ไร้สาระ

เมื่อนำมาวางรวมกับภาพวาดอีกห้าภาพ ภาพของนางก็นับว่าเกิดมาเพื่อให้เป็นที่ขบขันโดยแท้

ยังแขวะภาพของนางไม่ทันจบ ทุกคนก็เห็นฝูงผีเสื้อสีสันสดใสบินฉวัดเฉวียนมาเกาะบนเกสรดอกโบตั๋น ราวกับว่าพวกมันกำลังเก็บเกี่ยวน้ำหวานจากเกสรดอกโบตั๋นอย่างไม่คิดจะจากไป

ผีเสื้อมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดอกโบตั๋นกลีบสุดท้ายเต็มไปด้วยผีเสื้อหลากสี ทว่าก็ยังมีผีเสื้ออีกหลายตัวที่บินอยู่รอบๆ ภาพวาด

ทุกคนตะลึงงัน

ดอกโบตั๋นนั่นเป็นภาพที่วาดขึ้นมามิใช่หรือ

เหตุใดจึงดึงดูดผีเสื้อมามากมายขนาดนี้

ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองพวกเขาคงคิดว่าดอกโบตั๋นดอกนั้นเป็นของจริง

นี่… นี่มันจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว…

รอยยิ้มที่อ่อนเยาว์ของจักรพรรดิเยี่ยชะงักลง พระองค์ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะพลิกผันเช่นนี้

ปรมาจารย์หมากรุกเป็นคนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาอุทานอย่างประหลาดใจ “ผีเสื้อดอมบุปผา เจ้าทำได้อย่างไรหรือแม่สาวน้อย ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีใครวาดภาพบนกระดาษแล้วดึงดูดผีเสื้อเข้ามาได้อย่างนี้”

“เนี่ยน่ะเหรอ… เพราะข้าวาดภาพเก่งไงละ” กู้ชูหน่วนกะพริบตาปริบๆ อย่างเจ้าเล่ห์และมีรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา

ซั่งกวนฉู่ อี้เฉินเฟย รวมถึงเยี่ยเฟิงต่างมองไปที่แท่นฝนหมึกราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

อาจารย์สวีขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีกราวกับไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

นะ… นึกไม่ถึงเลยว่าภาพวาดของกู้ชูหน่วนจะดึงดูดผีเสื้อได้จริงๆ…

พระเจ้า นางเป็นคนหัวขี้เลื่อยหรือเป็นผู้มีพรสวรรค์กันแน่

กู้ชูหน่วนยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่รู้ว่าภาพผีเสื้อดอมบุปผาของข้าพอจะชนะที่หนึ่งได้หรือไม่นะเพคะ”

จักรพรรดิเยี่ยทรงอึกอัก

ไม่ต้องพูดถึงภาพวาด ต่อให้เป็นดอกโบตั๋นของจริงวางอยู่ตรงหน้าก็ไม่มีทางดึงดูดผีเสื้อได้มากมายเช่นนี้

ถ้าแบบนี้ยังชนะที่หนึ่งไม่ได้ก็ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลแล้ว

ทว่า…

ถ้าให้นางเป็นที่หนึ่ง นั่นจะไม่เป็นการทำให้เทพแห่งสงครามได้หน้างั้นหรือ

จักรพรรดิเยี่ยมองผู้แทนจากแต่ละรัฐและตรัสถามว่า “ทุกคนคิดว่าการแข่งวาดภาพในครั้งนี้ ผู้ใดสมควรได้ที่หนึ่ง”

“นั่นมัน… ภาพร้อยวิหคคำนับพญาหงส์ของเยี่ยเฟิงมีฝีแปรงที่ละเอียดอ่อน มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง วิหคแต่ละตัวมีความเสมือนจริงแม้จะอยู่ในภาพวาด ทั้งยังดูเหมือนจะกางปีกบินขึ้นสูง นอกจากนี้ภาพของเขายังสง่างาม ไม่ใช่ภาพที่คนทั่วไปจะวาดขึ้นมาได้”

