บทที่ 19.2 ขาขวาของปีศาจ (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ด้วยความเร็วฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมของเหล่าทหารกว่าหมื่นนายที่กำลังยกพลเดินเลียบไปตามถนนเส้นหลัก ของป่าดารา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยทหารราบหนักที่ต้องชะลอความเร็วโดยรวมของพวกเขาลงเพื่อให้หน่วยอื่นตามทันนั้น จะใช้เวลาอย่างน้อย 20 วันเพื่อไปถึงที่ชายแดน

เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าโจวเหว่ยชิงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาจึงได้รับมอบม้าศึกหนึ่งตัว เด็กหนุ่มจึงขี่มันให้วิ่งเหยาะๆอยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาเรียนรู้วิธีขี่ม้าเองโดยธรรมชาติ แม้อาจจะบอกไม่ได้ว่าโจวเหว่ยชิงมีทักษะในการขี่ม้าที่ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยเขาก็มีความสามารถเพียงพอที่จะป้องกันตัวเองไม่ให้ตกลงไปจากหลังม้า จอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้เพิ่งจะได้เปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ประจำกายครั้งยิ่งใหญ่ เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่สวมชุดเกราะหนังที่แสดงสถานะนายหมู่ แต่ธนูของเขาก็ไม่ใช่ธนูยาวธรรมดาๆ อีกต่อไป

ในตอนเช้าก่อนที่พวกเขาจะออกจากค่าย เซียวหรูเซ่อให้ทหารนำธนูอุษาม่วงคันใหม่ และแล่งธนู 4 อันพร้อม  ลูกศรชนิดพิเศษมามอบให้กับเขาด้วย เมื่อรับรู้ว่าร่างกายของโจวเหว่ยชิงมีศักยภาพเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก เธอจึงมอบธนูอุษาม่วงที่มีคุณภาพสูงกว่าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ให้ ธนูคันนั้นทำมาจากไม้ดาราที่มีอายุถึง 500 ปี ตัวธนูนั้นแข็งแกร่งและยืดหยุ่นมาก ความต้านทานแรงดึงนั้นเกือบจะเป็น 2 เท่าของธนูอุษาม่วง สายธนูทำมาจากเส้นเอ็นคุณภาพสูงที่สุดของอสรพิษวิเศษ แม้แต่ก้านธนูก็ยังทำด้วยไม้ดาราอายุ 500 ปี ในขณะที่ส่วนปลายของลูกธนูนั้นทำมาจากโลหะผสมไทเทเนียม มูลค่าของแล่งธนูทั้ง 4 ที่มีลูกธนูสั่งทำพิเศษ 200 ลูกอยู่ในนั้นเกือบจะมีราคาเกินกว่าธนูอุษาม่วงด้วยซ้ำ

โจวเหว่ยชิงคาดแล่งธนูไว้รอบเอวของเขาเพียง 1 อัน ส่วนอีก 3 อันที่เหลือนั้นแขวนไว้บนหลังม้า พลธนูหลังม้าก็ถูกจัดตั้งขึ้นในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เช่นกัน แต่มีจำนวนเพียง 1 กองพันเท่านั้น พวกเขาได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในกองพันระดับไพ่ตายขั้นสุดยอดของอาณาจักร ข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 2 ประการของพลธนูหลังม้าคือ หนึ่งความเร็วของม้าของพวกเขา ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือปริมาณของลูกธนูที่สามารถพกพาไปได้ พลธนูที่แข็งแกร่งและมีทักษะดีสามารถพกลูกธนูไปยังสนามรบได้มากที่สุดแค่ประมาณ 100 ลูก แต่ถ้าพลธนูหลังม้านำลูกศรไปน้อยกว่า 200 ลูก พวกเขาก็จะต้องโดนมองอย่างเหยียดหยามแล้ว ด้วยมีม้าศึกที่สามารถช่วยแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นได้จำนวนมาก โดยธรรมชาติแล้วน้ำหนักลูกศรที่เพิ่มมานั้นถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับม้าศึก

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมใส่ชุดเกราะสีเงินของเธอพร้อมด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่โบกสะบัดอยู่ด้านหลัง นั่นจึงทำให้เธอดูสง่างามและกล้าหาญขณะที่กำลังขี่ม้านำกองทหารอยู่ด้านหน้าสุด โจวเหว่ยชิงควบม้าอยู่ในตำแหน่งด้านหลังเธอเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีผู้บัญชาการกองร้อยอีก 2 คนคอยเป็นผู้นำการเดินทางในครั้งนี้ พวกเขารับหน้าที่จัดการดูแลความเรียบร้อยระหว่างทาง สร้างสะพานเชื่อม หรือทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าเส้นทางที่เหล่าทหารกำลังเคลื่อนที่ไปนี้จะราบรื่นตลอดรอดฝั่ง

