ตอนที่ 113 อุทานอย่างเสียสติ! + ตอนที่ 114 คนไม่เข้าตา! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 113 อุทานอย่างเสียสติ!
เขามองไปที่ท่านปู่ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ ถูกเก็บขึ้นมา กลิ่นอายน่าดึงดูดบนร่างที่แสนเด็ดเดี่ยวกระจายออกมาพร้อมๆ กัน น้ำเสียงหยาบกระด้างมีท่วงทำนองหนักแน่นดังลอยออกมาจากปาก
“ไม่! วันนี้ข้ากลับมาเพื่อเข้ารวมการประลอง ท่านปู่วางใจเถอะ ข้าไม่สนใจตำแหน่งนายน้อยตระกูลกวนหรอก เพียงอยากให้ท่านพี่ช่วยชี้แนะ”
สิ้นสุดคำพูด เขาก้าวยาวเดินไปด้านหน้า แทบจะไม่มีโอกาสหยุดเขาได้อีก
ส่วนผู้เฒ่ากวนก็ตกตะลึงไปเล็กน้อยในชั่วขณะนั้น มองกลิ่นอายน่าดึงดูดที่ผันเปลี่ยนทั่วร่างอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง ท่าทางที่แข็งกร้าวเฉยชาและแข็งแกร่งเช่นนั้น ราวกับเห็นเงาของพ่อเขาสะท้อนอยู่บนร่างนั้น จึงนิ่งงันเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง…
เฟิ่งจิ่วที่มองอยู่ข้างๆ มาตลอด ยกมุมปากใต้ผ้าคลุมหน้าขึ้นเล็กน้อย เธอมองผู้เฒ่ากวนที่นิ่งผงะจิตหลุดไปแวบหนึ่ง แล้วเคลื่อนฝีเท้าเดินหน้าตามไป
เหลิ่งซวงในชุดสีดำเฝ้าอยู่ด้านหลังตามปกติ คอยอารักขานางอย่างเงียบเชียบ
เมื่อกวนสีหลิ่นที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำเดินเข้ามาด้วยย่างก้าวสงบเงียบ กวนสีหร่วนที่ได้ชัยชนะบนเวทีอีกคราและกำลังผุดเผยรอยยิ้มพลันจ้องมองเขาราวกับเห็นผี ก่อนจะอุทานอย่างยั้งสติไม่อยู่ “เจ้า เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้เช่นไร?”
สีหน้าเขาแวบเปลี่ยนเป็นขาวซีด ยากจะเชื่อและตื่นตระหนกตกใจอยู่เล็กน้อย ซ้ำยังมีความรู้สึกผิดอยู่บางส่วน
นึกว่าเขาตายแล้ว! ในสถานที่เช่นป่าเก้าหมอบ เขาที่บาดเจ็บหนักไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แน่ แต่ทำไมยังไม่ตายเล่า? ทำไมไม่มีใครบอกเขาว่ากวนสีหลิ่นยังมีชีวิตอยู่?
ยังมีอีกคนหนึ่งที่เสียสติไปเช่นกัน ก็คือเคอซินหย่า
แทบจะในเวลานั้นที่เห็นกวนสีหลิ่น ทั้งตัวนางก็ลุกยืนขึ้นตามสัญชาตญาณ มีทั้งความตกใจ ความขุ่นเคือง และยังมีใจที่หยิ่งทระนง
นางนึกว่ากวนสีหลิ่นมาร่วมการประลองตระกูลกวนเพราะตัวเอง เพราะตัดใจไม่ได้ เพราะในใจยังคิดถึงกัน จึงยิ่งปรนเปรอหัวใจหยิ่งยโสนี้อย่างมากล้น
ขณะเดียวกันก็โกรธเคือง คิดว่าเขามาเพื่อทำให้นางอับอาย เดิมทีนางเป็นคู่หมั้นเขา แต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นภรรยาพี่ชายเขาเสียแล้ว
สองชายหนุ่มทั้งบนและล่างเวที นางเกรงว่าตัวเองจะไม่อาจยอมรับสายตาคนอื่นที่มองมาราวกับชมการแสดงปาหี่ได้
เพราะคำอุทานของกวนสีหร่วนบนเวที และอาการเสียสติของเคอซินหย่า ผู้คนล่างเวทีจึงแปลกใจกันเล็กน้อย ก่อนจะหันมองไปตามสายตา
