ณ เมืองที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งตั้งอยู่ในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเขตใต้ —— เมืองเยว่กวาง (นครแสงจันทร์)
ดินแดนหวนหลิงนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ตามแนวเหนือ-ใต้ โดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนามเขตเหนือหรือ *‘หวนหลิงเหนือ’*และเขตใต้หรือ ‘หวนหลิงใต้’ ซึ่งเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางเยื้องมาทางใต้เล็กน้อย
พื้นที่กึ่งกลางระหว่างเขตหวนหลิงเหนือและใต้นั้นเป็นที่ตั้งของอาณาจักรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งนามว่า ‘จักรวรรดิไป๋อวิ๋น’ จักรวรรดิแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยมีอาณาเขตอยู่ในดินแดนหวนหลิงทั้งเขตเหนือและเขตใต้ ทิศเหนือของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ในเขตหวนหลิงเหนือและอยู่ติดกับจักรวรรดิชิงเฟิงซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ส่วนเขตใต้ของจักรวรรดิไปอวิ๋นที่ซึ่งอยู่ในหวนหลิงใต้นั้นมีเขตติดต่อกับแคว้นเล็กๆ หลายแคว้น เช่น แคว้นชินซวี๋ และมู่ซุ่ย ซึ่งทุกแคว้นล้วนแต่อ่อนแอกว่าจักรวรรดิไป๋อวิ๋นมาก
ที่ด้านนอกของเมืองเยว่กวางนั้น เป็นที่ตั้งของผืนป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าป่าแสงจันทร์ป่าแห่งนี้อยู่ติดกับพื้นที่เมืองเยว่กวางทางทิศเหนือและเป็นสถานที่ที่นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นจุดกั้นกลางที่ใช้สำหรับแบ่งแยกอาณาเขตของดินแดนหวนหลิงเหนือและใต้ออกจากกัน
ป่าแสงจันทร์มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ว่ากันว่าการจะข้ามผ่านผืนป่าแห่งนี้จะต้องเดินทางเป็นระยะทางหลายพันลี้ ซึ่งหากเป็นนักผจญภัยธรรมดาทั่วไปแล้วเกรงว่ากว่าจะข้ามผืนป่าใหญ่นี้ไปได้ก็คงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ยิ่งกว่านั้นภายในป่าแสงจันทร์ยังเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดหวั่นนานัปการทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับมายารัตนะก็ยังไม่กล้าจะเดินทางข้ามผ่านไปโดยลำพัง
นอกจากอาณาเขตของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นจะกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว อาณาจักรแห่งนี้ก็ยังมีเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเมืองหลิงซีเองก็เป็นหนึ่งในเมืองใต้การปกครองของไป๋อวิ๋นที่ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหวนหลิงใต้ หลิงซีนั้นนับว่าเป็นเมืองไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง เมืองเล็กๆ นี้อยู่ห่างไกลความเจริญมากเสียจนเพียงแค่จอมยุทธ์ระดับมายารัตนะยังหาได้ยาก
ต่างจากเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เพราะเยว่กวางตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีเยี่ยมและถือเป็นเมืองหน้าด่านของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเขตใต้ จึงมีทั้งนักผจญภัย พ่อค้า ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงจอมยุทธ์มากฝีมือเดินทางผ่านไป-ผ่านมา โดยเฉพาะเหล่าขุมกำลังจำนวนมากและหลากหลายที่ต่างก็เลือกใช้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของฐานบัญชาการ ด้วยเหตุนี้เองเมืองเยว่กวางจึงเป็นแหล่งรวมตัวของยอดฝีมือระดับสูง
—–
ปลายยามเซิน ณ ประตูทางเข้าเมืองเยว่กวาง
หญิงสาวในชุดบุรุษสีดำกำลังมองดูผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า
ตรงหน้านางตอนนี้เป็นกำแพงเมืองสูงหลายร้อยจั้ง มันตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนฟ้าราวกับไร้ที่สิ้นสุด กำแพงเมืองนี้มีสีเทาเข้มทึบคล้ายยางมะตอย มันดูเรียบง่ายทว่ายังคงให้ความรู้สึกที่หนักแน่นแข็งแกร่ง เหนือขึ้นไปที่สุดขอบกำแพงด้านบนนั้น จะพบเห็นหอคอยพลธนูที่ยิ่งใหญ่จนดูคล้ายเป็นป้อมปราการขนาดย่อมๆ กระจายอยู่ทั่วตัวกำแพง
เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้มีการป้องกันที่แน่นหนามาก เพราะบริเวณหน้าประตูเมืองนั้นมีกองทหารถึงสองกองกำลังลานตระเวนพื้นที่โดยรอบอย่างขะมักเขม้น อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีกริฟฟินผลัดกันบินสำรวจตรวจตราจากทางอากาศอยู่ตลอดเวลา *เมืองเยว่กวาง—-*ที่แห่งนี้คือนครอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์โดยแท้!
