บทที่ 79 กลับ

“เจ้าคิดอะไรอยู่เหรอ”

เว่ยฉิงเชินได้เรียกเฉินเฉียงอยู่อีกหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็กลับมาสู่โลกภายนอก

“อ้า โอ้” เฉินเฉียงได้รีบหยิบแหวนของถูหมั่นเถียนก่อนที่จะส่งให้กับเว่ยฉิงเชิน

“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าในครั้งนี้ เอ้านี่แหวนของมัน”

เว่ยฉิงเชินได้ส่ายหน้าอย่างขยะแขยงก่อนจะพูดออกมา “ข้าไม่ต้องการของโสโครกของมัน ข้าต้องการเพียงศพของมันกลับไปยืนยันเท่านั้น”

“ว่าแต่เจ้าเป็นใครกัน ทำไมถึงได้มากวาดล้างกองโจรพวกนี้ได้”

เฉินเฉียงได้เก็บแหวนไปก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าชื่อเฉินเฉียง เป็นศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษแห่งสำนักเต่าดำ ข้ามาอาณานิคมเขาอูฐเพื่อปฏิบัติภารกิจ แต่ไม่คิดว่าเมื่อทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วกลับไปที่นั่นก็เพราะว่าโดนกวาดล้างไปแล้ว”

“เมื่อข้าไปถึง นายพลฮั่นผู้ซึ่งเป็นผู้นำอาณานิคมได้ขอข้าไว้ก่อนตายว่าให้ช่วยเหลือน้องสาวของเขาที่ถูกจับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่….ในที่สุด ข้า ก็มาถึงช้าเกินไป”

เมื่อพูดจบ เขาก็ได้หันไปมองที่ชั้นสามก่อนที่จะกระโดดขึ้นไป เขานำร่างของฮั่นหยูเก็บไว้ในแหวนมิติ

เว่ยฉิงเชินที่ตามมา ก็ทันได้เห็นร่างของหญิงสาวก่อนที่จะถูกเก็บไว้ในแหวน นี่ทำให้เธอ จุดไฟในมือขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะโยนไปที่ชั้นชั้นหนึ่งของเขตแดนโลหิต

“เขตแดนโลหิตแห่งนี้ถูกจับจองโดยพวกกลุ่มโจรเผ่าพันธุ์มนุษย์มาโดยตลอด แต่หากเราทำลายที่นี่ไปล่ะก็จะถือได้ว่าทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรานั้นจะได้ผลประโยชน์ไปบ้าง ไม่มากก็น้อย”

เมื่อพูดจบ เว่ยฉิงเชินก็ได้เก็บศพของถูหมั่นเถียนและหายไปในความมืดมิดเพียงชั่วพริบตา

หลังจากผ่านคืนที่หนักหน่วงนี้มาได้ ในที่สุดเฉินเฉียงก็ได้กวาดล้างกองโจรแห่งเขตแดนหมอกโลหิต แก้แค้นให้กับคนของอาณานิคมเขาอูฐได้สำเร็จ

แต่เมื่อนึกเว่ยฉิงเชินที่จากไปแล้ว นี่ทำให้เฉินเฉียงตระหนักได้ในทันทีว่าระดับการบ่มเพาะของเขานั้นยังอ่อนแอเกินไป

ถึงแม้เขาและเธอจะอายุเท่ากัน แต่เธอกลับก้าวล่วงเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว

เมื่อเขากลับไปถึง เขาต้องฝึกตนเองอย่างหนัก

แต่เมื่อนึกถึงการฝึกฝน นี่ทำให้เฉินเฉียงต้องคิดหนักอีกครั้ง

ด้วยระดับสายเลือดของเขาในตอนนี้เขาจะฝึกอะไรได้กัน

ดูเหมือนว่าเขาจะต้องกลับไปถามอาจารย์เรื่องนี้ซะแล้ว

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันครึ่ง เฉินเฉียงก็กลับไปถึงอาณานิคมเขาอูฐ

ด้วยการที่ในตอนนี้ อาณานิคมไม่หลงเหลือใครที่จะคอยเฝ้า ประกอบกับกลิ่นเลือดที่ลอยโชย นี่ทำให้สัตว์ประหลาดได้มาวนเวียนอยู่ไม่ขาด

