บทที่ 67: เข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษ (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 67: เข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษ (1)

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงจำใจอธิบายทุกอย่าง ด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังเวทนาคนโง่

“เจ้าจะตกใจทำไม? หลังจากได้เป็นจ้าวนรกแล้วเจ้าจะไปอยู่ที่ใด? ทานอาหารที่ใด? ใช้อะไร? เจ้าไม่ต้องการคนใช้หรือ? ไม่ต้องมีพระตำหนักหรือ? ไม่ต้องเก็บภาษีเพื่อบริหารจัดการนครวิญญาณ? ไม่ต้องเสริมสร้างการใช้ชีวิตของประชากรนรกด้วยความบันเทิงบางรูปแบบ? ไม่กลัวพวกเขาก่อกบฏหรืออย่างไร?”

“นอกจากนี้ เจ้าไม่ได้อยากก่อสร้างวัฒนธรรมโลกวิญญาณขึ้นมาเองหรือ? หากเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นบนโลกแล้วส่งผลให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายอย่างกะทันหันเล่า? เจ้าจะไม่ก่อตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนพวกนั้นหรือ? เจ้าไม่ต้องเลี้ยงปากท้องของยมทูตของเจ้าหรือไร? ทุกอย่างต้องใช้เงินทั้งนั้น!”

“และเจ้าจะได้เงินทุนพวกนี้มาจากที่ใด? แน่นอน ภาษีอย่างไรล่ะ! ข้าจะบอกอะไรเจ้าเอาไว้อย่างนะ มันไม่ใช่แค่สิ่งพวกนี้เท่านั้นที่ต้องใช้เงินทุนในการรักษา มันยังมีนรกทั้ง 18 ขุม สังสารวัฏทั้งหก และพระตำหนักทั้ง 10 เองก็ด้วย! ระบบการปกครองอีก! ทุกอย่างล้วนต้องใช้เงิน! นอกจากนี้ การติดต่อกับแดนมนุษย์ โครงสร้างของอาคารในยมโลก การก้าวหน้าทางสุนทรียศาสตร์ แนวทางในธรรม…เจ้าสามารถถือได้ว่ามันเป็นผ้าใบที่ว่างเปล่าที่เจ้าจะต้องสร้างระเบียบของโลกขึ้นมาใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง!”

ฉินเย่ตกตะลึง

เขาตกใจมากจริง ๆ

เขาไม่คิดมาก่อนว่าภาระที่ใหญ่โตขนาดนั้น จะตกลงบนบ่าของเขาแบบนี้

ให้ตายเถอะ…ทำไมมันถึงรู้สึกเหมือนกับว่าเขาจะต้องสร้างโลกทั้งโลกขึ้นมาใหม่ด้วยมือของตัวเองกันเนี่ย?!

คุณพอจะนึกภาพยมทูตคนสุดท้าย ที่ต้องขนอิฐและสร้างตึกจนปวดหลังทุกคืนได้หรือเปล่าล่ะ?

“มันจะไม่มีคนช่วยสักนิดเลยหรือ?”

“แน่นอนว่าเจ้าจะต้องมีคนช่วย! ในอดีต จ้าวนรกเพียงต้องอนุมัติแผนการก่อสร้างที่ถูกส่งถึงพระองค์เท่านั้น แต่เจ้า…เจ้าต้องเริ่มสร้างทุกอย่างใหม่ทั้งหมด สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือรวบรวมเศษตราเจ้านรกทั้งหมดให้ครบ เพราะเพียงหลังจากที่น้ำพุเหลืองเริ่มไหล วิญญาณหยินทั้งหมดก็จะหาทางไปที่ยมโลกอีกครั้งโดยพลัน และเจ้าก็ต้องสร้างประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของนรกขึ้นมาใหม่ด้วย…”

ฉินเย่รู้สึกว่าตัวเองปวดหัวขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่านรกจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้ก็ต่อเมื่อประกอบเศษตราจ้าวนรกทุกชิ้นรวมเข้าด้วยกันหรอกหรือ?”