พอเห็นก็ทั้งประหลาดใจและตะลึงในความงามอยู่บ้าง ความรู้สึกแรกเป็นเพราะชายหนุ่มอกสามศอกที่สูงใหญ่กำยำ ส่วนอย่างหลังเป็นเพราะสาวน้อยชุดขาวที่ผูกผ้าคลุมหน้าและเดินตามอยู่ด้านหลังชายหนุ่ม
เหล่าผู้นำตระกูลก็เงียบงันไปชั่วขนณะ มีเพียงพวกลูกชายที่นั่งอยู่แถวหลังพวกเขา หลังจากพินิจมองกวนสีหลิ่น สายตาที่ตื่นตาในความงามต่างก็จับจ้องบนร่างสาวน้อยชุดขาว ทุกคนล้วนไม่อาจปิดบังซึ่งความสงสัยและสนใจที่มีต่อนางได้เลย
อันที่จริง พวกเขาล้วนเป็นชายชาตรี ความคิดต่างก็เหมือนๆ กัน เห็นสาวน้อยเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร ท่าทีสุภาพเรียบร้อย จึงหันมองหลายคราอย่างสนอกสนใจเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะ ที่บนใบหน้าสาวน้อยมีผ้าคลุมหน้าผูกไว้ แม้จะมองรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน แต่ท่วงท่าอ่อนช้อย รวมถึงดวงตางดงามที่ปรากฎอยู่นอกผ้าคลุม ก็พอบอกชัดได้ ว่าภายใต้ผ้าคลุมต้องเป็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่งามตาจับใจอย่างแน่นอน
ชื่นชอบสิ่งสวยงามเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาจึงไม่รู้สึก ว่าการจ้องมองหญิงสาวจะมีอะไรไม่เหมาะสม
ด้วยเหตุนี้ ขณะที่เหล่าท่านผู้นำตระกูลแถวหน้ากำลังมองพิเคราะห์กวนสีหลิ่น เหล่าชายหนุ่มอ่อนวัยด้านหลังก็พินิจมองสาวน้อยชุดขาวผู้ลึกลับ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงตัวตนนาง และ… รูปโฉมใต้ผ้าคลุมนั้น
……………………………
ตอนที่ 114 คนไม่เข้าตา!
สุดท้าย ก็เป็นผู้นำตระกูลกวนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อน เขาลุกขึ้นยืนหัวเราะร่าพลางเดินไปหากวนสีหลิ่น เอ่ยอย่างประหลาดใจและตื่นเต้น “สีหลิ่น เจ้ากลับมาแล้ว! หลายวันนี้ทุกคนในบ้านล้วนเป็นห่วงเจ้านัก นี่เจ้าไปไหนมารึ? ไฉนแม้แต่ข่าวคราวก็ไม่ส่งกลับมาเล่า?”
สีหลิ่น? กวนสีหลิ่นรึ?
ฝูงชนต่างมองหน้ากันไปมา ไหนบอกว่าเขาตามคนของตระกูลไปที่ป่าเก้าหมอบ เพราะไม่ฟังคำสั่งหัวหน้ากอง กลับฟึดฟัดจากไป สุดท้ายก็ตายอยู่ใต้เงื้อมมือสัตว์ร้าย ไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกไม่ใช่หรือ? ไฉนยังมีชีวิตกลับมาได้ทั้งเป็นๆ อีกเล่า?
พวกเขาล้วนได้ยินว่า ภรรยาคนปัจจุบันของกวนสีหร่วนเดิมทีเป็นคู่หมั้นคู่หมายของกวนสีหลิ่น ครานี้เขากลับมาแล้ว คู่หมั้นกลับกลายเป็นผู้หญิงของพี่ชาย
แม้ใบหน้าจะไม่แสดงท่าทีอะไร แต่ในใจผู้คนยังคงคิดอยากชมละครปาหี่นี้อยู่ จึงไม่พูดไม่จา เพียงใช้สายตาจับจ้องไปบนร่างคนพวกนั้น
กวนสีหลิ่นมองเขาโดยไม่พูดอะไร สีหน้ามืดลงน้อยๆ พูดได้เลยว่าแม้แต่รอยยิ้มก็ยังไม่มี
เห็นใบหน้าเขาไร้อารมณ์ ท่าทีบนใบหน้าผู้นำตระกูลกวนก็ถูกเก็บไป เอ่ยถามเสียงเข้มเล็กน้อย “เป็นอะไรไป? ลุงถามเจ้าอยู่ ไฉนจึงไม่ตอบเล่า?”