“โอ้โห ไม่คิดเลยว่าจะมีเมืองที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ในตอนนี้สตรีโฉมงามผู้เป็นอดีตคุณหนูกำลังสวมใส่ชุดของบุรุษสีดำล้วน ใบหน้าใสกระจ่างถูกผ้าปิดปากสีเดียวกับชุดปิดบังไปเกือบครึ่งเหลือไว้ให้เห็นเพียงด้วยตาเนื้อทรายหวานซึ้ง
ถึงแม้ดวงตาคู่งามจะหวานไปนิดและผิวเนียนละเอียดจะขาวไปหน่อย แต่ด้วยผมที่ถูกรวบตึงไว้ด้านหลังบวกกับคิ้วดกหนาที่คมดุจกระบี่ และยิ่งเมื่อรวมเข้ากับแววตาอันแสนมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวนั้น ก็ทำให้นางดูไม่ต่างจากบุรุษมาดนิ่งแสนหล่อเหลา
ที่ข้างกายของนาง…ไม่สิ…เขามีคนตัวเล็กและยังดูมีความเป็นเด็กยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย คนผู้นี้ก็คือเสี่ยวโร่ว
เพื่อความสะดวกในการเดินทางทั้งฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงสวมชุดของบุรุษ เนื่องจากเสี่ยวโร่วยังไม่โตเต็มที่ทำให้นางดูเหมือนกับหนุ่มน้อยวัยละอ่อนในชุดบุรุษ ส่วนฉินอวี้โม่นั้นมีรูปร่างที่ดีกว่ามากซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในชุดของบุรุษเช่นนี้ก็ยังมิอาจปิดบังความสง่างามโดดเด่นของนางได้
ทว่าอดีตคุณหนูสี่ก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจเรื่องนั้นนัก นางเพียงแค่คิดว่าชุดของบุรุษช่วยให้คล่องตัวและเคลื่อนไหวง่ายกว่าก็เท่านั้น ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่านางเป็นเพศอะไรก็ไม่มีความสำคัญมากมายนัก
บนไหล่ของฉินอวี้โม่มีเสี่ยวเฮยตัวน้อยกำลังเกาะอยู่ มันมองดูผู้คนในเมืองเยว่กวางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองฉินอวี้โม่ ดูราวกับว่าพวกเขาอยากจะเห็นโฉมหน้าแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำนั้นเสียเหลือเกิน
ภายในเมืองเยว่กวางแห่งนี้มียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่มากมายโดยแท้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าเหล่าคนที่เดินผ่านไปมามากมายนั้นมีทั้งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา ทิพย์มายาหรือแม้กระทั่งมายารัตนะ และมียังมีอีกจำนวนมากที่มีอสูรมายาเป็นของตัวเอง และอสูรมายาเหล่านั้นก็มีทั้งหมาป่าสายลม เสือเขี้ยวดาบ เสือชีตาร์ รวมถึงอสูรมายาที่นางไม่รู้จักอีกไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
หลังจากหยุดชมความอลังการของเมืองเยว่กวางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกนางทั้งสองก็เดินตรงไปที่ประตูเมือง
“หยุด ผู้ที่ยังไม่ได้ยืนยันตัวตนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเขตเมืองเยว่กวาง!”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วถูกทหารผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ ซึ่งทหารผู้นี้นั้น ฉินอวี้โม่เห็นว่าเขาจ้องมองดูพวกนางมาแต่ไกลแล้ว
อดีตนักฆ่าสาวขมวดคิ้ว ‘แค่จะเข้าเมืองนี่ต้องยืนยันตัวตนด้วยเหรอ?’
“พี่ชาย ข้ากับสหายมาจากเมืองหลิงซีอันห่างไกล ที่ผ่านมาถึงเมืองเย่วกวางแห่งนี้ได้ก็เพราะความบังเอิญ ข้าน้อยเห็นว่าเมืองแห่งนี้ทั้งยิ่งใหญ่และงดงามจึงอยากจะเข้าไปพักค้างแรมในเมืองสักสองสามวัน ข้าน้อยไม่รู้ว่าการยืนยันตัวตนที่ท่านว่าต้องทำอย่างไร?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นด้วยวาจาใสซื่อและแววตาที่ดูน่าสงสาร
“อ่อ ที่แท้เจ้าก็เป็นนักผจญภัยจากเมืองหลิงซีเองรึ?”
ทหารผู้นั้นกล่าวพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ใบหน้าของเขาก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นมา
“เมืองเยว่กวางของเราตั้งอยู่ทางใต้ของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและยังเป็นเมืองชายแดนที่เชื่อมต่อกับรัฐอื่นๆ อีกหลายรัฐ เพราะฉะนั้นการจะเข้าเมืองนี้เจ้าต้องมีป้ายผ่านทาง”
ทหารหนุ่มอธิบายกฎของเมืองเยว่กวางที่ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ตั้งขึ้น พวกเขาเพียงตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
“ป้ายผ่านทาง?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารอธิบาย ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น
“ข้าขอรับรองให้คนผู้นั้นเอง”
ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของสตรีในชุดบุรุษทั้งสอง!