“การเลือกใช้คำให้ถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เจ้าหนู ข้าบอกว่าระเบียบของนรกจะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ก็ต่อเมื่อประกอบเศษตราจ้าวนรกทั้งหมดเข้าด้วยกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่? ระเบียบ! ระเบียบที่หมายถึงกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ เจ้าจะคิดเสียว่ามันคือกฎหมายที่ควบคุมความผันผวนของชีวิตก็ได้ มันเป็นแรงขับเคลื่อนชนิดหนึ่ง”

“อย่างไรก็ตาม แรงขับเคลื่อนทุกอย่างล้วนต้องการสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐาน ต่อให้เจ้าสามารถรวบรวมเศษตราจ้าวนรกจนครบแล้วอย่างไร? หากเจ้าไม่สร้างนครวิญญาณขึ้นมา เจ้าจะใช้สิ่งใดในการบริหารนรก? มันเป็นความจริงที่ว่าการก่อตั้งนครวิญญาณจะเป็นเรื่องยากหากปราศจากกุญแจสำคัญ ซึ่งก็คือการรวบรวมเศษตราจ้าวนรก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่จำเป็นจะต้องวางรากฐานและสร้างนรกขึ้นมาใหม่เสียก่อน!”

ฉินเย่หัวเราะเสียงเย็น “ฮ่า ๆๆ…สร้างนรกขึ้นมาใหม่ก่อน….ท่านพูดเหมือนกับว่ามันเป็นงานที่ใช้เวลาแค่ 2 หรือ 3 ปีเท่านั้นอย่างนั้นแหละ!”

“ฟังที่ข้าอยากจะพูดเสียก่อน! เจ้าก็แค่เด็กที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกลไกของนรกเลยสักนิด!” อาร์ทิสตะคอกอย่างเดือดดาล

“ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะเป็นเหมือนกับเปลือกหอยที่ว่างเปล่าเมื่อสร้างขึ้น! แต่มันก็ยังมีบ้างที่แม้ว่าจะไม่มีน้ำพุเหลืองก็สามารถเริ่มทำงานได้! หากจะพูดให้แน่ชัดก็คือ เจ้าไม่ตระหนักและไม่มีทางมองเห็นน้ำพุเหลืองจนกว่าเจ้าจะเดินไปสุดทางหยินหยาง! ลองนึกดู ส่วนไหนของเส้นทางนรกที่เจ้าได้เห็นน้ำพุเหลืองเป็นจุดแรก?”

สะพานไน่เหอ…ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหาคำตอบให้ตนได้

“หรือว่า…ท่านกำลังจะบอกว่าทางหยินหยางที่อยู่ก่อนหน้าสะพานไน่เหอและผู้กรรเชียงเรือต่างก็ไม่ต้องการ การมีอยู่ของน้ำพุเหลือง? พวกมันสามารถใช้งานได้ทันทีที่ถูกสร้างขึ้น?” เด็กหนุ่มถามอย่างไม่แน่ใจนัก

อาร์ทิสพยักหน้า “ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ….เจ้าไม่สามารถอธิบายได้ด้วยซ้ำว่าการสร้างนครวิญญาณของมาใหม่นั้นเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เพียงใด หากจะพูดให้เห็นภาพ ย้อนกลับไปตอนที่พวกเราได้เปิดพื้นที่ก่อสร้างเพื่อสร้างแหล่งบันเทิงให้ประชากรนรก มีกลุ่มสถาปนิกถึง 12 กลุ่มที่แข่งกันเสนอราคาในการสร้างโครงการนี้ แล้วเจ้าจะสามารถสร้างทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงคนเดียวได้อย่างไรกัน? ซ่อมแซมทางหยินหยางและเชิญดวงวิญญาณหยินทั้งหมดให้กลับไปที่ยมโลก เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานให้เจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือออกแบบพิมพ์เขียวและแผนการก่อสร้าง!”

