บทที่ 77 ความลับ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

สองแม่ลูกหันกลับมา มองชายหนุ่มรูปงาม สวมผ้าไหมสีม่วงอมแดงปักด้ายเงินลายดอกไม้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเริงร่า

“อาเจวี๋ย!” คนสกุลหลินร้องอย่างดีใจ อาศัยการประคองจากสาวใช้ข้างกายเตรียมจะหยัดตัวขึ้น “เจ้ามาเมื่อใดกัน? ไฉนจึงไม่บอกกล่าวก่อน ข้าจะได้ให้น้องชายเจ้าไปรับ”

ผู้ที่มาคือหลินเจวี๋ย หลานชายฝั่งมารดาของคนสกุลหลิน

เขาเป็นลูกชายคนโตของพี่ชายคนสกุลหลิน ตั้งแต่เล็กก็หน้าตาหล่อเหลาทั้งยังพูดเก่ง เป็นหลานชายที่คนสกุลหลินรักและเอ็นดูที่สุด

หลินเจวี๋ยไม่รอให้นางยืนขึ้นมาก็รีบสาวเท้าเข้าไป ฉวยโอกาสพยุงคนสกุลหลินเอาไว้ก่อนที่สาวใช้จะยื่นมือมา

“ท่านอา!” เขาเรียกคนสกุลหลินอย่างสนิทสนม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “บ้านของท่านก็ไม่ใช่ที่อื่นไกลอันใด ข้าแค่อยากสร้างความประหลาดใจให้ท่านเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าความประหลาดใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจไปเสียได้!” ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบมองหลี่ตวนอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยกับคนสกุลหลินต่อ “ข้าไม่ได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง? หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงให้บ่าวรับใช้ล่วงหน้ามารายงานก่อนแล้ว”

น้ำเสียงของเขาแฝงความรู้สึกเสียใจคณานับ ทำให้คนสกุลหลินที่ได้ฟังเอ็นดูไม่น้อย “อาของเจ้าเป็นคนขี้ตกใจขนาดนั้นเมื่อใดกัน? อีกอย่าง เรื่องอื่นข้าไม่กล้าโอ้อวด แต่ความสามารถในการดูแลบ้านของอาเจ้าไม่เป็นสองรองใคร ผู้ที่วิ่งเข้ามาในห้องของข้าโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่ใช่พวกเจ้าที่มักเข้าออกแล้วยังจะเป็นใครไปได้อีก?”

จุดนี้หลินเจวี๋ยกลับไม่ปฏิเสธ

ทักทายกับหลี่ตวนเล็กน้อย ก่อนสองพี่น้องจะพยุงคนสกุลหลินไปนั่งโต๊ะกลมด้านนอก

สาวใช้ยกของว่างและน้ำชาขึ้นโต๊ะ

คนสกุลหลินเอ่ยถามหลินเจวี๋ย “ครั้งนี้บังเอิญผ่านมาหรือวางแผนจะพักที่นี่ระยะหนึ่งล่ะ? เรื่องทางไหวอันจัดการเป็นอย่างไรบ้าง? กิจการในบ้านยังดีกระมัง? บิดาของเจ้าสุขภาพดีหรือไม่?”

หลินเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อแข็งแรงดี หลายปีมานี้กิจการในบ้านได้รับการช่วยเหลือจากท่านอาหลี่อี้ จึงราบรื่นมาโดยตลอด ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะกิจการทางไหวอันจัดการเรียบร้อยแล้ว หนึ่งคือมาบอกกล่าวกับท่านอา กลัวว่าท่านจะเป็นห่วง สองคืออยากขอบคุณท่าน หากไม่ใช่ท่านอาหลี่อี้ช่วยออกหน้า กลัวเพียงว่าครั้งนี้คงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว จะว่าไป ในบ้านก็ควรมีบัณฑิตสักคนจริงๆ!”

คนสกุลหลินผงกศีรษะไม่หยุด “ดังนั้นข้าจึงพยายามกระตุ้นให้น้องๆ ทั้งสองคนของเจ้าตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ”

ยามนี้หลี่อี้เป็นเพียงข้าหลวงขั้นสี่ก็ทำให้กิจการของสกุลหลินก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวแล้ว หากเหมือนกับสกุลเผยเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเงินทองจะไหลเข้าบ้านมาเป็นกอบเป็นกำเลยรึ?