“ปิงเอ๋อร์ ข้าอยากจะลงไปเดิน ขาขวาของข้ายังรู้สึกแปลกๆ อยู่ ข้าต้องลองเดินเพื่อช่วยปรับสภาพตัวเอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

“เอาละ ไปเถอะ ตราบใดที่เจ้าติดตามกองกำลังหลัก เช่นนั้นก็คงไม่เป็นไรหรอก” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้า และพูดออกมา ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงเริ่มแสดงท่าทีสุภาพเหมาะสมกับเธอ เธอก็เริ่มปฏิบัติต่อเขาต่างออกไป นับตั้งแต่วันที่เขากอดเธอ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็กลัวที่จะสบตากับโจวเหว่ยชิง ความคิดของเธอค่อนข้างขัดแย้งกัน ในขณะที่เธอกลัวว่าอาการของ โจวเหว่ยชิงอาจกำเริบได้ทุกเวลาที่ใกล้กัน แต่ในเวลาเดียวกันเธอก็คาดหวังให้ตนถูกกอดเหมือนในวันนั้น

โจวเหว่ยชิงกระโดดลงจากม้าของเขา ส่งรอยยิ้มจริงใจให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ จากนั้นก็แตะเท้าขวาลงกับพื้นแล้วร่างของเขาก็พุ่งกระโจนพรวดพราดเข้าไปในป่าใกล้ๆ ราวกับลูกธนู

วิธีที่เขาพุ่งตัวออกไปนั้นสง่างามมาก การเคลื่อนที่ก็รวดเร็วและว่องไว  ทั้งยังอาศัยแค่เพียงความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น อนิจจา หลังจากที่พุ่งเข้าไปในป่าแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ค้นพบว่าเขาได้คำนวณความเร็วของตัวเองผิดพลาดไป

*ปั่ก* เขาชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เข้าอย่างจัง โชคดีที่เด็กหนุ่มสามารถยกแขนขึ้นกันแรงกระแทกได้ทันเวลา ดังนั้นจึงไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงอะไรมากนัก

“เวรเอ้ย!” โจวเหว่ยชิงไถลตัวลงมาจากต้นไม้ช้าๆ ในใจรู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก เขายกเท้าขึ้นเตะต้นดาราขนาดใหญ่เท่าผู้ชาย 2 คนโอบข้างหน้าด้วยความหงุดหงิด

เสียงอะไรบางอย่างปริแตกดังขึ้นกึกก้อง และโจวเหว่ยชิงที่กำลังหมดอาลัยตายอยากอยู่ก็ได้แต่จ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างตกตะลึงจนกรามของเขาหล่นไปอยู่ที่พื้น เด็กหนุ่มอ้าปากกว้างจนสามารถผลักไข่ 2 ฟองเข้าไปในปากได้เลยทีเดียว

ต้นดาราขนาดใหญ่สองคนโอบที่เขาเพิ่งเตะไปเมื่อครู่ได้ลอยทะยานไปในอากาศอย่างไม่คาดคิดและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่ด้านหลัง จากนั้นพวกมันต่างก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังโครมคราม

“อะไรวะเนี่ย!” โจวเหว่ยชิงมองดูขาขวาของตนที่สามารถทำให้ต้นไม้หักโค่นได้อย่างไม่คาดฝัน ขาขวาของเขาไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่าทุกๆ อย่างยังปกติดี แต่จะยังไงก็เถอะ เขาล้มต้นดาราไปทั้งต้นเลยนะโว้ย! สำหรับต้นไม้ขนาดดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะใช้เลื่อยเพื่อโค่นมันลงมา คนธรรมดา 4 คนยังต้องใช้เวลาทั้งวันเลยด้วยซ้ำ! ถึงกระนั้นเขาก็โค่นมันลงได้จริงๆ อีกทั้งยังเหวี่ยงมันไปด้านหลังด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวด้วย!