ภายในหัวของฉินเย่เหมือนจะระเบิดออกมาอีกครั้ง

หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่เขาก็พึมพำเบา ๆ ว่า “ท่านช่วยทวนประโยคสุดท้ายอีกครั้งได้หรือไม่? อะไรคือแข่งเสนอราคากับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง? อะไรคือพิมพ์เขียวนะ?”

“แน่นอน!” อาร์เอ่ยยืนยันด้วยเสียงภาคภูมิใจและพูดต่อ “นี่เจ้าคิดว่านครวิญญาณเป็นสถานที่แบบใดกัน? มันคือบ้านของเหล่าดวงวิญญาณทั้งปวง! วิญญาณส่วนใหญ่ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีทั้งบุญและบาปในชีวิต ไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสวรรค์หรือพระตำหนักหรือขุมนรก”

“ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงจับฉลากและรอคอยอย่างอดทนเพื่อที่จะได้กลับไปเกิดใหม่ อย่างไรก็ตามจำนวนที่นั่งในการไปเกิดใหม่นั้นมีอยู่อย่างจำกัน วิญญาณส่วนใหญ่จึงจบลงด้วยการอาศัยอยู่ในนครวิญญาณในฐานะของผู้อยู่อาศัยระยะยาว และบังเอิญว่าพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในแหล่งเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดของนครวิญญาณด้วย! เจ้าคิดว่าเรายังใช้ธนบัตรนรกที่พวกเขาได้มาในช่วงเช็งเม้งอยู่หรืออย่างไร? หากเป็นเช่นนั้นยมโลกก็คงจะถึงคราวล้มละลายไปนานแล้ว!”

ให้ตายเถอะ…

มีแม้กระทั่งเรื่องล้มละลาย…ดูเหมือนว่าบริษัทก่อสร้างพวกนี้จะต้องถูกบริหารงานด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินของยมโลกแน่ ๆ…จะว่าไป ยมโลกจำเป็นจะต้องคล้ายกับสังคมมนุษย์ในสมัยนี้ด้วยเหรอ? แล้วหลังจากที่ไปอยู่ที่นั่นแล้ว เราต้องเข้างานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นด้วยหรือเปล่า?

“… นั่นมันคล้ายกับพนักงานออฟฟิศเลยไม่ใช่หรือ?”

“ก็ใช่น่ะสิ…เจ้าคิดว่าอย่างไรกันละ? เจ้าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างไรโดยปราศจากงานทำ?! สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ไม่ใช่แค่สร้างทางหยินหยาง แต่เจ้ายังต้องสร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณให้แก่วิญญาณที่หลงทาง และก็ธนาคารวิญญาณด้วย! ไม่เช่นนั้นพวกมันคงจะก่อกบฏเป็นแน่!”

“….ทำไมจู่ ๆ ข้าถึงรู้สึกว่าอยากลาออกและกลับไปที่บ้านเกิดของข้ากันนะ?….ท่านช่วยรับหลักฐานยืนยันตัวตนของข้ากลับไปได้หรือไม่?”

“อย่าฝัน!” อาร์ทิสเอ่ยอย่างสุขใจกับท่าทีน่าอนาถของอีกฝ่าย

เงียบกริบ

ไม่กี่วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็จุดประเด็นเรื่องหนึ่งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่อยากลาออกว่า “แล้วนี่มันเกี่ยวกับหน่วยสอบสวนพิเศษอย่างไร?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างภูมิใจว่า “มันเป็นเพราะว่าพวกเขาครอบครองผลึกพลังหยินจำนวนมากอย่างไรเล่า! เอาล่ะ เรียกมันว่าหินวิญญาณอย่างที่มนุษย์ผู้นั้นเรียกก็แล้วกัน มันจะช่วยให้เจ้าประหยัดแรงและเวลาได้มากเลยทีเดียว”