คนสกุลหลินนึกถึงลูกชายคนโตที่เพิ่งกำเนิดของหลินเจวี๋ย “แม้ว่าทางฝั่งมารดาของภรรยาเจ้าคนนั้นจะมั่งคั่ง แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลยังด้อยไปอยู่บ้าง ภายหลังรอน้องๆ เจ้าแต่งงานแล้ว ก็ให้รับเด็กมาอบรมเลี้ยงดูที่นี่ ไม่พูดถึงขั้นเป็นจิ้นซื่อหรือจวี่เหริน แต่อย่างไรก็ควรเป็นซิ่วไฉให้ได้สักคน เจ้าดูสกุลมีหน้ามีตาในเมืองหังโจวพวกนั้น กิจการเจริญรุ่งเรือง แปดถึงเก้าในสิบล้วนมีฐานะเป็นซิ่วไฉกันทั้งนั้น ขอแค่ทำเช่นนี้ ก็สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับขุนนางพวกนั้นได้แล้ว เกิดเรื่องอะไรก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ”

หลินเจวี๋ยคิดแบบนั้นเช่นกัน พยักหน้าหงึกๆ พูดขอบคุณคนสกุลหลินและหลี่ตวนล่วงหน้า จากนั้นก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา “ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไร จึงมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่าน ทั้งพูดคุยกับน้องๆ แต่หากสามารถพบนายท่านสามสกุลเผยได้ นั่นก็ยิ่งดีไปอีก”

ประโยคสุดท้ายนี่คงเป็นประเด็นสำคัญกระมัง?

คนสกุลหลินครุ่นคิด แต่หลานชายรู้จักพูดจา ในใจของนางยังคงยินดีไม่น้อย “ได้สิ! เจ้าจะพักที่นี่กี่วัน เมืองหลินอันอย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ทิวทัศน์กลับงามยิ่ง ทุกครั้งที่เจ้ามาล้วนเอาแต่รีบร้อน ครั้งนี้อยู่ที่นี่หลายวัน ก็ให้น้องชายของเจ้าพาไปเที่ยวชมรอบๆ คลายความเบื่อหน่าย นั่งเรือเล่นเสียหน่อย ถึงคราวที่ไปหังโจวก็สามารถไปกลับได้”

หลินเจวี๋ยหยัดกายขอบคุณ พูดคุยคลายเหงากับคนสกุลหลินสักพัก เมื่อเห็นคนสกุลหลินมีสีหน้าอ่อนเพลียขึ้นมา ยามนี้จึงค่อยขอตัวออกไปพร้อมหลี่ตวน มีหลี่ตวนคอยนำทางไปห้องพักแขก

แต่ว่า พอหลินเจวี๋ยเข้าประตูก็ไล่บ่าวรับใช้ที่จัดการสัมภาระข้างกายทั้งบ่าวที่สกุลหลี่ส่งมาทำความสะอาดห้องออกไป ปิดประตู ก่อนจะควักม้วนภาพหนึ่งออกจากกระเป๋าสัมภาระส่งให้หลี่ตวนทั้งรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร? ข้าบอกแล้วว่าวิธีของพวกเจ้าไม่สำเร็จหรอก? ท้ายที่สุดยังต้องเป็นข้า นี่ ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่น เจ้าดูว่าใช่ภาพวาดนั้นที่สกุลเจ้าตามหาอยู่หรือไม่”

หลี่ตวนยิ้มทั้งหน้าม้าน “ได้มาแล้วรึ?”

