที่สั้นเสมอบ่าขึ้น เร่งเดินตลอดทาง ในที่สุดเพิ่งฟ้ามืดก็มาถึงประตูบ้าน

ประตูหมู่บ้านตระกูลซ่งเหลือร่องแยกสายหนึ่ง ไม่ได้ลงดาล รอบๆ มืดมิดไม่เห็นผู้คน

ซ่งอวิ๋นจวนชินแล้ว ออกแรงผลักประตูใหญ่เดินเข้าไป แล้วพลิกมือปิดประตูลงดาลขนาดใหญ่

ตึง

ลงดาลประตูเรียบร้อย นางปัดฝุ่นบนมือ หมุนตัวไปมองลานหลักในบ้าน

กิ่งไม้ใบไม้เกลื่อนพื้น ในห้องมืดสนิท แม้แต่ไฟก็ไม่ได้จุด

นางอาศัยแสงจันทร์เดินไปยังโถงข้าง

ในลานรอบๆ ที่ว่างเปล่าสงัดเงียบ มีเพียงเสียงฝีเท้าของนางดังสะท้อน รองเท้าหนังกวางใบเก่าเหยียบบนแผ่นหินส่งเสียงดังตุบๆ ตลอดเวลา

ซ่งอวิ๋นจวนคุ้นเคยภาพเหล่านี้ดี เร่งฝีเท้าไปถึงโถงข้างแล้วมองดู ด้านในมืดมิด แสงจันทร์ส่องโต๊ะกินข้าวตรงกลางห้อง ด้านบนไม่มีอะไรเลย

“เฮ้อ…”

นางถอนใจได้แต่เดินไปยังห้องพี่ชาย

ข้ามสะพานเดินไปถึงห้องที่ใหญ่ที่สุดฝั่งซ้าย ผลักประตูเปิดเบาๆ

เอี๊ยด

เสียงไม้เสียดหูดังเป็นพิเศษในหมู่บ้าน

ห้องมืดครึ้ม ซ่งอวิ๋นจวนได้แต่ฝืนอาศัยแสงจันทร์จนมองเห็นเครื่องเรือนที่อยู่ด้านใน

ฝั่งซ้ายของห้องเป็นมุมอับ มืดสนิทไม่เห็นอะไรสักอย่าง อาศัยแสงจันทร์จึงพอมองเห็นของขนาดใหญ่วางอยู่ตรงนั้นอย่างเลือนราง

ซ่งอวิ๋นจวนทราบว่านั่นเป็นเตาโอสถของพี่ชาย

นางมองไปทางขวามือ ในแสงจันทร์ บนโต๊ะสี่เหลี่ยมวางชามไว้สองสามใบ

“ท่านพี่ ท่านยังกลั่นโอสถอยู่หรือ”

เงียบสงัดไปพักหนึ่ง

“อือ เพิ่งกลั่นไปเล็กน้อย” ในความมืดแว่วเสียงบุรุษตอบคำถาม

ซ่งอวิ๋นจวนเข้าห้อง คลำทางนั่งลงหน้าโต๊ะ ลูบตะเกียบเตรียมกินข้าว

แต่หลังคีบอาหารขึ้น นางค่อยพบว่าอาหารเย็นชืดแล้ว ไม่จุดตะเกียงกลางดึกยังพอทำเนา ตอนนี้แม้แต่อาหารก็อุ่นไม่ได้หรือ วิชากลั่นยาอันใด การกลั่นยามีที่ไหนไม่ใช้ไฟ

“ท่านพี่ ท่านไม่อุ่นอาหารอีกแล้ว”

“ใช่แล้ว ทำไว้นานแล้ว ไม่ทันอุ่น” เสียงตอบดังมาจากในความมืด

ซ่งอวิ๋นจวนถอนใจ

แต่ที่นางมองไม่เห็นคือด้านหลังเตากลั่นโอสถในความมืดไม่มีคนแม้แต่คนเดียว!

