ตอนที่ 151 เส้นแตงดินเปรี้ยวเผ็ด / ตอนที่ 152 ไม่ได้ซื้อผัก

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 151 เส้นแตงดินเปรี้ยวเผ็ด

เขาเองก็รู้เรื่องที่แตงดินมีพิษเช่นกัน ได้ยินมาว่าคนที่ถูกพิษตายเป็นสามีภรรยาแก่คู่หนึ่ง และยังมีอีกครอบครัวหนึ่งกินแตงดินแล้วถูกพิษ แต่โชคดีที่มีคนช่วยชีวิต รักษาชีวิตเอาไว้ได้ ต่อมาจึงไม่มีใครกล้ากินแตงดินนี้อีก

เมิ่งหนานเงยหน้ามองไป๋จื่อ พลางกล่าวถาม “เจ้ารู้เรื่องแตงดินมีพิษหรือไม่”

ไป๋จื่อลุกขึ้น แล้วเดินไปควานหาในตะกร้ามันฝรั่งอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะหยิบมันฝรั่งที่แตกหน่อแล้วลูกหนึ่ง มันฝรั่งที่เป็นสีดำและกำลังจะแตกหน่อลูกหนึ่ง และมันฝรั่งใหม่เกลี้ยงเกลาลูกหนึ่งออกมาจากด้านใน แล้วนำพวกมันทั้งสามหัวมาวางไว้บนโต๊ะ

“ใต้เท้าเชิญดูเจ้าค่ะ แตงดินสามลูกนี้ แม้จะเป็นแตงดินทั้งหมด แต่กลับไม่สามารถกินได้ทั้งหมด แตงดินที่แตกหน่อแล้วลูกนี้มีพิษ กินไม่ได้ แตงดินที่เปลี่ยนเป็นสีดำแล้วก็มีพิษเช่นกัน กินไม่ได้ ส่วนแตงดินที่ใหม่สวยนี้กลับรสชาติดี ที่อยู่ในจานนี้ก็เป็นแตงดินเหมือนกับลูกนี้เจ้าค่ะ”

ใต้เท้าเมิ่งไม่เข้าใจ “เหตุใดมันฝรั่งที่แตกหน่อแล้วถึงกลายเป็นว่ามีพิษเล่า เพราะเหตุผลใดกัน”

หากนางบอกว่าเพราะระหว่างกระบวนการที่มันฝรั่งแตกหน่อ จะทำให้ภายในมันฝรั่งเกิดโซลานีน[1] เขาจะเข้าใจหรือไม่

นางกลั่นกรองคำพูดอย่างละเอียด แล้วจึงค่อยๆ กล่าว “เพราะระหว่างที่แตงดินแตกหน่อ จะเกิดส่วนประกอบอันเป็นพิษจำนวนหนึ่ง ผู้ที่ถูกพิษจะอาเจียน เวียนศีรษะ และปวดศีรษะ ส่วนผู้ที่ถูกพิษอย่างหนักจะหายใจไม่ออกจนตาย”

“ในเมื่อรู้ว่าแตงดินนี้อาจกลายเป็นยาพิษ ไม่กินก็จบแล้ว เหตุใดยังต้องเสี่ยงอันตรายด้วย” เมิ่งหนานถาม

ไป๋จื่อตอบว่า “ทุกเรื่องราวล้วนมีสองด้าน ยาที่รักษาโรคและช่วยคนได้ หากใช้ผิดวิธีก็อาจจะกลายเป็นพิษที่ฉกฉวยเอาชีวิตคนไปก็ได้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สิ่งของนี้จะมีพิษหรือไม่ แต่อยู่ตรงคนที่ใช้มันเชี่ยวชาญในการใช้มันหรือไม่ต่างหาก”

เมิ่งหนานเข้าใจในทันที อย่างเช่นมีดเล่มหนึ่ง ในสายตาของคนบางคนนั้น มันเป็นมีดที่ใช้หั่นผักทำกับข้าว แต่ในสายตาของคนบางคน มันกลับเป็นอาวุธแหลมคมที่สามารถสังหารคนได้ สิ่งของเป็นของตาย ไร้ความดีหรือความชั่ว สำคัญอยู่ที่คนที่ใช้มัน หากเป็นคนเที่ยงธรรม ใช้อะไรล้วนช่วยชีวิตคนได้ทั้งนั้น หากเป็นคนจิตใจชั่วช้า ต่อให้เป็นยาดีแค่ไหนก็ใช้ฆ่าคนได้เช่นกัน

เขาประสานมือไปทางไป๋จื่อ “ได้รับบทเรียนแล้ว” ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยื่นตะเกียบไปคีบเส้นแตงดิน แต่ปรากฏว่ามันเหลือในจานเพียงเส้นเดียว…

ตอนที่เขากับไป๋จื่อกำลังถกกันเรื่องพิษและยา ตะเกียบของหูเฟิงและองครักษ์จินก็ไม่ได้หยุดเริงระบำเลย