นับตั้งแต่ที่ได้ยินข่าวว่าหลู่ซิ่นยังมีของต่างหน้า พวกเขาก็เริ่มวางแผนกับของพวกนี้ เพียงคาดไม่ถึงว่า ความคิดของหลินเจวี๋ยจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้

หลี่ตวนอดแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้ “ประเด็นหลักอยู่ที่อาจวิ้นชมชอบคุณหนูสกุลอวี้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ข้าจึงตอบรับ ผลักเรือตามน้ำไป”

แม้ว่าเรื่องของหลู่ซิ่นจะราบรื่น แต่หากมีคนหัวไวอยากจะสืบหาก็สามารถหาได้ง่ายๆ ว่าภาพนี้ตกไปอยู่ในมือใคร กำไรของการค้าทางทะเลนั้นมหาศาล เทียบกับฆ่าคนล้างสกุลแล้ว เดิมทีก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่อำนาจของสกุลหลี่ในตอนนี้ยังคงน้อยไปอยู่บ้าง หากมีเรื่องราวเข้ามามากมายย่อมรับไม่ไหว นับประสาอะไรกับการมีสกุลเผยคอยกดอยู่ด้านบน

หากให้สกุลเผยมาแบ่งผลประโยชน์ สกุลพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องกระทำทุกเรื่องโดยเกรงกลัวสกุลเผยอยู่ร่ำไป เช่นนั้นสกุลหลี่ยังจะมีอนาคตอะไร? เขาบากบั่นต่อสู้ทั้งชีวิตจะมีความหมายอันใด?

หลินเจวี๋ยรู้สึกลำพองอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อยากล่วงเกินหลี่ตวน ญาติผู้น้องที่อาจจะนำผลประโยชน์นับไม่ถ้วนมาให้กับสกุลหลินของพวกเขาในอนาคต เขาไม่เพียงปล่อยเรื่องถกเถียงแพ้ชนะกับหลี่ตวนไป แต่ยังคล้อยตามคำพูดของหลี่ตวน “หากเป็นข้า ข้าก็ยินยอม เพียงแค่คาดไม่ถึงว่าสกุลอวี้จะหัวแข็งขนาดนี้ แต่ว่า อย่างไรภาพนี้ก็มาอยู่ในมือแล้ว พวกเราต้องรีบหน่อย รอจนสกุลเผยค้นพบ ภาพนี้ก็คงตกไปอยู่ในมือสกุลเผิงแล้ว สกุลเผยของพวกเขาจะเก่งกาจเพียงใด ก็คงเก่งกาจเท่าสกุลเผิงไม่ได้กระมัง?”

สกุลเผิงแห่งฝูอัน สกุลอันดับหนึ่งของฝูเจี้ยน

ในบ้านไม่เพียงรับตำแหน่งเสนาบดีถึงสองคน แต่ยามนี้นายท่านเจ็ดสกุลเผิง เผิงอวี่ยังเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิ เจ้ากรมตรวจการฝ่ายขวาของสำนักตรวจการ รับหน้าที่รักษาความเรียบร้อยให้กับพวกขุนนาง แม้แต่ศิษย์พี่รองของเผยเยี่ยน เจียงฮวา เจ้ากรมโยธาธิการควบตำแหน่งมหาบัณฑิตหอตงเก๋อ ก็ไม่กล้าเหิมเกริมต่อหน้าเผิงอวี่เช่นกัน

ผู้ที่อยากได้ภาพนี้ก็คือสกุลเผิง

และหลี่อวี้ หลายปีมานี้อยากจะโยกย้ายไปเมืองหลวงมาโดยตลอด สกุลเผยยึดติดกับธรรมเนียมเกินไป เยื้องย่างไปอย่างช้าๆ กว่าเขาจะผูกสัมพันธ์กับสกุลเผิงได้ก็ลำบากไม่น้อย สกุลเผิงยินดีช่วยเหลือเขาเช่นกัน สกุลพวกเขาย่อมต้องตอบแทนน้ำใจกลับไป ช่วยนำภาพนี้ไปให้สกุลเผิงเพื่อเป็นใบผ่านทาง

เพียงแต่พื้นเพสกุลหลี่อยู่ที่หลินอัน ก่อนที่จะกระชับความสัมพันธ์เรื่องผลประโยชน์กับสกุลเผิง สกุลหลี่ก็ไม่อยากที่จะล่วงเกินสกุลเผย ทั้งไม่สามารถล่วงเกินได้เช่นกัน มิเช่นนั้นยามที่เผชิญหน้าย่อมไร้ทางต่อกร สกุลหลี่ในยามนี้สู้ไม่ไหว ไยต้องทำเรื่องมากมายขนาดนั้น?