“ในทางกลับกัน ภาพวาดดอกโบตั๋นของคุณหนูสามตระกูลกู้เรียบง่ายเกินไป ทักษะในการวาดภาพก็ธรรมดา เพียงแต่ภาพวาดที่ธรรมดาเช่นนี้กลับดึงดูดผีเสื้อนับพันได้ คนอื่นๆ ไม่มีทางทำได้เช่นกัน ตามความเห็นของกระหม่อม ฝีมีของทั้งคู่สูสีกัน เป็นการยากที่จะตัดสินพ่ะย่ะค่ะ” ทูตจากรัฐฉู่กล่าว

แม้ว่าเขาจะหวังให้ปรมาจารย์หมากรุกเป็นฝ่ายชนะ ทว่า…

การชุมนุมแข่งขันวิชาการยุติธรรมเสมอ ถ้าหากมุ่งแต่จะเข้าข้างปรมาจารย์หมากรุกอย่างเดียว เกรงว่าเขาคงได้กลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งใต้หล้าเป็นแน่

“คุณชายอี้ ท่านมีความสามารถทางด้านศิลปะและกวี มีความรู้ที่มากมายหลากหลาย ท่านคิดว่าภาพของใครดีกว่ากันงั้นหรือ”

อี้เฉินเฟยกล่าวอย่างภาคภูมิว่า “ทั้งคู่ต่างมีจุดแข็งของตัวเอง ฝีมือสูสีกันยิ่งนัก”

จักรพรรดิเยี่ยผิดหวังเล็กน้อย ดังนั้นพระองค์จึงหันไปหาซั่งกวนฉู่โดยหวังว่าซั่งกวนฉู่จะเลือกเยี่ยเฟิง “ท่านอาจารย์เล่า คิดเห็นเป็นเช่นไร”

ซั่งกวนฉู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กระหม่อมมีความเห็นเช่นเดียวกับคุณชายอี้พ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าขุนนางต่างแสดงความคิดเห็นกัน บางคนบอกว่าภาพของกู้ชูหน่วนดีกว่า บางคนบอกว่าของเยี่ยเฟิงดีกว่า จากนั้นจึงโต้เถียงกันอยู่พักหนึ่ง

สุดท้ายจึงจำเป็นต้องลงคะแนน และบังเอิญคะแนนก็ออกมาเป็นเอกฉันท์

จักรพรรดิเยี่ยทำอะไรไม่ได้และต้องประกาศไปว่า “ในการแข่งขันรอบนี้ คุณหนูสามตระกูลกู้และเยี่ยเฟิงชนะที่หนึ่งร่วมกัน”

เจ๋ออ๋องหันไปมองภาพดอกโบตั๋นและพยายามเค้นสมองคิด เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นแท่นฝนหมึกของกู้ชูหน่วนและนึกถึงตอนที่นางทำน้ำผึ้งหกใส่แท่นฝนหมึก ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็วาบขึ้นมาในหัวของเขา

เจ๋ออ๋องตะโกนลั่น “ช้าก่อน แท้จริงแล้วกู้ชูหน่วนไม่ได้มีฝีมือในการวาดรูปเลย นางแค่ผสมน้ำผึ้งลงไปในน้ำหมึก น้ำผึ้งเหล่านั้นจึงดึงดูดผีเสื้อเข้ามา ทำให้เหล่าผีเสื้อมารวมกันมากมาย”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตาสว่าง

ที่แท้ก็เป็นอย่างที่เขาพูดนี่เอง ภาพวาดดอกโบตั๋นบานสะพรั่งที่ดูงั้นๆ จึงดึงดูดผีเสื้อเข้ามาได้ เป็นอันว่านางโกงงั้นสินะ

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในการแข่งขันครั้งนี้ คุณหนูสามจึงไม่อาจเป็นที่หนึ่งได้” จักรพรรดิเยี่ยรีบตรัสทันที