ฝ่ายใต้เท้าเมิ่งถลึงตามององครักษ์จิน “เจ้าไม่ได้พูดว่ามีพิษ กินไม่ได้หรอกหรือ ตอนนี้ผีอะไรเข้าสิง”

องครักษ์จินหัวเราะแหะๆ “ของอร่อยเช่นนี้ ถึงมีพิษข้าก็จะกินขอรับ” เดิมทีเขาคิดจะช่วยคุณชายชิมสักหน่อย แต่ผลปรากฏว่าชิมแล้วกลับหยุดไม่ได้…

กินจนกระทั่งหมด…

เขาถลึงตามองหูเฟิงอีก “นี่ แม่นางไป๋ยังไม่ได้กินเลยนะ เจ้ากินกับข้าวหมดเช่นนี้ ไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนใช่หรือไม่”

หูเฟิงวางตะเกียบลงอย่างเชื่องช้า แล้วหยิบผ้าด้านข้างมาเช็ดมุมปากด้วยท่วงท่าสง่างาม ปิดท้ายด้วยการกล่าวเสียงเรียบ “นางกินไปแล้ว”

เมิ่งหนานมองไป๋จื่อ เด็กสาวรีบพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ข้ากินไปแล้ว เพราะอีกเดี๋ยวยังมีธุระอีก จึงกินเช้าเสียหน่อย”

ใต้เท้าเมิ่งมองจานสองใบที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ เขาชิมเส้นแตงดินไปเพียงครั้งเดียว และยังไม่ได้ชิมเห็ดหูหนูเลยสักคำ…ไม่เหลือแล้ว…

เขาหิ้วท้องมาถึงสามสิบลี้ หรือว่าเพื่อกินโจ๊กขาวเท่านั้น

ครั้นเห็นเมิ่งหนานมีสีหน้าน้อยใจ นางอยากหัวเราะนัก ทว่าก็อดกลั้นเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “เอาอย่างนี้แล้วกันเจ้าค่ะ พวกท่านอยู่กินข้าวกลางวันที่นี่ กุยช่ายที่ซื้อมาเมื่อวานยังเหลืออยู่กำหนึ่ง วันนี้ข้าจะห่อเกี๊ยวกินอีกสักครั้ง”

……….

ตอนที่ 152 ไม่ได้ซื้อผัก

แม้จะไม่รู้ว่าเกี๊ยวคืออะไร แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว เมิ่งหนานกับองครักษ์จินก็รู้สึกว่าต้องเป็นของอร่อยอย่างแน่นอน อาหารที่ทำจากมือของไป๋จื่อ ไม่มีสิ่งใดไม่อร่อย

องครักษ์จินยิ้มตามไปด้วย “แม่นางไป๋ ทำจีตั้นปิ่งที่กินเมื่อครั้งก่อนอีกสักครั้งได้หรือไม่” น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ชิมเมื่อครั้งก่อน ให้แต่คุณชายกินคนเดียวจนหมดเกลี้ยง

ไป๋จื่อพยักหน้าด้วยความยินดี “ได้เจ้าค่ะ”

ครั้นเห็นนางอารมณ์ดีเช่นนี้ องครักษ์จินก็ได้คืบจะเอาศอก “น้ำแกงซี่โครงหมูกับข้าวโพดที่กินคราวก่อนก็อร่อยมาก ทำอีกครั้งได้หรือไม่”

ทว่าเด็กสาวกลับส่ายหน้า “ข้าคิดอยู่เหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ในบ้านไม่มีข้าวโพดและซี่โครงหมู ทำไม่ได้เจ้าค่ะ”

องครักษ์จินทำหน้าตาผิดหวัง แววตากล่าวโทษเบนไปที่ร่างของเมิ่งหนาน “คุณชาย ล้วนโทษท่าน หากเมื่อครู่ไปซื้อผักที่ตลาดมาด้วยก็คงดี” หากไม่ใช่เพราะคุณชายไม่ยอมไปตลาดเพราะคนเยอะ กลางวันนี้เขาต้องได้กินน้ำแกงซี่โครงหมูกับข้าวโพดแน่

หลายวันมานี้ เขาฝันถึงรสชาตินั้นอยู่ตลอด

เมิ่งหนานกวาดสายตามององครักษ์จินอย่างเย็นชา ทำเอาอีกฝ่ายพูดไม่ออกอีก ต้องปิดปากในทันใด แม้ใจจริงจะอยากเอ่ยอะไรออกมาอีกมากมายก็ตาม

เขาลูบชุดคลุมใหม่เอี่ยมบนร่างของตนเองอย่างแผ่วเบา เสื้อผ้าไหมสีมรกตบริสุทธิ์ ด้านนอกทับด้วยผ้าโปรงละเอียดสีเดียวกัน ปักลวดลายไม้ไผ่สีเข้มอ่อนอยู่ทั่วบริเวณอย่างประณีต ตรงเอวห้อยหยกสีฟ้าขนาดเท่าไข่เป็ดเอาไว้ เท้าสวมรองเท้ายาวปักลายเมฆด้วยไหมชั้นยอด ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีแต่ความสง่างามระคนมีอำนาจ

ให้เขาสวมเสื้อผ้าและรองเท้าเช่นนี้ไปซื้อผักในตลาดเนี่ยนะ?

อีกอย่าง เขาก็คิดไม่ถึงว่าในบ้านของไป๋จื่อจะไม่มีผักจริงๆ…

“ครั้งหน้าเถอะเจ้าค่ะ หากครั้งหน้าพวกท่านมา จำไว้ว่าต้องนำวัตถุดิบมาด้วย อยากกินอะไรก็นำสิ่งนั้นมา ข้าล้วนทำให้พวกท่านได้ทั้งนั้น” ไป๋จื่อกล่าว

องครักษ์จินรีบตอบรับ บนใบหน้ามีแต่ความตื่นเต้น “แม่นางไป๋ วันหน้าหากข้าอยากจะมาฝากท้อง ข้ามาคนเดียวเจ้าจะต้อนรับหรือไม่”

แม้องครักษ์จินจะเป็นเพียงองครักษ์ข้างกายของเมิ่งหนาน แต่ดูจากความเป็นกันเองระหว่างพูดจาของทั้งสองคน ก็พอจะรู้ได้ว่าเขาไม่ใช่องครักษ์ธรรมดาทั่วไป ครั้นอยู่ข้างกายเมิ่งหนาน เขาจึงเป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำ และชอบพูดจาเช่นนี้

แม้จะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทว่าเขาก็เป็นคนทำงานในศาลาว่าการอย่างแท้จริง เด็กสาวชาวบ้านตามป่าเขาเช่นนางจะประจบเอาใจคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากต่อไปมีเรื่องอะไร อย่างน้อยก็มีคนในศาลาว่าการช่วยพูดแทนนางได้

นางยิ้มพลางพยักหน้า “ย่อมได้เจ้าค่ะ พี่จินอยากมาเมื่อไรก็มาได้ทุกเมื่อ”

พี่จิน?

เมิ่งหนานเลิกคิ้ว เด็กสาวคนนี้เรียกนางว่าใต้เท้าเมิ่ง แต่กลับเรียกองครักษ์จินว่าพี่จิน

“ข้าไม่มา เขาก็มาไม่ได้เช่นกัน” เมิ่งหนานมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ พลางชำเลืองมององครักษ์จิน

องครักษ์จินตะลึงลาน ทว่ายังไม่ทันได้อ้อนวอนคุณชาย ก็กลับเห็นไป๋จื่อลุกขึ้นกล่าว “สายแล้ว ข้ากับหูเฟิงยังมีธุระต้องไป พวกท่านพักอยู่ที่นี่ พวกข้าน่าจะรีบกลับมาทันยามอู่[2]”

หากเป็นยามปกติแล้ว นางไม่กล้าพูดว่าจะรีบกลับมาทันยามอู่ แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะวันนี้พวกนางมีรถม้าแล้ว

ทางไปภูเขาลั่งอิงมีอยู่สองเส้นทาง ทางหนึ่งเป็นทางเดินเล็กๆ ที่พวกเขาเดินไปคราวก่อน ทำได้เพียงใช้เท้าเดิน ใช้รถม้าไม่ได้ แต่ยังมีอีกเส้นทางหนึ่ง เป็นเส้นทางที่คนมีรถเทียมวัวจะใช้ลากธัญพืชยามเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วง วันนี้มีรถม้านับว่าพอเหมาะเลยทีเดียว

อีกอย่าง วันนี้พระอาทิตย์ร้อนแรงเป็นพิเศษ มีรถม้าให้นั่งเช่นนี้ ไม่เพียงประหยัดแรงเท้าได้ ยังไม่ต้องตากแดดตลอดทางด้วย

บัดนี้เพิ่งจะผ่านยามเฉิน[3] ห่างจากยามอู่อีกสองชั่วยาม จะให้เขานั่งเฉยๆ อยู่ที่นี่ถึงสองชั่วยามเลยหรือ

เมิ่งหนานถาม “พวกเจ้าไปทำธุระที่ใด หากสะดวกล่ะก็ ข้าไปกับพวกเจ้าก็ได้” อย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว ไปออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายบ้างก็ดี

[1] โซลานีน เป็นพิษที่พบในส่วนที่เป็นสีเขียวของพืชจำพวกมัน จัดเป็นสารพิษธรรมชาติ ไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน และอาจทำให้กระเพาะอาหารเกิดความผิดปกติได้

[2] ยามอู่ (午) เท่ากับเวลาประมาณ 11:00-13:00 น.

[3] ยามเฉิน (辰) เท่ากับเวลาประมาณ 7:00-9:00 น.