หลี่ตวนหัวเราะอย่างไร้เสียง

สกุลเผิงต้องการภาพนี้ ไม่ใช่ว่าขาดสกุลหลี่ของพวกเขาไม่ได้ แต่สกุลหลี่พวกเขา กลับขาดสกุลเผิงไม่ได้ ยามนี้พูดอะไรล้วนไร้ประโยชน์ อย่างไรภาพวาดก็อยู่ในมือหลินเจวี๋ยแล้ว

ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถปิดบังได้ หลี่ตวนก็ไม่คิดว่าจะสามารถปิดบังสกุลเผยได้ตลอดไปเช่นกัน แต่อย่างไรก็ต้องให้สกุลหลี่ยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างๆ สกุลเผิงก่อนถึงจะให้สกุลเผยรู้ได้

เขาถามหลินเจวี๋ย “เจ้าคงไม่ออกหน้าด้วยตัวเองกระมัง?”

“ข้าจะโง่ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?” หลินเจวี๋ยคิดว่าญาติผู้น้องของตนคนนี้เรียนหนังสือเสียเปล่า เหลือบมองหลี่ตวนไปที “แน่นอนว่าให้คนอื่นลงมือแทน! คนผู้นี้ ก็เป็นผู้ดูแลคนสนิทของข้าไปเสาะหามา เพียงเอ่ยว่านี่เป็นภาพเก่าแก่ ข้ามีลู่ทางสามารถขายให้คนที่ชื่นชอบได้ นำไปขายโรงจำนำอย่างมากที่สุดก็ได้สี่ถึงห้าร้อยตำลึง แต่หากผ่านมือข้า กลับขายได้สูงถึงหนึ่งพันตำลึง คนผู้นั้นหลงกล ใช้เงินสองร้อยตำลึงซื้อภาพมา ทั้งขายให้ข้าห้าร้อยตำลึง แม้ว่าจะเยอะไปบ้าง แต่ก็คิดเสียว่าใช้เงินเพื่อจบปัญหา ข้าก็ไม่ได้กดราคาเขามากมาย”

รู้ว่าภาพนี้สามารถขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึง กลับซื้อมาสองร้อยตำลึง ขายห้าร้อยตำลึง นี่ก็นับเป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง

หลี่ตวนแสร้งทำเป็นตกใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนผู้นี้กลับไม่ละโมบโลภมาก”

“ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ทำการค้าขายต้องดูว่าเป็นคนอย่างไร” หลินเจวี๋ยลำพองใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง “เจ้าดูข้า ตามท่านพ่อขึ้นเหนือล่องใต้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีปัญหากับผู้ร่วมการค้ามาก่อน ดังนั้นข้าว่า สกุลเผิงย่อมทำการใหญ่ได้ เดินตามสกุลพวกเขาย่อมไม่ผิดแน่”

หลี่ตวนปิดปากไม่เอ่ยอันใด

ในจุดนี้ ความเห็นของเขาและหลินเจวี๋ยแตกต่างกัน

เขาคิดว่าสกุลเผิงละโมบเป็นอย่างมาก

กลุ่มเรือเก้าสาขาของฝูเจี้ยน กลุ่มเรือของสกุลเผิงนั้นใหญ่ที่สุด ทั้งยังครอบครองเรือส่วนใหญ่ในฝูเจี้ยน แต่ยามที่สกุลพวกเขาบังเอิญรู้ว่าภาพนี้ของใต้เท้าจั่วมีแผนที่เดินเรือซ่อนไว้ กลัวจะตกอยู่ในมือคนอื่น ยังคงพยายามทุกวิถีทางให้ได้มันมา?

แต่ว่า นี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์

ใครจะอยากให้เตียงนอนของตัวเองมีผู้อื่นมาครอบครองด้วยเล่า?

หลี่ตวนและหลินเจวี๋ยพูดถึงเรื่องภาพนี้ขึ้นมา “พวกเราก็ส่งไปสกุลเผิงเช่นนี้เลยรึ? หรือจะดูก่อนว่าภาพนี้ถูกต้องหรือไม่?”