ไม่มีคน แล้วเสียงนั่นดังมาจากไหน

ไม่มีใครรู้

กินอาหารไปสองคำ นางรู้สึกฝืดคอ เนื้อเหม็นหืนบ้างแล้ว ไม่เหมือนเพิ่งทำตอนเช้า

“วันนี้ในห้องเรียน ข้านัดกับเฉินเหมยชินแล้วว่าอีกสองสามวันนางจะมาเที่ยวบ้านเรา ท่านพี่…”

“อือ ข้าฟังอยู่” เสียงนั้นตอบ

“ตอนเช้าท่านอยู่เป็นเพื่อนข้าได้ไหม” ซ่งอวิ๋นจวนพูดเสียงเบา

“ข้าต้องกลั่นโอสถ” เสียงนั่นตอบสั้นๆ

“อยู่กับข้าแค่วันเดียวไม่ได้หรือ” ใบหน้าซ่งอวิ๋นจวนมีแต่ความผิดหวัง

“ข้าต้องกลั่นโอสถ” เสียงนั้นทวนซ้ำ

ซ่งอวิ๋นจวนเงียบลง ก้มหน้ากินข้าวต่อ

นางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่า เงาคนสูงใหญ่เงาหนึ่งเดินออกมาจากมุมหนึ่งของห้องอย่างไร้เสียง ค่อยๆ ประชิดหลังนาง

เงาคนมีใบหน้าซีดขาว นั่นเป็นใบหน้าของบุรุษ ใบหน้าที่ไร้อารมณ์

เขาก้มมองซ่งอวิ๋นจวน ค่อยๆ ยื่นมืออกมา ในมือเป็นกรรไกรเล่มหนึ่งที่เปื้อนเลือด…

ตึงตึงตึง!

ทันใดนั้นประตูใหญ่ที่ลานพลันถูกทุบ

ซ่งอวิ๋นจวนลุกขึ้น

“ผู้ใดกัน” นางรีบวิ่งออกไป มาถึงหน้าประตูใหญ่

“มีคนอยู่หรือไม่”

“พวกเราผ่านทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ตอนกลางคืนถูกหินภูเขาขวางไว้กลับไม่ได้ชั่วคราว คิดขอค้างที่นี่” เสียงของบุรุษกระจ่างใสแฝงความอบอุ่นดังเข้ามา

ซ่งอวิ๋นจวนลังเล ตอนนี้ในหมู่บ้านมีแค่นางกับพี่ใหญ่ เกิดเจอคนเลวเข้า…

“แม่นางน้อย ผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้าอยู่หรือไม่ พวกเราจะจ่ายเงินก่อน เพียงพักคืนเดียวเท่านั้น” คนผู้นั้นพูดอีก “พวกเราไม่ใช่คนเลว นี่เป็นค่าขอค้างคืน”

กริ๊งๆ

เสียงใสดังขึ้นเมื่อเงินพวงหนึ่งถูกโยนข้ามกำแพงเข้ามา

ซ่งอวิ๋นจวนวิ่งไปเก็บขึ้นมาดู

เงินแปดเหรียญที่ใหญ่กว่าเงินทองแดงทั่วไปเท่าหนึ่ง เห็นเป็นสีดำในแสงจันทร์ ทั้งใช้ไหมสีดำร้อยเป็นพวง

นางนับอย่างละเอียด ถึงกับมีเงินแปดเหรียญ เงินสิบเหรียญเป็นหนึ่งตำลึง คนผู้นี้จ่ายด้วยเงินแปดเหรียญตั้งแต่เริ่ม ดูเหมือนไม่ใช่คนขาดเงิน

ซ่งอวิ๋นจวนลังเล นึกถึงว่าในบ้านยังมีบุรุษอย่างพี่ใหญ่อยู่ จึงยกดาลขึ้น ออกแรงเปิดประตูใหญ่

เอี๊ยด

ประตูอ้าออก บุรุษหนุ่มรูปร่างดีสามคนยืนอยู่ตรงประตู เพียงมองก็รู้ว่าเป็นคนฝึกวรยุทธ์

ผู้นำใส่เสื้อนักศึกษาสีขาวเทา เหมือนเป็นบัณฑิต แต่ต่อให้เสื้อคลุมบัณฑิตหลวมก็ปกปิดร่างกายและกล้ามเนื้ออันกำยำของคนผู้นี้ไม่ได้

ซ่งอวิ๋นจวนพอเห็นทั้งสามคน สายตาอยู่บนฝักดาบที่พวกเขาพกมา ใจเต้นระทึกขึ้น

“แม่นางน้อย เจ้าอยู่บ้านคนเดียวหรือ ข้าลู่เซิ่งผ่านมาที่นี่ คิดไม่ถึงเจอภูเขาถล่ม จึงกลับไม่ได้ ละแวกนี้มีแต่หมู่บ้านตรงนี้ปลอดภัยที่สุด มีกำแพงสูงกันสัตว์ป่า คิดมาขอค้างคืนสักคืนหนึ่ง” บัณฑิตผู้นี้พยายามทำท่าอ่อนโยน แต่ว่าบุคลิกเหี้ยมหาญ รวมถึงเค้าโครงกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง ยังมีดาบยาวที่แขวนขวางไว้หลังเอว ต่างแสดงออกอย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้ไม่ได้มีจิตใจดีงาม