“อย่างที่ข้าเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ วิญญาณหยินดูดซับพลังหยิน หรือที่รู้จักกันในชื่อของแก่นแท้ดวงของจันทร์ เมื่อมีระดับพลังหยินสูงถึงจุดหนึ่ง เจ้าก็จะสามารถสร้างศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณแห่งแรกขึ้นมาได้ สิ่งนี้จะทำให้เจ้าดึงดูดดวงวิญญาณและเพิ่มกำลังคนมาช่วยได้…จริงด้วย! เข้าต้องมีพนักงานต้อนรับด้วยเหมือนกัน….พูดอย่างนี้แล้วเจ้าเข้าใจหรือยัง….เห็นหรือยังว่าทุกอย่างล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น!”

แววตาของฉินเย่เคร่งขึ้นและเงยหน้าจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกล

อาร์ทิสเงียบไป นางรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถกดดันยมทูตตนสุดท้ายของนรกได้ ไม่เช่นนั้น….เด็กหนุ่มคงได้ยอมแพ้ก่อนแน่

หลังจากที่ไตร่ตรองอยู่สักพัก นางก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนนี้…เจ้าได้ทำลายเขตไล่ล่าที่ 9 ด้วยตัวเองใช่หรือไม่? เจ้าไม่คิดว่าตัวเองควรได้รับหินวิญญาณจำนวนหนึ่งเป็นของรางวัลตอบแทนบ้างหรือ?”

ใบหน้าของฉินเย่ดีขึ้นเล็กน้อย “แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือการที่ข้าต้องตอบตกลงเข้าร่วมกับสำนักผู้ฝึกตน ไม่เช่นนั้น…ข้าคงได้เพียงรางวัลโนเนมแทน”

“ตอบตกลงไปซะ!” อาร์ทิสสนับสนุน “หากสถานการณ์เลวร้ายที่สุด ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ตายอย่างไร้ความเจ็บปวดเอง!”

“…ท่านอยากจะทำเช่นนี้มาตลอดเลยสินะ”

“…เจ้าพูดเรื่องอะไร พวกเราไม่ได้เป็นพี่น้องที่รักกันมากหรือ?”

เมื่อฉินเย่กลับไปที่ห้องทานอาหาร จางเชิงไห่ก็พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูค่อนข้างคาดเดายาก

มันมีทั้งความเกลียดชัง ไหนจะความทุกข์ทรมานกับเรื่องบางอย่างที่จางเชิงไห่เองก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน

และก็ดีแล้วที่เขาไม่รู้ต้นเหตุของใบหน้าอมทุกข์นั่น เกิดจากการที่ฉินเย่โหยหาชีวิตที่ปกติสุขและสามารถนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงได้ โดยไม่ต้องคิดว่าจะสร้างนครนรกได้สำเร็จหรือไม่ นอกจากนี้บนใบหน้าของฉินเย่ยังมีร่องรอยของความคาดหวังและความโลภเจือปนอยู่ภายในนั้นด้วย

คนคนหนึ่งสามารถถ่ายทอดความรู้สึกที่ชัดเจนและแตกต่างกันเหล่านี้ผ่านการแสดงออกทางสีหน้าเพียงอย่างเดียวได้อย่างไรกัน?

จางเชิงไห่เกือบจะเผลอพูดมันออกไป เขากระแอมเล็กน้อยและเอ่ยว่า “สรุปว่า…คุณตัดสินใจว่าอย่างไรครับ?”

“ผมตกลง” ฉินเย่พยักหน้า “อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ว่าผมควรจะได้รางวัลสำหรับการปัดเป่าภูตผีจำนวนมากเมื่อคืนนี้หรอกหรือ?”

