EP.63 โลกนี้เต็มไปด้วยการลอบกัด

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.63****โลกนี้เต็มไปด้วยการลอบกัด

       เสียงร้องของเหยี่ยวดังขึ้น เหยี่ยวสีดำบินร่อนลงมาจากท้องฟ้า ลงมายังใต้ต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งในป่าสัตตะดารา ใต้ต้นไม้มีคนผู้หนึ่งขี่ม้าสีแดงเพลิง บนหลังม้าด้านหนึ่งแขวนธนูที่มีลวดลายสลักสีทอง บนคันธนูฝังเพชรเป็นประกายแวววับ เขายกแขนขึ้นให้เหยี่ยวลงมาเกาะ ฟังเจ้าเหยี่ยวตัวนี้ส่งเสียงร้อง จากนั้นจึงยิ้มเรียบๆ แล้วพูดว่า “ดูท่าคงจะไม่ไกลแล้วสินะ หลินมู่อวี่ผู้นี้แข็งแกร่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสังหารกวานหยางได้ ดูท่าการเดินทางคราวนี้ของข้าเย่เหลียงคงจะไม่เสียเปล่าแล้ว!”

       พูดจบ เขาก็ออกแรงสะบัดแส้ ม้าร้องฮี่แล้ววิ่งพุ่งตรงไปข้างหน้าทันที

        หินภูเขาสูงต่ำ แต่ม้างามตัวนี้สามารถวิ่งผ่านพุ่มไม้และหินยักษ์ได้ ราวกับเป็นพื้นราบ ช่างทรงพลังจริงๆ

       พริบตาเดียวราตรีก็มาเยือน นี่เป็นช่วงเวลาที่หลินมู่อวี่กังวลมากที่สุดในทุกวัน ต้องหาสถานที่พักแรมที่เหมาะสม แสงไฟก็ห้ามสว่างออกไปไกล มิเช่นนั้นแล้วจะถูกเจอได้ง่าย พอเป็นแบบนี้จึงจำเป็นต้องหาสถานที่อย่างหนองน้ำหรือถ้ำ โดยปกติในถ้ำมักจะมี “เจ้าของ” แล้ว ความสามารถในการมองเห็นของสัตว์ป่าตอนกลางคืนนั้นดีกว่ามนุษย์มาก หลินมู่อวี่รู้ตัวเองดี หากไม่ใช่สถานการณ์บีบบังคับ เขาจะไม่ต่อสู้กับสัตว์ร้ายเหล่านี้ตอนกลางคืนเลย

       “ตรงนี้แหละ เดินไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

       เขาเงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ตรงนั้นมีเสียงหอนของหมาป่าดังลอยมาเป็นระลอก เกิดไปดึงดูดหมาป่ามาทั้งฝูงคงจะไม่ค่อยดีเท่าไร หมาป่าวายุในป่าสัตตะดาราส่วนใหญ่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งพันปี หากสู้ตัวต่อตัว หลินมู่อวี่ฆ่ามันได้สบาย แต่ถ้าพวกมันมาทั้งฝูงละก็ เกรงว่าตนกับฉู่เหยาจะต้องกลายเป็นอาหารรสเลิศของพวกมันอย่างแน่นอน

       คืนนี้เลือกที่พักเป็นถ้ำขนาดเล็กลึกประมาณสามเมตร ความจริงควรเรียกว่าที่ซ่อนตัวในกำแพงหินที่มีช่องเว้าเข้าไป เรียกว่าถ้ำยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

       ฉู่เหยาหากิ่งไม้แห้งรอบๆ มาทำฟืน ส่วนหลินมู่อวี่ก็ใช้น้ำสะอาดจากถุงใส่น้ำมาล้างเนื้อกวางที่ล่ามาได้เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน นั่นคือสัตว์วิญญาณกวางตัวผู้ที่มีอายุเพียงห้าปี ยังไม่มีแม้แต่วิญญาณสัตว์เลยด้วยซ้ำ จึงได้แต่นำเนื้อของมันมาใช้ โชคดีที่เนื้อกวางสดนุ่ม อย่างน้อยมื้อนี้ก็ไม่ต้องอดอยากแล้ว

       ทุกครั้งที่สังหารสัตว์วิญญาณ หลินมู่อวี่ไม่กล้าแล่เนื้อมันออกมามากนัก เพราะถ้าแบกน้ำหนักมากเกินไปเวลาเดินทางจะเปลืองแรงได้ง่าย และตนกับฉู่เหยาถูกตามล่าอยู่ ต้องสะสมพละกำลังให้พร้อมเพื่อรับมือกับการตามล่าที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

       จากนั้นไม่นาน น้ำแกงเนื้อกวางหอมกรุ่นก็เดือดได้ที่ ฉู่เหยาใช้มีดสั้นที่ล้างสะอาดคนเนื้อกวางในหม้อ ใบหน้าอันงดงามปรากฏประกายแห่งความหวัง หาได้ยากที่นางจะยังคงรักษาหัวใจที่บริสุทธิ์ในที่แบบนี้ได้

       “รีบมากินเถอะ อาอวี่!”