เมื่อเฉินเฉียงกลับมาถึงก็พบเพียงซากไม่กี่ชิ้น ศพทั่วอาณานิคมนี้ส่วนใหญ่ถูกสัตว์ประหลาดกัดกินไปหมดแล้ว

เมื่อเห็นฉากอันแสนโหดร้ายนี้ เฉินเฉียงบังเกิดความรู้สึกหนึ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ เขาได้เก็บความโกรธแค้นของตนเอาไว้ ก่อนที่จะเริ่มจุดไฟเผาอาณานิคม

หลังจากขุดหลุมขนาดใหญ่และทำการฝังฮั่นหยูและคนอื่นๆไว้ด้วยกัน หลังจากนั้น เขาก็ตัดใจจากทุกสิ่งและตรงกลับสำนัก

เมื่อคิดถึงภารกิจในครั้งนี้ นี่ทำให้เขานั้นได้รับประสบการณ์หนึ่งของเส้นทางการเอาชีวิตรอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์

นอกจากสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ที่เป็นภัยคุกคามแล้ว เผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเองก็ยังเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ยากจะป้องกันได้

หากโจรที่แข็งแกร่งอย่างถูหมั่นเถียนรับใช้เผ่าพันธุ์มนุษย์แต่โดยดี พวกเขาต้องเป็นกำลังสำคัญให้อย่างไม่อาจมองข้ามได้

แต่เมื่อคนพวกนี้เลือกที่จะทรยศ คนพวกนี้จะเป็นอันตรายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์

เมื่อนึกถึงว่าถูหมั่นเถียนเองก็เป็นเพียงกลุ่มโจรที่เฉินเฉียงได้เผชิญหน้าแล้ว

ไม่รู้ว่าที่ผ่านมานั้นมีขยะแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์แบบนี้อีกสักเท่าไหร่ที่เคยอยู่ที่เขตแดนหมอกโลหิต

ที่สำนักเต่าดำ

หลังจากกัวเหลียง หลิวซวนเอ๋อ และคนอื่นๆขาดการติดต่อกับเฉินเฉียงแล้ว พวกเขานึกว่าเฉินเฉียงได้กลับมาสำนักก่อน พวกเขาจึงได้กลับมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขากลับมาถึง กลับไม่ได้ข่าวของเฉินเฉียงแม้แต่น้อย

“กัวเหลียง มานี่”

ฮู่ต้าไฮ่ตะโกนดังลั่นพร้อมสายตาที่ดุดัน

กัวเหลียงในตอนนี้แสดงสีหน้าออกมาอย่างหวาดระแวง ก้าวเดินเข้าหาอาจารย์ของตนอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะกล่าวขอความเห็นใจออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว ศิษย์คิดว่าศิษย์น้องกลับมาก่อนแล้วจริงๆ”

ในช่วงห้าหกวันมานี้ กัวเหลียงถูกอาจารย์ของตนทำโทษนับครั้งไม่ถ้วน และนี่ทำให้ตัวเขานั้นทั้งนึกเสียใจและโทษตัวเองอยู่เต็มหัวใจ

หากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ย่อมไม่ยอมรับทำภารกิจอย่างแน่นอน ในช่วงเวลาที่ศิษย์น้องหายไปนี้ ต่อให้อาจารย์ของเขาไม่ลงโทษ เขาเองก็นึกเสียใจไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่แล้ว

“อาจารย์ฮู่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง หากข้าไม่นำศิษย์น้องไปด้วย เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น”

ในช่วงที่ผ่านมานี้ หลิวซวนเอ๋อได้มายังที่พักของฮู่ต้าไฮ่ทุกวันเพื่อถามข่าวคราวของเฉินเฉียง และทุกๆครั้งที่เธอมา เธอก็จะเห็นกัวเหลียงโดนลงโทษอย่างหนัก นี่ทำให้เธอรู้สึกละอายในการตัดสินใจของตนแบบสุดๆ