“พี่ใหญ่ข้าอยู่บ้านด้วย แต่เขากำลังกลั่นโอสถ ถ้าไม่มีธุระ อย่าไปรบกวนเขา” ซ่งอวิ๋นจวนเตือนอย่างจริงจัง “นอกจากนี้พวกท่านอยู่ได้ แต่ขออย่าจุดตะเกียง พี่ใหญ่ข้าไม่ชอบแสง”

“ไม่จุดตะเกียงแล้วจะทำอย่างไร” ต้วนเหมิ่งอันที่อยู่ด้านหลังลู่เซิ่งอดบ่นไม่ได้

ซ่งอวิ๋นจวนกัดริมฝีปาก รู้สึกว่าทั้งสามคนตรงหน้าไม่คล้ายเป็นมิตร จึงกลัวอยู่บ้าง ร่างจึงถอยไปด้านหลัง

“ถ้า… ถ้าจะจุดไฟ พวกท่านจุดในที่ที่ตัวเองอยู่ อย่านำออกมา ไม่เช่นนั้นพี่ใหญ่ข้าจะโกรธ เขาโกรธแล้วน่ากลัวยิ่ง…”

ลู่เซิ่งหยีตามองด้านในหมู่บ้าน ทุกที่มืดสนิทเหมือนที่คิด ทั้งๆ ที่แขวนโคมไฟไม่น้อยแต่ไม่จุดสักดวง

“ก็ได้ พวกเราจะจุดตะเกียงในห้องตัวเอง แบบนี้ได้กระมัง” เขากล่าวกับซ่งอวิ๋นจวนอย่างเป็นมิตร

ซ่งอวิ๋นจวนถือเงินพวงนั้น ในบ้านความจริงไม่มีเงินเหลือแล้ว เงินนี้สำคัญกับนางมากจริงๆ ใช้อย่างประหยัด ค่าเรียนครึ่งปีต่อจากนี้มีจ่ายแล้ว

“เข้ามาเถอะ”

นางเบี่ยงตัวให้พวกลู่เซิ่งเข้าประตู

ตึง

ประตูใหญ่ปิดลงดาลอีกครั้ง

ซ่งอวิ๋นจวนนำพวกลู่เซิ่งไปยังห้องรับแขก

กิ่งไม้ใบไม้เกลื่อนกลาดทำให้ซ่งอวิ๋นจวนอายอยู่บ้าง สภาพบ้านผุพังเช่นนี้ ไม่ว่าใครเห็นต่างดูออกว่าตระกูลนี้ตกต่ำ

หลังส่งทั้งสามคนไปยังห้องรับแขกสามห้อง ซ่งอวิ๋นจวนก็คิดหมุนตัวไปพักผ่อน

ตึงตึงตึง

ทันในั้นมีเสียงเคาะประตูอีกแล้ว

“ข้าไปดูเอง” ซ่งอวิ๋นจวนรีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ ส่วนพวกลู่เซิ่งจะเป็นพวกขโมยหรือไม่ นางไม่ห่วง ของมีค่าทั้งหมดในบ้านถูกพี่ใหญ่ขายเกลี้ยงตั้งแต่แรก ที่เหลืออยู่เป็นของเก่าผุพัง แม้แต่คนรับของก็รังเกียจที่จะย้าย

มองเงาร่างเด็กสาววิ่งออกไป ลู่เซิ่งมองลานทรุดโทรมกับสภาพแวดล้อมที่มืดครึ้ม

“ลำบากเด็กน้อยผู้นี้แล้ว”

“คิดไม่ถึงว่ามีคนอยู่จริงๆ” ต้วนเหมิ่งอันตึงเครียดอยู่บ้าง

“หมู่บ้านนี้มีคนอยู่ แปลกประหลาดนักหรือ” อีกคนชื่อนิ่งซาน เป็นมือดีที่ลู่เซิ่งคัดเลือกมาในครั้งนี้โดยเฉพาะ

พวกเขาอาศัยสถานะของลู่เซิ่ง คิดมาตรวจสอบสถานการณ์เบื้องหลังของหมู่บ้านแห่งนี้อย่างละเอียด

………………………………………….