       “อืม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

       หลินมู่อวี่หอบฟืนเดินกลับมา ต้องเตรียมฝืนไว้สำหรับคืนนี้ ไม่เช่นนั้นสัตว์ป่าจะเข้ามาใกล้ได้ง่าย 

       และในตอนนี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงดัง “วี้ด วี้ด” ขึ้นมา หลินมู่อวี่อดขมวดคิ้วมองไม่ได้ เสียงคุ้นหูชะมัด ใช่แล้ว เป็นเสียงของเหยี่ยวตัวนั้นกำลังร้องเสียงแหลมออกมา

       “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ฉู่เหยาเดินออกมาดู

       “เหยี่ยวตัวนั้นอีกแล้ว มันตามพวกเราอยู่” หลินมู่อวี่ตอบ

       ฉู่เหยาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาว เม้มปากพูด “ไม่หรอกมั้ง…หรือว่าจะมีคนใช้เหยี่ยวสะกดรอยคอยไล่ตามพวกเรามาอย่างนั้นหรือ”

       “อาจจะเป็นไปได้”

       หลินมู่อวี่วางฟืนลง “พี่ฉู่เหยา ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับทหารเร่ร่อนบ้าง เจ็ดเทพยุทธ์มีคนที่ชำนาญในการเลี้ยงเหยี่ยวเพื่อสะกดรอยบ้างไหม”

       “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของเจ็ดเทพยุทธ์เท่าไหร่ แต่…” ฉู่เหยาพยักหน้าครุ่นคิด พลันพูดขึ้น “ข้ารู้ว่ามีอยู่คนหนึ่ง หนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์ที่ชื่อเย่เหลียง ถูกขนานนามว่าผู้ฝึกเหยี่ยว เขามีเหยี่ยวที่ชำนาญการสะกดรอยอยู่ตัวหนึ่ง แต่…คงไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ข้าได้ยินมาว่าตระกูลของเย่เหลียงเป็นตระกูลที่ดี พ่อของเขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไม่น่าจะเป็นคนที่จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินแสนเหรียญทองหรอก”

        “เรื่องนี้ก็พูดยาก ความปรารถนาแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน”

       หลังจากนั่งลงกันแล้ว หลินมู่อวี่ก็ขมวดคิ้วพูดขึ้น “พี่ฉู่เหยา รีบกินเถอะ กินเสร็จพวกเราเดินทางกันต่อ ต้องรีบออกจากที่นี่”

        “เอ๋?”

       ฉู่เหยาชะงัก “พวกเราจะเดินทางตอนกลางคืนงั้นหรือ”

       “อืม ต้องสลัดเจ้าเหยี่ยวตัวนี้ทิ้ง ไม่เช่นนั้นข้ารู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ตลอด”

        “งั้นก็ได้…”

       ฉู่เหยาตักน้ำแกงใส่เนื้อเยอะๆ ให้เขา หลินมู่อวี่ก็ไม่ได้สนใจว่ามันจะร้อนเกินไป เขารีบยัดเข้าปาก จากนั้นก็เก็บข้าวของลงย่าม มองฉู่เหยาซดน้ำแกงจนเสร็จ ก็ดับไฟแล้วออกเดินทาง

       แต่ว่าเดินทางออกไปได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังมากจากด้านหลัง

       “ท่าจะไม่ดี มันมาแล้ว!”

       เขารีบทิ้งย่าม ชักกระบี่ออกมา และในตอนนี้เองก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา ตอนที่หลินมู่อวี่รีบพลิกตัวหลบนั้น ก็สายไปเสียแล้ว “ฉึก” ลูกธนูเหล็กดอกหนึ่งทะลุหน้าอกเขาไปถึงด้านหลัง

       “อาอวี่!”

       ฉู่เหยาเสียงสูงเป็นพิเศษ นางเห็นหลินมู่อวี่ถูกลูกธนูยิงทะลุอก เลือดไหลทะลักออกมาตามหัวลูกศร

       “อย่าขยับ หมอบลง”

       หลินมู่อวี่กลั้นความเจ็บปวด แต่กลับสงบเยือกเย็น มือกดไหล่ของฉู่เหยาไว้ ให้นางอยู่ในพุ่มไม้

       เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตามด้วยลูกธนูอีกสองดอก แต่กลับพุ่งเข้าไปในป่าทั้งหมด

       เขาคาดการณ์ได้ถูกต้อง ผู้มาเยือนนั้นใช้การเคลื่อนที่ของเป้าหมายในการระบุตำแหน่งที่แน่นอน หากตนเองไม่เคลื่อนไหว คนผู้นั้นก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าตนอยู่ตรงไหน

       “ตุบ!”