ฮู่ต้าไฮ่ได้ยกมือขึ้นมาก่อนที่จะพูดตอบ “สาวน้อย เจ้าอย่าได้โทษตัวเอง สำนักเต่าดำของเรานั้นสั่งสอนให้ทุกคนหาญกล้าจึงได้สรรหาภารกิจมาให้ทำอย่างไม่ขาด”

“ทุกปี มีศิษย์มากมายที่ตกตายไประหว่างทำภารกิจ เจ้าก็น่าจะรู้ดี”

“ส่วนเรื่องของเฉินเฉียงนั้น….เฮ้อออ มันหาเรื่องเอง”

หลู่ฟางได้ยินขึ้นและพูดออกมา “อาจารย์ ด้วยระดับการบ่มเพาะของศิษย์น้องนั้นย่อมไม่เกิดเรื่องร้ายแรงเป็นแน่ ท่านอย่าได้เป็นกังวลไป ทำไมไม่ให้ข้านำคนไปค้นหาเขาล่ะครับ”

“ช่างมัน หากมันจะกลับก็คงกลับมานานแล้ว นี่ก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์และแต่ยังไม่มีข่าวคราว เจ้านั่นคงตกตายไปแล้ว”

คำพูดของฮู่ต้าไฮ่ยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องต้องหนักอึ้ง

อีกฟากฝั่งหนึ่ง นะบ้านพักของจ้าวฮั่น

“หม่าหลิว ยังไม่ได้เรื่องอะไรอีกรึ”

“นายน้อยจ้าวอย่ากังวล ในเมื่อมันไม่กลับมา ก็สมควรจะตายไปเรียบร้อยแล้ว”

“ก็จริง”

จ้าวฮั่นได้ยืนขึ้นจากเก้าอี้โยก ก่อนที่จะดัดตัวไปมา ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วและพูดออกมา “แต่…ทำไมหกคนนั่นยังไม่กลับมา หากจะให้พูดกันตรงๆแล้วพวกมันควรจะกลับมาส่งข่าวแล้วเมื่อสองวันก่อนสิ”

“นายน้อยจ้าว จะให้ข้าส่งคนไปถามดีหรือไม่”

“ไม่ต้อง” จ้าวฮั่นยกมือขึ้นมาห้ามก่อนที่จะพูดต่อ “สิ่งสำคัญที่สุดคือการฆ่าเฉิงเฉียนได้ ส่วนคนอื่นนั้น ข้าไม่สนใจ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“นายน้อยจ้าว แย่แล้วครับ”

ชายคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามา ทำให้ในห้องถึงกับตื่นตระหนกกันไปหมด “นายน้อยจ้าว ไอ้คนแล่เนื้อกลับมาแล้ว”

จ้าวฮั่นโกรธสุดขีดเมื่อได้ยิน “อย่าไร้สาระ พวกเราส่งยอดฝีมือไปตั้งหกคน แล้วจะกลับมาตัวเป็นๆได้ยังไง เจ้าดูผิดรึเปล่า”

“นายน้อย มันคือความจริง ตอนนี้มันอยู่ที่หอภารกิจ คนมากมายต่างก็เห็น หากนายน้อยไม่เชื่อ ท่านสามารถไปที่นั่นได้”

“นี่…มัน..กลับมาได้งั้นเหรอ” ใบหน้าของจ้าวฮั่นเปลี่ยนแปลงไปได้สีหน้าที่ยากจะขาดเดา

หากเฉินเฉียงกลับมาอย่างปลอดภัย…แล้วหกคนนั้นล่ะ

ถูกเฉินเฉียงฆ่าไปแล้วรึ

ถ้าเป็นอย่างนั้น เฉินเฉียงต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับเขา

ด้วยนิสัยของเฉินเฉียง แล้วเขาจะอยู่สบายไปได้ยังไง

“นายน้อยจ้าว ท่านต้องการจะไปดูเองกับตาหรือไม่”

จ้าวฮั่นที่ได้ยินและกัดฟันแน่น ก่อนที่จะตัดสินใจไปดูด้วยตาตัวเอง

หากเขาไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ด้วยตาตัวเอง แล้วเขาจะเชื่อได้ยังไงว่านักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณถึงหกคนจะโดนจัดการไปแล้ว

“ไป ตามข้ามา เราจะไปดูด้วยกัน”