บทที่ 59

ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน และพยายามเข้าไปใกล้กับหยีซีเหวินพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายว่าสหาย ถังหยินนึกเย้ยหยัน หากแต่ไม่ได้พูดออกไป จากนั้นกู่เยว่และหลีเทียนที่ร่างโชกไปด้วยเลือดก็ตามมาทัน

ได้ยินแบบนี้กู่เยว่ก็ตะโกนออกมา “เจ้าโจรทราม พวกเราเป็นทหาร ส่วนพวกเจ้าก็เป็นโจรชั่วที่ชอบปล้นชิง การกำจัดพวกเจ้า มันต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”

“ถ้างั้น เจ้าก็จะไม่ปล่อยพวกข้าไปสินะ?” ชายคนนั้นพลันหวาดกลัว สีหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวเหมือนกับผีร้าย

กู่เยว่ชักดาบปราณออกมา “เข้ามาเลย!”

ทว่าถังหยินกลับเข้ามาห้ามไว้ก่อน “พวกเจ้าไปจัดการคนอื่นเถอะ 5 คนนี้ข้าจะดูแลมันเอง”

ถังหยินให้ความสำคัญกับพวกที่มีพลังปราณมาก แล้วจะให้มันสูญเปล่าไปได้ยังไงกัน?

เมื่อรู้ว่าการ ‘กิน’ คือการเพิ่มพลังของเขา กู่เยว่และหลีเทียนก็รับคำแล้วไปที่อื่น

“เจ้าคิดจะสู้กับทั้ง 5 คนด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? อาจหาญมากเกินไปแล้ว!” ชายคนหนึ่งที่ดูท่าทางห้าวหาญจ้องมองถังหยินแล้วกัดฟันพูดออกมา

ชายหนุ่มขี้เกียจพูดกับเหยื่อแล้ว

เขาเหวี่ยงเคียวไปยังห้าคนนั้นจนเกิดเสียงลากบนพื้น ถึงมันจะยังไม่ทันถึงตัว แต่ทว่าเสียงเคียวมันก็สร้างความกดดันให้ทั้งห้าคนนี้ได้ไม่น้อย

“ฆ่า”

เมื่อทนกับแรงกดดันไม่ได้ พวกโจรก็พากันเข้าโจมตีใส่ถังหยินในทันที หนึ่งในนั้นใช้ความรวดเร็วของตัวเองให้เป็นประโยชน์ คนผู้นั้นชักดาบปราณออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ถังหยิน

ชายหนุ่มเอียงร่างหลบการโจมตี และใช้เคียวตัดช่วงท้องของอีกฝ่าย ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี เขาพยายามถอยเพื่อตั้งรับแทน

เคร้ง!

อาวุธทั้งสองปะทะกันจนทำให้ทั่วร่างสั่นสะเทือน

ชายร่างใหญ่ไม่อาจทนแรงกระแทกจากเคียวได้ เขากระเด็นลอยออกไป แต่ยังไม่ทันจะถึงพื้น ถังหยินก็เข้ามาหาเขาแล้วจับใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้

เมื่อไม่มีเกราะปราณ ก็ไม่มีใครทนต่ออำนาจของเพลิงแห่งความมืดได้ ชายคนนั้นถูกไฟเผาจนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“เหวอ!” อีก 4 คนที่เหลือพากันกลัวจนตัวสั่น พวกเขาพากันส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อได้เห็นไฟของถังหยิน สายตาที่พวกโจรมองไปยังชายหนุ่มนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ถังหยินเป็นดั่งปีศาจร้ายจากนรกที่กำลังตามหลอกหลอนพวกเขา

พวกโจรตกอยู่ในความหวาดกลัวจนทำตัวไม่ถูก ซึ่ง ถังหยินก็ไม่รอช้า เขาพลันพุ่งเข้าใส่พวกโจรที่เหลือรอดอยู่ราวกับสัตว์ร้าย

ถังหยินเหวี่ยงเคียวลงมา พวกโจรสองคนพยายามใช้ดาบป้องกันเอาไว้ ทว่าอาวุธทั่วไปจะต้านทานได้หรือ? เมื่อมีเสียงปะทะกัน ดาบทั้งสองก็แตกสลายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นเคียวก็ผ่าเข้าใส่ร่างของทั้งสองเข้าอย่างจัง

ทั้งสองกระเด็นออกไปด้วยแรงกระแทกจากของคมเคียว ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะหายไป เหลือแค่เพียงเศษเสื้อผ้าที่แสดงถึงการมีตัวตน เพียงชั่วพริบตาทั้งสามก็กลายเป็นฝุ่นผงจากไฟสีดำ ชาย 2 คนที่เหลืออยู่ได้แต่ยืนตะลึง