จางเชิงไห่หัวเราะ “แน่นอนครับ ในอีกสามวันหลังจากนี้ คุณจะได้เข้าร่วมงานแถลงที่จัตุรัสกลางเมือง ซึ่งชาวเมืองทุกคนจะได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณเองก็จะได้รับรางวัลให้ในตอนนั้นด้วยเช่นกัน”

“ก็ดี” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ผมเองก็มีคำขอบางอย่างเหมือนกัน ประการแรก คุณห้ามถามเกี่ยวกับอดีตและอาชีพของผมเป็นอันขาด”

“ไม่ต้องห่วงครับ หน่วยสอบสวนพิเศษเต็มไปด้วยพวกพิลึกพิลั่นและแปลกประหลาดทั้งนั้น พวกเราไม่เคยถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของกันและกัน”

“ประการที่สอง….ผมหวังว่าระยะเวลาการสอนคงจะไม่ใช้เวลานานเกิดไป อย่างมากที่สุดก็คือหนึ่งภาคเรียน หลังจากนั้น ผมอยากจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกของตัวเอง”

จางเชิงไห่พยักหน้ายืนยัน “เรื่องนั้นเราสามารถจัดการได้ อันที่จริง นักล่าวิญญาณส่วนใหญ่ของเราต่างได้รับมอบหมายให้คอยเฝ้าดูแลเมืองแต่ละแห่ง หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเรากำลังก่อตั้งสำนักผู้ฝึกตน คุณก็คงจะได้รับมอบหมายเมืองให้ไปดูแลเช่นกัน ภาคเรียนที่หนึ่งของสำนักผู้ฝึกตนคงจะไม่นานมาก จากข้อมูลที่ผมได้มา มันน่าจะไม่เกินสองปี”

ฉินเย่พยักหน้า “ได้…มีแค่นี้ใช่ไหม?”

กระบวนการเข้าร่วมหน่วยสอบสวนพิเศษนั้นง่ายดาย และตรงไปตรงมาขนาดนี้เลยหรือ?

จางเชิงไห่หัวเราะ

“จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับ ทุกอย่างล้วนมีขั้นตอน และการลงทะเบียนเข้าหน่วยสอบสวนพิเศษเองก็ไม่มีข้อเว้นเช่นกัน ถึงแม้ว่าแค่การที่คุณเป็นมนุษย์มันจะเพียงพอแล้ว แต่มันก็ยังมีเอกสารบางอย่างที่จำเป็นจะต้องดำเนินการ อย่างเช่น ใบอนุญาตทำงานของคุณเป็นต้น”

“เมื่อไหร่?”

“ตอนนี้เลย”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ฉินเย่รู้สึกได้ว่าทั่วทั้งห้องสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้น….มันก็เคลื่อนตัวลงไปด้านล่างเหมือนกับลิฟต์ตัวหนึ่ง!

“นี่มัน…” เขามองไปนอกหน้าต่างอย่างตกใจเป็นอย่างมาก การเคลื่อนไหวของมันเบาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันกลับทำให้ห้องทั้งห้องจมลงไปด้านล่างได้!

จางเชิงไห่เพียงอธิบายเสียงเรียบ “หน่วยสอบสวนพิเศษของเราถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อ 50 ปีที่แล้ว และยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับทางรัฐบาลมาโดยตลอด นอกจากนี้ฐานของเรายังเป็นสถานที่ที่ได้รับการปกป้องมากที่สุดในเมือง ดังนั้น…สำนักงานใหญ่ของเราในแต่ละเมือง จะตั้งอยู่ใต้ศาลากลางของแต่ละเมืองโดยตรง”

ฟึ่บ….ห้องทั้งห้องหยุดนิ่งลง จางเชิงไห่จัดเสื้อผ้าของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูด้วยรอยยิ้ม “เชิญ”

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ฐานของหน่วยที่ลับที่สุด และมีขอบเขตอำนาจมากที่สุดของประเทศจีน หน่วยสอบสวนพิเศษ!”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ทุกอย่างตรงหน้าของเขาดูเหมือนกับหลุดออกมาจากนิยายแนววิทยาศาสตร์สักเรื่องหนึ่ง

ด้านนอกไม่ได้เป็นร้านน้ำชาอีกต่อไป กลับกัน มันกลับเป็นทรงกลมที่มีพื้นที่ประมาณ 300 ตารางเมตร