       ผู้ที่มาโจมตีลงจากหลังม้า ชักกระบี่ออกมา บนกระบี่มีประกายไฟอยู่รอบๆ สะท้อนใบหน้าของเขา เป็นเย่เหลียงหนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์จริงๆ ด้วย

       “ออกมาเถอะ หลินมู่อวี่!” เย่เหลียงหัวเราะฮ่าๆ แล้วฟันกระบี่ออกไปรุนแรง ระเบิดเปลวเพลิงเผาพุ่มไม้ ทำให้สว่างไสวไปทั่ว เวลานี้ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวได้แล้ว

       หลินมู่อวี่จับลูกธนู ค่อยๆ ดึงมันออกมา เจ็บจนแทบจะหมดสติ ฉู่เหยามองเขาน้ำตาคลอเบ้า รีบใช้โอสถสมานแผลเกรดหนึ่งเทใส่บาดแผลตรงหน้าอกและที่หลัง แต่หลินมู่อวี่มองดูข้างในร่างตัวเอง พบว่าปอดของตัวเองถูกยิงทะลุ ทำให้หายใจลำบากขึ้นมา ต้องรีบจัดการคู่ต่อสู้โดยเร็ว 

       เขากุมมือฉู่เหยาไว้ พูดด้วยเสียงเบา “ใช้สายลมเมามาย ข้าจะออกไปดึงความสนใจมัน”

       “ไม่ได้นะ!”

       ฉู่เหยายังอยากจะพูดต่อ แต่เห็นหลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนแล้ว

       มองออกไปไกลๆ เย่เหลียงยังดูเป็นชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปี ธนูแกะสลักแขวนอยู่ที่หลังของเขา ลูกธนูไม่อยู่ หลินมู่อวี่จึงวางใจได้เยอะ ที่ด้านหลังของเขา ฉู่เหยาเปิดจุกขวดโอสถสายลมเมามายออก ยาพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นก็ตลบอบอวลออกมาอย่างเงียบๆ ทันที

       “เจ้าก็คือหลินมู่อวี่?”

       ภายใต้แสงจากเปลวเพลิง ใบหน้าของเย่เหลียงมีความดื้อรั้นและยิ่งสโย เขายิ้ม “ดูแล้วก็แค่เด็กอ่อนแอคนหนึ่ง แค่เด็กอย่างเจ้า จะสังหารเจ้าดาบใหญ่กวานหยางได้อย่างไร”

       หลินมู่อวี่คับแค้นอยู่ในใจ หากไม่ใช่เพราะธนูลอบกัดของเจ้ายิงข้าบาดเจ็บ ข้าก็จะฆ่าเจ้าด้วยเหมือนกัน

       แต่ตอนนี้เขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด อีกฝ่ายเป็นถึงปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเอ็ด แต่เดิมพลังก็เหนือกว่าอยู่แล้ว อีกอย่างตนเองก็ได้รับบาดเจ็บหนัก แผนเดียวที่จะเอาชนะได้ก็คือพิษของสายลมเมามายแล้วล่ะ!

       “แกเป็นใคร ถึงกล้าลอบกัดผู้อื่น ไร้ยางอายเสียจริง” เขาพยายามถ่วงเวลา 

        เย่เหลียงยิ้มเยาะ “ข้าคือหนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์อันดับสาม เย่เหลียง จะบอกให้นะว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจยิงก็ยิงโดนเจ้า เป็นเจ้าที่โชคไม่ดีเอง จะว่าไป ถึงข้าไม่ยิงเจ้า ก็สังหารเจ้าได้เหมือนกัน คนอย่างเจ้าฆ่าได้แค่สวะอย่างกวานหยางที่ฝีมือไม่ถึงขอบเขตปฐพีชั้นที่สามเท่านั้นแหละ”

       พูดจบ กระบี่ยาวในมือของเย่เหลียงก็เริ่มสั่น จากนั้นงูอัคคีตัวหนึ่งก็เลื้อยขึ้นไปบนคมกระบี่ นี่คืองูอัคคี วิญญาณยุทธ์อันดับหกของเขา สามารถเพิ่มพลังการใช้เปลวเพลิงให้เจ้าของได้ และเพราะอานุภาพของงูอัคคีตัวนี้ เย่เหลียงถึงได้เป็นหนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์ทั้งที่อายุยังน้อย

      หลินมู่อวี่รู้สึกแค่หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจหนักอึ้ง มือชวายกกระบี่ขึ้นแล้วเงยหน้ามองเย่เหลียง “ถึงแม้ว่าวันนี้เจ้าจะสังหารข้าได้ แต่ก็ไม่ได้ชนะด้วยฝีมือ เจ้าก็เป็นแค่ตัวตลกท่ามกลางเหล่าวีรบุรุษใต้หล้าเท่านั้น”

       “ตลกสิ้นดี!”