เขากลับไม่คิดว่าสกุลอวี้จะสามารถพบความลับในภาพนี้ได้ แต่กลัวว่าจะเป็นเหมือนที่หลู่ซิ่นบอก กระทั่งเขาก็ไม่รู้ความลับในภาพนี้ ผลปรากฏว่าพวกเขานำของผิดไป

หลินเจวี๋ยเอ่ยอย่างหลักแหลม “ย่อมต้องหาวิธีดูแผนที่ในภาพวาดนี้ หากสกุลเผิงเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

นอกจากตรวจสอบของแล้ว ทางที่ดีพวกเขาก็ควรจับจุดอ่อนของสกุลเผิงไว้เช่นกัน ลอกแผนที่นี้ขึ้นมาอีกแผ่น ป้องกันเผื่อว่าสกุลเผิงจะแตกหักผิดสัญญา

อย่างไรพวกเขาและสกุลเผิงก็อยู่คนละระดับกัน สกุลเผิงจะจัดการพวกเขาย่อมง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ แต่หากพวกเขาคิดจะต่อต้านสกุลเผิงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะตรงกลางยังพ่วงมาด้วยสกุลเผย…หากไม่มีเรื่องนี้ พวกเขายังสามารถขอความช่วยเหลือจากสกุลเผย เมื่อการแลกเปลี่ยนของพวกเขาและสกุลเผิงถูกเปิดเผย สกุลเผยไม่จัดการกับพวกเขาก็ดีมากแล้ว อย่าได้คาดหวังว่าสกุลเผยจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาอีก

สองพี่น้องพูดมาถึงตรงนี้ ก็แลกเปลี่ยนสายตาที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน

หลี่ตวนเอ่ย “เรื่องนี้ส่งต่อให้ข้าก็เพียงพอแล้ว”

หลินเจวี๋ยวางแผนจะพักที่นี่สักระยะหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้

เขาต้องเห็นแผนที่นั่นด้วยตาตัวเองจึงจะวางใจ!

ทั้งจะเอาแผนที่นี้กลับฝูเจี้ยนด้วยตัวเอง ส่งไปให้สกุลเผิง

นี่เป็นเรื่องที่สกุลพวกเขาปรึกษากับสกุลหลี่ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว

ตีเสือต้องใช้พี่น้อง ยกทัพตีศัตรูต้องอาศัยคนในครอบครัว ไม่ว่าสกุลหลินหรือสกุลหลี่ ยามนี้ต่างก็อ่อนแอเกินไป โอบกอดกันไว้ให้แน่น จึงจะสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้

ทั้งสองคนปรึกษาหารือว่าจะหาใครมาแกะภาพนี้

อวี้ถังที่รอข่าวคราวอยู่นาน ในที่สุดก็มีการตอบกลับ

คนที่อยู่เบื้องหลังสกุลหลู่เป็นหลินเจวี๋ยดังที่คาด

นางครุ่นคิดเกี่ยวกับภาพวาดนี้ไม่น้อย คิดว่าหากสกุลหลี่ไม่มีสกุลหลินช่วยเหลือ ย่อมไม่อาจทำการค้าทางทะเลได้ เรื่องนี้สกุลหลินต้องทราบอย่างแน่นอน และชาติก่อน ผู้ที่ไปมาหาสู่สนิทชิดเชื้อสกุลหลี่มากที่สุด ก็คือหลินเจวี๋ย

เขามาบ่อยยิ่งกว่าญาติที่อยู่ห่างออกไปพันลี้เสียอีก

อวี้ถังหาวิธีวาดภาพหลินเจวี๋ยออกมา นำไปให้อาลิ่วที่ขายสาลี่ในตรอกเสี่ยวเหมยดู ให้เขาจับตาดูประตูใหญ่ของสกุลหลี่ไว้ หากคนผู้นี้มาให้รายงานกับอาเสาทันที ทั้งเอาภาพนี้ให้สองพี่น้องสกุลชวีดู ให้พวกเขาจับตาดูคนที่เจรจาซื้อขายกับสกุลหลู่ ดูว่าภาพนั้นท้ายที่สุดตกไปอยู่ในมือหลินเจวี๋ยหรือไม่

ยังดีที่มีเรื่องพวกนั้นในชาติก่อน คนที่นางจับตาดู จึงตรงกับผลลัพธ์ที่นางต้องการพอดี

—————-