สายตากวนสีหลิ่นมองตรงไปยังร่างพี่ชายบนเวทีที่พยายามเก็บกดความหวาดหวั่นและรู้สึกผิด น้ำเสียงมีความเย็นเยียบ “ข้ากลับมาเข้าร่วมการประลอง” ระหว่างที่พูด ก็สาวก้าวเดินไปด้านหน้า
ผู้นำตระกูลกวนสะดุ้งเล็กน้อย มองเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด เดิมคิดจะห้ามปราม แต่กลับพูดไม่ออก ในสายตาเขา กวนสีหลิ่นหาใช่คู่ต่อสู้ของลูกชายไม่ ขึ้นไปก็แค่หาเรื่องใส่ตัว
กวนสีหร่วนบนเวทีมองเขาเดินมาทีละก้าวๆ ความรู้สึกตื่นตกใจกลับสงบลงมาอย่างช้าๆ
ตั้งแต่กวนสีหลิ่นปรากฎตัวมาจนถึงตอนนี้ ก็ไม่พูดว่าตอนนั้นกวนสีหร่วนเป็นคนลงมือแทงเขาจากด้านหลัง คงเพราะไม่คิดจะพูดที่นี่ สุดท้ายแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องน่าอัปยศนัก ยังไงก็ต้องคำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูลกวนก่อน
นึกถึงตรงนี้ ท่าทางเขาผ่อนคลายลง ใจที่ตึงเครียดอยู่ก็หย่อนลงมา ใบหน้าผุดรอยยิ้มออก “สีหลิ่น เจ้าไม่เป็นไรกลับมาก็ดีแล้ว”
กวนสีหลิ่นเดินขึ้นเวที แล้วมองเขาด้วยสีหน้าขรึมเล็กน้อย “นึกว่าเจ้าไม่อยากให้ข้ากลับมาเสียอีก”
ฟังคำพูดนี้ รอยยิ้มที่ใบหน้ากวนสีหร่วนบนเวทีก็แข็งทื่อ กล่าวทั้งหน้าเหยเกว่า “ได้ยังไงเล่า? สีหลิ่น เจ้ากำลังตัดพ้อที่ข้าแต่งงานกับซินหย่าใช่หรือไม่? จริงๆ แล้ว ที่ข้าแต่งกับซินหย่าเป็นการตัดสินใจของผู้ใหญ่สองฝ่าย ตอนนั้นพวกเราต่างคิดว่าเจ้าตายที่ป่าเก้าหมอบ ดังนั้นถึงได้…”
ผู้คนด้านล่างฟังคำพูดนี้ ก็แอบๆ พยักหน้า อืม กวนสีหลิ่นดูสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่ คงเพราะโกรธที่คู่หมั้นกลายเป็นผู้หญิงของพี่ชายกระมัง! ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่ทำหน้าเสียอารมณ์ใส่ท่านผู้นำตระกูลหรอก
หลังจากเคอซินหย่าข้างๆ สมาชิกครอบครัวหญิงได้ยินคำพูดบนเวที ใบหน้าก็เผยท่าทีโทษตัวเอง จึงเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “สีหลิ่น ข้าถอนหมั้นเพราะผู้ใหญ่สองฝ่ายจัดการ ค่อยแต่งงานกับสีหร่วน ข้าหวังว่าเจ้าอย่าได้มีข้อกังขากับคนในครอบครัวเพราะข้าเลย จะโทษ ก็โทษได้แค่ที่เราสองคนไร้วาสนาต่อกัน”
ทว่า หลังจากได้ยินคำพูดต่อมาของกวนสีหลิ่น ทั่วใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยสีเลือดฝาด ก็ซีดเผือดและอับอาย
กวนสีหลิ่นชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง สองมือกอดอก กล่าวน้ำเสียงดูถูก “เจ้าอาจหลงตัวเองเกินไปเสียหน่อย แค่ผู้หญิงโลเลกลับกลอกและหยิ่งทระนงคนนึง ข้ากวนสีหลิ่นแสนจะรังเกียจจริงๆ”
“กวนสีหลิ่น เจ้าปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว!” นายท่านเคอตบโต๊ะลุกยืนขึ้นมา ฟังลูกสาวตัวเองถูกดูแคลนต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ ใบหน้าจึงโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุด
กวนสีหลิ่นยิ้มเยือกเย็น เหลือบมองนายท่านเคอแวบหนึ่ง “หรือท่านจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องจริง? นางหาได้โลเลกลับกลอกและหยิ่งทระนงหรอกรึ?”
……………………………