ตรงกลางของห้องมีคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ สมการและข้อมูลมากมายได้รับการประมูลผลและส่งไปตามสายพาน จนเกิดไฟกะพริบซึ่งทำให้เสาบริเวณกลางห้องดูคล้ายกับโลหะผสมที่ฝังพลอยล่ำค่า

คอมพิวเตอร์และคอนโซลนับสิบถูกจัดวางเป็นทรงกลมรอบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ เหลือไว้เพียงทางเดินเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง หากมีใครมองภาพทั้งหมดจากด้านบน ทางเดินทั้งหมดคงไม่ต่างอะไรกับเขาวงกต

หน้าจอแอลซีดีถูกฝังไปที่ผนังด้านข้าง ฉลาดแผนที่โครงสร้างของทั้งเมืองเป่าอันและมณฑลอันฮุ่ย จุดสีแดงและสีเหลืองที่ซ้อนทับกันขยับไปทั่วแผนที่อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ ข้อมูลแบบเรียลไทม์ถูกส่งตรงมาจากสายไฟเบอร์ออฟติกมายังคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ก่อนจะถูกกระจายไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบ

ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีบานประตูที่ดูล้ำยุคซึ่งเต็มไปด้วยแสงไฟสีต่าง ๆ ตั้งอยู่

“นี่คือ…หน่วยสอบสวนพิเศษเหรอครับ?” ฉินเย่อ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

จางเชิงไห่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบอย่างภาคภูมิใจ “มนุษย์มักจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมัน แต่ผมสามารถยืนยันได้เลยว่าทุกสิ่งที่คุณเห็นในนี้ล้วนเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากที่สุดที่ยังไม่เคยถูกใช้ที่ไหนในโลก! ทุกอย่างถูกพัฒนาและผลิตขึ้นในประเทศจีนทั้งสิ้น!”

เขาชี้ไปที่หน้าจอขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง “ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ‘สติกซ์’ (Styx) มันถูกย่อยออกเป็นโพรเซสเซอร์ย่อยมากมายที่มีความสามารถในการคำนวณในอัตราที่ช้ากว่าโพรเซสเซอร์หลัก 200 เท่า”

“คุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกตอนนี้ก็คือ ‘เทียนเหอ-2’ ซึ่งถูกใช้โดยมหาวิทยาลัยป้องกันในประเทศของเรา”

“เทียนเหอ-2 สามารถคำนวณได้ 33.86 พันล้านล้านครั้งต่อวินาที แต่…สติกซ์สามารถคำนวณได้มากกว่านั้นถึงสองเท่า! ความเร็วของมันนั้นสูงกว่า 70 พันล้านล้านครั้งต่อวินาที! มันมีประสิทธิภาพมากกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์อันดับสองอย่าง ‘ไททัน’ ที่ตั้งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการแห่งชาติโอ๊คริดจ์ของสหรัฐอเมริกาถึง 4 เท่า!”

น้ำเสียงของเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยายามควบคุมตัวเอง “น่าเสียดายที่ประชาชนทั่วไปไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน”

“เชิญตามผมมาทางนี้”

ฉินเย่เดินตามจางเชิงไห่เข้าไปในห้องและมองไปรอบๆด้วยสายตาเหลือเชื่อ นี่มันดูล้ำสมัยเกินไป หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเขาได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง เขาก็คงจะไม่คิดว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศจีนจะก้าวไปถึงระดับนี้!

ยิ่งกว่านั้น เขาก็คงไม่สามารถจินตนาการได้ด้วยว่าประเทศจีนได้เตรียมตัวสำหรับสงครามระหว่างมนุษย์กับกองกำลังจากยมโลกได้มากถึงขนาดนี้

แต่ทำไมเราถึงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับหมาฮัสกี้ ที่เพิ่งแทรกซึมเข้ามาในฝูงหมาป่ากันนะ….