ถังหยินเย้ยหยัน เขาโบกมือเหวี่ยงเคียวไปปักเข้ากลางหลังของชายคนหนึ่ง คนผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความกลัว แล้วเขาจะหลบได้อย่างงั้นหรือ? เคียวปักเข้าเกราะของเขาจนทะลุออกมาด้านหน้า ร่างของคนผู้นั้นพยายามก้าวไปข้างหน้า หากแต่ก็ล้มลงเสียก่อน

เมื่อร่างของอีกฝ่ายแตะลงกับพื้น ถังหยินก็เข้าไปข้างหลัง ก่อนใช้พลังไฟสีดำเพื่อดูดกลืนทุกอย่างไปพร้อมกับดึงเคียวออกมา

ถังหยินหันกลับไปก็เห็นชายร่างใหญ่หนีออกไปไกลแล้ว มุมปากของเขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มเย็น ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเพื่อคงสภาพเกราะปราณเอาไว้ เพียงชั่วพริบตาร่างนั้นก็หายไป ก่อนที่จะปรากฏตัวใหม่ด้านหน้าชายคนนั้น

ตู้ม!!!

ชายร่างใหญ่หยุดไม่ทัน เขาชนเข้ากับถังหยินอย่างจังจนกระเด็นกลับหลังไปนั่งลงกับพื้น ถังหยินใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตามาอยู่ข้างหน้าอีกฝ่าย มันคือวิชาที่รู้จักกันในชื่อ ‘เงามืดสังหาร’

ชายร่างใหญ่ไม่เคยเห็นวิชานี้มาก่อน เมื่อเห็นถังหยินปรากฏตรงหน้าแบบนี้ มันก็ทำเอาเขานั้นแทบจะบ้าไปเลยทีเดียว

เขานั่งอยู่บนพื้นและกรีดร้องออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”

ถังหยินเดินเข้ามาตรงหน้าชายผู้นั้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือที่เรียกไฟสีดำออกมาไว้ก่อนแล้วสัมผัสเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่าย “ข้าคือถังหยิน!”

ฟุ่บบ!

ชายคนนั้นถูกเผาสลายไปทันที

ชายหนุ่มถอนหายใจ แม้ว่าพลังของคนพวกนี้จะไม่สูงมาก แต่พวกเขาก็ยังมีกันมากถึง 5 คน เมื่อบวกกับครั้งที่แล้ว จึงทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

มันเป็นการยากมากที่จะพัฒนาจากระดับปราณสู่พิสดารไปสู่ระดับปราณดั้งเดิม ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่อาจทะลุขั้นตอนนี้ไปได้ ทำให้มันกลายเป็นช่องว่างเว้นระยะห่างกันของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปและผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง

ตอนนี้ถังหยินได้ก้าวเข้าสู่ในระดับที่ยากที่สุดสำหรับการพัฒนาตัวเองแล้ว เขาต้องกินให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้ก้าวข้ามตัวเองไปอีกขั้น แค่ 6 คนมันไม่พอหรอก

“สหายถัง!” ชิวเจิ้นวิ่งเข้ามาหาเขา “พวกเรารวยแน่ พวกเราปราบโจรนับพันคนได้!”

ชายหนุ่มหันมาถาม “พวกมันตายหมดแล้วงั้นหรือ?”

“ส่วนมากตายหมดแล้ว ทว่ายังมีส่วนน้อยที่หลบซ่อนตัวอยู่ และตอนนี้พวกเราเองก็กำลังออกตามล่าโจรพวกนั้นกันอยู่!” ชิวเจิ้นเดินเข้ามาแล้วเช็ดเหงื่อ

ชายหนุ่มมองออกไปไกล ก่อนจะเห็นว่าการต่อสู้หยุดลงแล้ว พวกทหารกำลังเก็บกวาดสถานที่กันอยู่ พร้อมกันกับที่การค้นหาซึ่งกระจายตัวออกไปทั่วทุกทิศทาง

นอกจากนี้ยังมีพวกโจร 200-300 คนที่ถูกจับตัวเอาไว้ โจรพวกนี้โดยมัดมือมัดเท้าไว้บนหัว และถูกบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น

หลังจากมองดูพวกนั้น ถังหยินก็ถอดเกราะปราณออกแล้วเก็บดาบ เขาเงยหน้าขึ้นมองพวกที่ถูกจับมา “เราพาพวกมันไปด้วยไม่ได้หรอก”

“ใช่แล้ว เราคงต้องฆ่ามันให้หมด” ชิวเจิ้นพยักหน้าให้

“ถูกต้อง ถ้าปล่อยไปก็คงไม่เป็นการดี พวกเราต้องจัดการพวกมันให้สิ้นซากเสียที่นี่”

“รับทราบ สหายถัง ข้าได้ออกคำสั่งไปเรียบร้อยแล้ว!”