       เย่เหลียงยิ้มเยาะ “ถ้าตอนนี้ข้าฆ่าเจ้าซะ แล้วใครจะรู้ล่ะว่าข้าลอบยิงเจ้า”

       พูดจบ เขาก็ลงมือโดยไม่รีรอทันที พุ่งกระโจนเข้ามา หลินมู่อวี่มองไม่เห็นร่างเย่เหลียง เห็นแต่เปลวเพลิงที่มีปราณกระบี่พุ่งเข้ามา

       จะโจมตีกลับไม่ได้ คราวนี้จำเป็นต้องตั้งรับ!

       หลินมู่อวี่กางมือซ้ายออก วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏขึ้น ตามด้วยกระดองเต่าทมิฬ!!

       “เคร้ง เคร้ง เคร้ง!”

       กระบี่ของเย่เหลียงฟันเข้าที่กระดองเต่าทมิฬติดกันสามครั้ง ทำให้เกิดรอยแตกขึ้นมาสามรอย แต่แรงสะท้อนกลับรุนแรงทำให้เย่เหลียงชะงักอยู่กับที่ พูดด้วยความตกใจ “พลังป้องกันแข็งแกร่งมาก เจ้าอยู่แค่ระดับขอบเขตปฐพีชั้นที่หนึ่งจริงหรือ”

       หลินมู่อวี่ไม่พูดไม่จา จังหวะที่คลายกระดองเต่าทมิฬ เขาก็พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันที กระบี่ที่อาบไปด้วยเปลวเพลิงและแสงอสนีระเบิดเข้าที่ท้องของเย่เหลียง!

       “ปัง!”

       ด้วยการโจมตีที่หนักหน่วงนี้ เย่เหลียงกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ส่วนท้องปรากฏเกราะปราณที่แตกกระจายเป็นชิ้นๆ นั่นคือทักษะพิเศษของขอบเขตปฐพีชั้นที่สาม เกราะปราณ เกิดจากการควบรวมพลังปราณให้กลายเป็นเกราะปราณมาปกป้องตนเอง

       เห็นร่างของหลินมู่อวี่ปรากฏปราณสีแดงเพลิง เย่เหลียงอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ที่แท้เจ้าก็เข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สองแล้วสินะ มิน่าเล่า ฮ่าๆๆ ดีจริงๆ”

       พูดจบ เขาก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ยกกระบี่ขึ้น วิญญาณยุทธ์งูอัคคีพลันมีขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นงูอัคคีพุ่งเข้ามาขย้ำจริงๆ แล้ว

       หลินมู่อวี่ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงตั้งรับ ฝืนเร่งพลังปราณออกมา กระดองเต่าทมิฬก่อตัวขึ้นอีกครั้ง!

       “เปรี้ยง!”

       ภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่ง หลินมู่อวี่ถอยไปหลายก้าว เสื้อผ้าตรงไหล่ถูกเผาไหม้เกรียมไปแล้ว สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ ในสภาพที่มีความแตกต่างกันของพลังนั้นไหนเลยหลินมู่อวี่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเย่เหลียง

       “ตายซะเถอะ!”

      เย่เหลียงต้องตะลึงอีกครั้ง ในตอนที่เขาคิดจะปิดฉากโจมตีหลินมู่อวี่ด้วยดาบเดียวนั้น จู่ๆ ที่ขาก็มีเถาวัลย์เลื้อยพันขึ้นมา พันธนาการขาสองข้างไว้แน่นอย่างรวดเร็ว เป็นทักษะพันธนาการของวิญญาณยุทธ์น้ำเต้า

       “เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ” เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เร่งพลังไฟเผาเถาวัลย์เหล่านี้

       หลินมู่อวี่จะพลาดโอกาสนี้ได้อย่างไรกัน เขาคำรามต่ำ เปลี่ยนปราณให้กลายเป็นของเหลวมีพิษ ส่วนดอกไม้ที่อยู่บนเถาวัลย์น้ำเต้าพ่นของเหลวที่เป็นพิษออกมา! 

      โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยการลอบกัด

       เย่เหลียงให้บทเรียนหลินมู่อวี่หนึ่งครั้ง ตอนนี้ถึงคราวที่หลินมู่อวี่จะสั่งสอนเขาบ้างแล้ว