ทันใดนั้น ความรู้สึกที่สิ้นหวังเพราะไม่สามารถควบคุมแรงระหว่างสองขาให้เท่ากันได้ของเขาก็ถูกกวาดทิ้งไป โจวเหว่ยชิงรีบถอดกางเกงแล้วมองไปที่ขาขวา

มองเผินๆ ดูเหมือนว่าขาขวาและขาซ้ายของเขาแทบจะไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของพละกำลังนั้นมีมากเกินไปอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว นอกจากนี้ แม้เด็กหนุ่มจะเตะลำต้นที่หนาและขรุขระเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักกะผีกเดียว

โจวเหว่ยชิงทดลองเพ่งสมาธิชักนำปราณสวรรค์ของเขาจากจุดตันเถียนลงไปที่ขา ในขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็พบความแตกต่างระหว่างขาทั้งสองข้างอย่างชัดเจน

เมื่อปราณสวรรค์ไหลผ่านขาทั้งสองข้าง โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ว่าพวกมันมีพลังเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บนผิวหนังบริเวณขาซ้ายของเขายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าผิวหนังตรงขาขวากลับมีลายเสือดำที่คุ้นเคยแผ่กระจายไปทั่ว ขาขวาของเขายังแผ่ไอหมอกสีเทาดำออกมาด้วยและมันก็ดูเหมือนจะเอียงไปข้างหลังเล็กน้อยโดยธรรมชาติ โจวเหว่ยชิงเห็นว่าขาขวาของตนกลายเป็นสีดำสนิททั้งหมด และในขณะที่ขยับขาข้างนั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่ามันกลายเป็นแส้อันทรงพลังที่ไม่มีใครเทียบได้

ด้วยการใช้ขาซ้ายเป็นฐาน เขากระโดดไปจนถึงด้านหน้าของต้นไม้ขนาดใหญ่อีกต้นหนึ่ง ขาขวาพุ่งออกมาราวกับสายฟ้า มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนทำให้อากาศวูบไหวและดูเหมือนจะทิ้งเงาภาพไว้ด้านหลัง

คราวนี้เมื่อขาของเขาสัมผัสกับต้นไม้ เสียงก็เปลี่ยนจาก “ปั่ก” เป็น “ฉับ” ต้นดาราที่อยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่มถูกโค่นลงอีกครั้งและลอยหวือออกไป ทว่าจุดที่ถูกเขากระแทกในครั้งนี้กลับราบเรียบมากราวกับว่ามันถูกตัดออกด้วยใบมีดคมๆ

ทันใดนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกตกใจขึ้นไปกว่าเดิมกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลำดับถัดมา เมื่อต้นไม้ต้นนั้นลอยขึ้นไปในอากาศ ใบไม้ก็เริ่มเหี่ยวแห้ง และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกรอบอย่างรวดเร็ว กิ่งก้านของพวกมันเริ่มปลดปล่อยไอสีเทาออกมาก่อนที่จะเหี่ยวแห้งตายในฉับพลัน และเมื่อต้นไม้ต้นนั้นตกลงมายังพื้นดิน มันก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ…” โจวเหว่ยชิงมองที่ขาขวาของเขาแล้วมองดูต้นดาราที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเอง “ปิงเอ๋อร์บอกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างจะสูญเสียการควบคุมจิตใจ ดูเหมือนว่าข้าจะยังไม่ได้เข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง แต่ข้าก็ดันมีขาขวาของปีศาจเช่นนี้ซะแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้ หากข้าใช้มันโจมตีมนุษย์อย่างเต็มกำลัง จะสร้างความเสียหายได้มากเท่าไหร่กันละเนี่ย?”

นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าหากถ่ายเทพลังปราณสวรรค์ลงไปที่ขาของเขาเพื่อใช้เตะโจมตี มันไม่ได้ทำให้เขาสูญเสียปราณสวรรค์มากนัก ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็นึกถึงบางสิ่งได้ ในใจของเขาพลันนึกไปถึงเสือดำมีปีกขนาดใหญ่ที่เคยเห็นมาหลายครั้งก่อนหน้านี้

บนร่างกายของเสือดำตัวนั้น มีอยู่ 3 แห่งที่ติดตาตรึงใจเขาไม่รู้ลืม  สิ่งแรกก็คือดวงตาแดงก่ำดุร้ายคู่นั้น สิ่งที่สองเป็นปีกขนาดใหญ่ทั้งสองข้าง และสิ่งสุดท้ายก็คือหางแมงป่องที่มีลักษณะเป็นรูปตะขอ

เท้าขวาของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ นี่คงจะไม่ใช่หางแมงป่องของเสือดำนั่นใช่ไหม? ขาขวาของเขาคงไม่ได้วิวัฒนาการมาจากสิ่งนั้นใช่หรือไม่?

ถึงตอนนี้เขามั่นใจอย่างเต็มที่แล้วว่าไข่มุกสีดำนั้นน่าจะเป็นแกนพลังงานหลักภายในตัวของเสือดำขนาดใหญ่ที่ตนได้เห็น และร่างกายของเขาก็กำลังดูดซับความสามารถของเสือดำที่น่าเกรงขามตัวนี้อยู่

……………………………………………………..