“เยี่ยมมาก” ด้วยการช่วยเหลือของชิวเจิ้น มันทำให้เขาประหยัดเวลาไปมากโขทีเดียว

ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ กู่เยว่ก็ได้วิ่งเข้ามาหาพวกเขา พร้อมกับตะโกนออกมาว่า “สหายถัง มาดูนี่เร็วเข้า!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ทั้งสองจึงรีบเดินตามไปทันที

หลังจากเดินไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ได้พบเข้ากับกระท่อมหลังหนึ่งที่ถูกทำขึ้นอย่างง่าย ๆ ภายในกระท่อมแห่งนั้น เสื่อที่พื้นถูกเปิดออก ข้างใต้นั้นมีหลุมลึก ซึ่งมีหลีเทียนที่กำลังมองมันด้วยความสนใจ

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาตรวจสอบ พวกเขาก็พบว่าภายในรูนั้นมีหีบสมบัติอยู่ 2 กล่องใหญ่ เมื่อเปิดมันออก ข้างในนั้นก็ได้เผยให้เห็นถึงสมบัติมีค่ามากมาย มีทั้งแก้วแหวนและเงินทองมากมาย

“หา?” ชิวเจิ้นไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน เขามองของมีค่าพวกนั้นด้วยสายตาเบิกกว้าง

แม้ว่าถังหยินจะไม่เคยเห็นมันมาก่อนเช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกล่าวเย้ยหยันออกมา “โจรพวกนี้มันรวยชะมัด! เงินมากขนาดนี้ ปล้นกันไปกี่รอบ ? ฆ่าคนไปมากแค่ไหน?” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนจะมองไปยังกู่เยว่ “เรียกทหารมายกมันออกไป!”

“นี่มัน…” กู่เยว่ไม่ได้ทำตามทันที เขามองชิวเจิ้นด้วยสีหน้าประหลาด

เด็กหนุ่มเข้าใจที่ถังหยินต้องการจะสื่อ เขาพูดออกมาว่า “สหายถัง พวกเราจะทำยังไงกับมันดี?”

“ก็เอามันกลับไปที่เมืองหยานไง”

“แล้วมอบให้คนอื่นหรือ?”

ถังหยินประหลาดใจและถามขึ้น “เจ้าหมายถึง…”

“ในเมื่อมันเป็นของที่พวกเราได้มาเป็นสินสงคราม มันก็ควรจะเป็นของเราสิ จะให้เรามอบให้ทางการได้ยังไง?” ชิวเจิ้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สหายถัง คิดดูสิ ว่าพวกเราเข้ามาร่วมกองทัพเพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะเงินหรือ? ยังไงเสียพวกเราก็ยังมีคนข้างหลังให้ต้องดูแลอีกมาก”

โดยไม่ทันให้พูดจบ ถังหยินก็ตัดบท “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจ”

เขามองชิวเจิ้น ก่อนที่หลีเทียนจะหัวเราะออกมา เขาไม่ใช่คนโง่ ทั้งยังไม่ใช่คนดื้อด้านหรือซื่อตรงต่อราชสำนักมากเท่าไหร่ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ!

หลีเทียนมองไปรอบ ๆ โบกมือ ก่อนจะเดินจากไป “ข้าจะมอบส่วนแบ่งให้เอง”

ทว่าก่อนที่จะเดินออกไปไกล ชิวเจิ้นก็ได้ดึงเขากลับมา “สหายถัง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

ถ้าไม่ให้ทางการ ก็ต้องแบ่งให้กันสิ ถังหยินเริ่มจะไม่เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“สหายถัง เจ้าต้องเก็บมันไว้”

“หา? ทำไมต้องข้าล่ะ?” ถังหยินถามเพราะเขาไม่ใช่คนที่ต้องใช้เงินอะไรมากอยู่แล้วในแต่ละวัน

ชิวเจิ้นส่ายหัว “ถึงสหายถังจะไม่สนใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แต่ก็ควรจะมีติดตัวไว้บ้าง”

เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะถามเพิ่ม เขาก็รีบพูดต่อ “ตอนนี้ราชสำนักกำลังถังแตก สหายถังอาจจะพึงพอใจกับเงินและลาภยศที่พวกเขามอบให้ แต่ทว่าเงินพวกนั้นมันไม่พอ! ดังนั้นเราจึงต้องเอาเงินเหล่านี้เก็บไว้ อย่างน้อยก็เก็บเอาไว้เป็นรางวัลสำหรับทุกคนในกองพันของเรา ทั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเขามีความภักดีมากขึ้น!”