เมื่อได้ยินเสียงลูกศรลงไห เส้นโค้งที่มุมปากของสวี่ชีอันขยายกว้างอย่างยากจะควบคุม เขากระชากผ้าดำออก แล้วชี้ไปที่ก้อนเงินก้อนทองบนแผงลอย

“ฮ่าๆ ท่านนักบวช ทั้งหมดนี้เป็นของข้าแล้ว”

นักบวชเฒ่าเหลือบมองเขา แล้วห่อก้อนเงินก้อนทองอย่างเมินเฉย จากนั้นชี้ไปที่กำไลลูกประคำและกระจกหยกด้านบนสุด ยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย

“คุณชาย เลือกมาหนึ่งชิ้น”

…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างต้องการเจรจา “ท่านนักบวช ข้าไม่ต้องการของเหล่านี้ ข้าเพียงต้องการเงิน”

นักบวชเฒ่าปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี “กฎก็คือกฎ”

เขาพูดเสริมหลังจากหยุดไปชั่วครู่ “สองสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าหายาก ทองคำเงินแท่งธรรมดาจะทัดเทียมได้อย่างไร คุณชายอย่าได้ถูกเงินทองบังตา”

ไม่ ข้าเพียงต้องการของธรรมดาเหล่านี้…สวี่ชีอันเอ่ยถาม “ของล้ำค่าหรือ ใช้ทำสิ่งใดได้”

“ข้าก็ไม่รู้ รู้เพียงพวกมันกำลังรอคอยผู้มีวาสนา” นักบวชเฒ่าดูท่าทางตัวเปล่าเล่าเปลือย

สวี่ชีอันคลางแคลงว่านักบวชเฒ่ากำลังหลอกเขา แต่ไม่มีหลักฐาน เมื่อครุ่นคิดถึงความโชคดีอันน่าประหลาดใจของตน จึงลังเลเล็กน้อย

ล้ำค่าหรือไม่ ผู้ใดจะบอกได้ มากด้วยเงินทองถึงจะเอื้อประโยชน์อย่างแท้จริง

บัดนี้ทหารชุดเกราะนายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมเอ่ย “คุณชายท่านนี้ นายของข้าวานให้ท่านช่วยบางสิ่ง”

สวี่ชีอันหันกลับไปมองรถม้าอันโอ่อ่าที่อยู่ไม่ไกลนัก “นายของเจ้าต้องการสิ่งใด”

“ลูกประคำพวงนั้น” ทหารชุดเกราะเลื่อนสายตาออกจากแผงลอยแล้วจ้องมองสวี่ชีอัน “นายของข้ายินดีมอบ 60 ตำลึงทองให้”

ที่แท้คนดวงดีเช่นข้าก็สมควรอยู่ในที่แห่งนี้…รอยยิ้มอันเป็นมิตรปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสวี่ชีอัน “ขอบพระคุณที่ไม่นึกรังเกียจ การซื้อขายเป็นอันตกลง”

เขาขอให้ทหารชุดเกราะจ่ายเงินหนึ่งอีแปะแลกกับลูกศรสามดอก

ทหารชุดเกราะเอ่ย “นายท่านบอกว่าท่านจะปาอีกกี่ครั้งก็ได้ เงินทั้งหมดพวกเราจะออกให้ หากแพ้ก็ไม่ถือสา…”

สิ้นเสียงคำพูด เขาก็เห็นสวี่ชีอันที่ปิดตาเหวี่ยงลูกศรออกไปอย่างไม่ยั้งคิด

‘ตึงๆๆ’…ลูกศรทั้งสามดอกพุ่งลงไหด้วยความแม่นยำ

เสียงฮือฮาของผู้คนที่สัญจรไปมาดังขึ้นอีกครั้ง

แววตาที่ทหารชุดเกราะมองสวี่ชีอันเปี่ยมไปด้วยความนับถือ

หากครั้งแรกเป็นความโชคดี ครั้งที่สองก็หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา ชายหนุ่มที่ดูธรรมดาไม่ซับซ้อนผู้นี้แต่งกายเช่นปัญญาชน ทว่าเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน

60 ตำลึงทองอยู่ในมือแล้ว…สวี่ชีอันอารมณ์เตลิดอย่างหาสิ่งใดเทียบ ยามที่เขากระชากผ้าดำออกก็บังเอิญเห็นม่านรถม้าอันโอ่อ่าที่อยู่ไกลออกไปลู่ตกลงพอดี

…ก็ไม่ทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรถเป็นคนใหญ่คนโตอย่างไร…เขาไม่กล้ามองมาก จึงหันหลังกลับและคารวะให้ทหารชุดเกราะ “โชคดีที่ปฏิบัติภารกิจลุล่วง”

ทหารชุดเกราะแสดงคารวะกลับอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงกลับไปที่รถม้า สักพักหนึ่งก็ถือถุงเงินที่พองนูนเข้ามา

สวี่ชีอันรับถุงเงินและเดินไปหยิบกระจกหยกจากนักบวชเฒ่า แล้วมองตามหลังรถม้าที่จากไป

เขาถอนสายตา สอดกระจกหยกขนาดเท่าฝ่ามือไว้ในหน้าอก แล้วชั่งน้ำหนักถุงเงินด้วยมืออย่างสำราญใจ

น่าจะประมาณสามสี่ชั่ง[1]ได้ คงหนักเกินกว่าจะผูกไว้บนเอว

“ไม่ได้การ ข้าต้องไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน พกทองที่หนักเช่นนี้ติดตัวคงโง่เขลาเกินไป…”

เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาจึงอดหันกลับไปมองไม่ได้ ทว่ากลับไม่พบนักบวชเฒ่าผู้นั้นเสียแล้ว แผงลอยก็จัดเก็บจนสะอาดสะอ้าน

สวี่ชีอันยืนนิ่งอยู่ข้างถนนเนิ่นนาน

เขาวิ่งไปร้านแลกเงินอีกรอบ แลกเปลี่ยนทองเป็นตั๋วเงินมูลค่า 100 ตำลึงสี่ใบ มูลค่า 50 ตำลึงหนึ่งใบ และมูลค่า 10 ตำลึงสามใบ

ทองไม่ได้อยู่ในระบบเงินตรา จึงจำเป็นต้องแลกเป็นเงินที่มีค่าเท่ากัน จากนั้นร้านแลกเงินจะออกใบเสร็จรับตั๋วเงินให้

อัตราการแลกเปลี่ยนของทองกับเงินคือ 1 ต่อ 8 ดังนั้น 60 ตำลึงทองมีค่าเท่ากับ 480 ตำลึงเงิน

หากเป็น 480 ตำลึงเงินล่ะก็ ใช้ตบใบหน้าสวยๆ ของอาสะใภ้ได้อย่างเหลือเฟือ…เพราะเหตุใดทุกครั้งที่หาเงินได้ก็ยังคิดอยากใช้ตั๋วเงินตบหน้าอาสะใภ้โดยไม่รู้ตัว ความเคียดแค้นเดิมที่มีต่ออาสะใภ้ช่างแรงกล้าเหลือเกิน…นอกจากนั้น เงินเหล่านี้คาดว่าซื้อได้เพียงลานเล็กๆ ในเมืองชั้นในเท่านั้น…อยากซื้อคฤหาสน์เรือนสามแถว หากไม่มีหมื่นตำลึงเงินก็อย่าคิดว่าจะซื้อได้…สวี่ชีอันกลัดกลุ้มเล็กน้อย

ไม่ว่าจะเป็นภพอื่นหรือภพนี้ ราคาบ้านก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนสิ้นหวัง

“480 ตำลึง ไถ่ตัวคณิการะดับล่างจากหอนางโลมก็น่าจะเพียงพอแล้ว ทว่าการทำเช่นนี้ช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เจ้าคิดดู 480 ตำลึงข้าสามารถสับเปลี่ยนเสพสมกับคณิกาได้มากมายยาวนานนับเดือน ทว่าเพื่อไถ่ตัวคณิกานางเดียว ไม่ต้องเอ่ยถึงทรัพย์สินครอบครัวที่จะสูญสิ้น ยังต้องรับผิดชอบเสื้อผ้าและค่ากินอยู่ของนางอีกด้วย หากไม่ระวังเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาก็จะมีค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อีก อีกทั้งเงินเดือนของข้าในตอนนี้ก็เพียงพอแค่เลี้ยงดูภรรยาหลวง เดิมทีก็มิอาจใช้ชีวิตจืดชืดเช่นเศรษฐีหลายภรรยาได้ ยิ่งกว่านั้นข้าไม่มีทางไถ่ตัวหญิงสาวจากหอนางโลมเสียหรอก ใครจะอยากเอารถสาธารณะไปใช้ส่วนตัว คงโดนฟ้าผ่าตาย”

สวี่ชีอันมาถึงสำนักสังคีตอันเลื่องชื่อลือนามของเมืองหลวงในยามพลบค่ำที่ตั้งอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง

แสงแรกจากโคมประดับ รถม้านานารูปแบบจอดอยู่นอกตรอก เสียงของเครื่องสายและเครื่องเป่าดังมาจากในลาน พร้อมกับเสียงร้องดังแผ่วโผยน่าประทับใจดังออกมา

เขาทราบดี ชีวิตยามราตรีอันสวยงามได้เริ่มต้นแล้ว

สวี่ชีอันเดินไปบนถนนในตรอกที่เชื่อมถึงกัน ในหัวนึกถึงแก่นแท้ของวัฒนธรรมที่เรียนรู้มาจากหัวหน้ามือปราบหวัง

หอนางโลมตามปกติเป็นอาคารสองหรือสามชั้น เสริมด้วยหนึ่งหรือสองลานซึ่งนับว่าค่อนข้างมีมาตรฐาน

สำนักสังคีตไม่มีอาคารสูงเช่นนี้เพราะไม่จำเป็น ลานที่อยู่ในตรอกนี้ล้วนเป็นสำนักสังคีตทั้งสิ้น

รัฐวิสาหกิจนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมาก

สำนักสังคีตมีกลเม็ด สามัญชนคนธรรมดามิอาจมาใช้จ่ายในที่แห่งนี้ได้ ก็มิใช่กฎระเบียบอะไร ทว่าค่าใช้จ่ายพื้นฐานของสำนักสังคีตคือ 5 ตำลึงเงิน

นี่ไม่ใช่ค่าหลับนอนกับหญิงสาว ทว่าเป็นค่าเปิดโต๊ะ

5 ตำลึงเงินเทียบเท่ากับรายได้หลายเดือนของสามัญชนทั่วไป ยังต้องเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งอีกด้วย

ดังนั้นแขกส่วนใหญ่ของสำนักสังคีตจึงมีสามประเภท ได้แก่

ประเภทแรก พ่อค้าใหญ่

แขกประเภทนี้เต็มใจจ่ายเงินที่สุด เนื่องจากพวกเขาที่มีสถานะทางสังคมต่ำ จึงยึดติดกับการหลับนอนกับหญิงในเครือญาติของข้าราชการที่กระทำผิดอย่างคลั่งไคล้

ประเภทที่สอง ขุนนาง

สำหรับพวกเขาสำนักสังคีตคือสถานที่พบปะดื่มน้ำชาหลังเลิกงาน ตราบใดที่มีการคบค้าสมาคมก็ชอบมุ่งตรงมายังสำนักสังคีต

สิ่งที่น่ากล่าวถึงก็คือ ขุนนางกรมพิธีการกินฟรีได้ เพราะสำนักสังคีตอยู่ภายใต้การจัดการของกรมพิธีการ

ประเภทที่สาม ปัญญาชน

คนประเภทนี้ย่อมสุภาพกว่าพ่อค้าใหญ่ ชอบประชันการท่องบทกลอน อีกทั้งเข้ารับราชการได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวในสำนักสังคีต

หญิงสาวในสำนักสังคีตก็แบ่งออกเป็นสามประเภทเช่นกัน

ประเภทแรก หญิงในเครือญาติของข้าราชการที่กระทำผิด

หญิงสาวประเภทนี้น่าเวทนาที่สุด ถูกบีบบังคับให้ตกระกำลำบาก ถูกผู้คนเหยียดหยาม

ประเภทที่สอง หญิงที่ถูกจับมาในสงคราม

ย้อนกลับไปไม่นาน สงครามด่านซานไห่เมื่อ 20 ปีก่อน ประเทศตะวันตกกับต้าฟ่งเป็นประเทศแห่งชัยชนะ หญิงสาวจำนวนนับไม่ถ้วนจากทางเหนือและซินเจียงตอนใต้ถูกจับยัดเข้าไปในสำนักสังคีตของรัฐต่างๆ

ประเภทที่สาม โสเภณีที่สำนักสังคีตรับเข้ามาเอง

“อยู่จนแก่ เรียนจนแก่[2] หัวหน้ามือปราบหวังก็ยังเป็นอาจารย์ของข้า…” สวี่ชีอันทอดถอนใจ ในที่สุดก็พบเป้าหมายที่มาเยือนสำนักสังคีตในครั้งนี้

เขาหยุดอยู่ข้างนอกลาน แผ่นป้ายคำขวัญที่ประตูลานเขียนไว้ว่า ‘หออิ่งเหมย’

ประตูลานเปิดออก โคมไฟแดงสวยสดงดงามทั้งสองห้อยประดับ ภายในลานมีต้นบ๊วย แต่ละต้นกิ่งก้านประดับด้วยดอกไม้ตูมที่บานสะพรั่ง

ชายหนุ่มคนเฝ้าประตูอายุราว 16-17 คนหนึ่งเฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าลานกำลังใช้สายตามองสำรวจสวี่ชีอันอย่างละเอียด

เขายังมีอีกชื่อหนึ่งที่ทุกคนคุ้นหูกันดี

“ข้าน้อยหยางหลิงบัณฑิตซิ่วไฉ[3]จากอำเภอฉางเล่อ ได้ยินชื่อเสียงของแม่นางฝูเซียงมานาน จึงมาเพื่อเยี่ยมเยียนเป็นการเฉพาะ” สวี่ชีอันเลียนแบบการคารวะของปัญญาชน แล้วเอ่ยกับคนเฝ้าประตูอย่างสุภาพอ่อนน้อม

หออิ่งเหมยเป็นที่พักอาศัยของคณิกาฝูเซียง

ค่าเปิดโต๊ะของที่นี่ต้องใช้ 10 ตำลึงเงิน ซึ่งแพงกว่าลานทั่วไปเป็นเท่าตัว

คณิกาของสำนักสังคีตมีทั้งหมดสิบสองนาง แบ่งออกเป็นสี่ระดับตามคุณภาพ เสน่ห์ ความสามารถ และความงาม

แม่นางฝูเซียงอยู่ในระดับแรก เลื่องลือว่าเป็นเลิศในกู่ฉิน[4]และบทกวี

“10 ตำลึงเงิน” ชายหนุ่มคนเฝ้าประตูที่คุ้นตาเหล่านายท่านมีท่าทีนิ่งเฉย หลังจากรับเงินของสวี่ชีอันแล้ว จึงปล่อยให้เขาเข้าไปในลาน

สวี่ชีอันปลื้มปีติในใจ เสียงหัวเราะและเสียงเครื่องสายดังมาจากในลาน การประชุมชาเริ่มขึ้นแล้ว ในเมื่อชายหนุ่มคนเฝ้าประตูให้เขาเข้ามา ก็หมายความว่าในลานไม่ได้เหมาที่นั่งเอาไว้ ต้อนรับแขกเป็นรายบุคคล

คนที่มาเที่ยวจะแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ แบบแรกคือเหมาที่นั่ง อีกแบบหนึ่งคือแขกรายบุคคล

หากเป็นแบบแรก วันนี้สวี่ชีอันคงจะมาเสียเที่ยวเป็นแน่

………………………………………

[1] หนึ่งชั่ง เท่ากับ 500 กรัม

[2] อยู่จนแก่ เรียนจนแก่ สำนวนจีน หมายถึง คนเราต้องเรียนรู้ไปตลอดชีวิต

[3] ซิ่วไฉ หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับท้องถิ่น

[4] กู่ฉิน หรือพิณ 7 สาย มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ซึ่งได้รับการขนานนามว่า ‘ราชาแห่งเครื่องดนตรีจีน’ ในสมัยก่อนกู่ฉินถือว่าเป็นดนตรีชั้นสูง ต้องใช้สมาธิ ความตั้งใจในการบรรเลง เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในหมู่ปัญญาชน นักปราชญ์และนักกวี